ตอนที่ 13.อย่าขยับตัวส่งเดช
ตอนที่ 13.อย่าขยับตัวส่งเดช
หมึกสีดำหยดลงบนกระดาษจนเกิดรอยด่าง แต่กระนั้นมือที่จับพู่กันอยู่นั้นยังคงนิ่งไม่รับรู้สิ่งใด จนกระทั้งจางหยวนแสร้งกระแอมไอ กัวจื่อหรานจึงตื่นจากภวังค์ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยมองดูรอยด่างบนกระดาษแล้ววางพู่กันลง
“ใต้เท้าทำงานหนักติดต่อมาสามสี่วันแล้ว น่าจะพักผ่อนบ้างนะขอรับ” จางหยวนรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “หรือจะให้บ่าวเข้าไปดูความเคลื่อนไหวบ้านเศรษฐีหลินดีหรือไม่”
ดวงตาคมกริบตวัดมองราวกับคมกระบี่ ทำให้จางหยวนเสียวสันหลังวาบแล้วหลุบตามองเท้าตนเอง
‘บ่าวแค่หวังดี ใต้เท้าอย่าเชือดเฉือนด้วยสายตาเช่นนี้เลย’
กัวจื่อหรานลุกขึ้นยืน สายตาเหลือบไปยังมุมห้อง ดอกกล้วยไม้ส่งกลิ่นหอมอ่อนจาง เขาคิดถึงหญิงสาวผู้นั้น นางเหมือนดอกกล้วยไม้ป่า งามสง่าและส่งกลิ่นหอมชวนให้ใจสงบ แต่ในขณะเดียวกัน นางก็ครอบครองดวงตาดื้อรั้นไม่ยอมจำนน ริมฝีปากที่แสนหวานฉ่ำและยังมีเรือนร่างที่เย้ายวนนั้นอีก ทำให้เขาแทบขาดการควบคุม ไม่คิดว่าจะพลั้งเผลอทำให้นางบาดเจ็บจนกระอักโลหิตได้
เหตุใดเขาจึงเป็นมากมายถึงเพียงนี้ เพียงแค่รู้ว่านางจะกลับไป? เพียงแค่รู้ว่านางจะแต่งงานกับผู้อื่น? ไยเขาต้องพลุ่งพล่านเช่นนี้
เพราะยังไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้ และต้องการให้นางได้พักผ่อนอย่างสบายใจ หลายคืนมานี้แม้อยากเห็นใบหน้าและดวงตางดงามคู่นั้น แต่เขาก็ไม่ได้ไปหานาง นางคงระแวงและป้องกันตัวเองมากยิ่งขึ้น อาจหาสาวใช้มานอนเป็นเพื่อน
จางหยวนลอบมองสีหน้าผู้เป็นนายแล้วถอนหายใจ ไม่เคยเห็นเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่เดิมเอาแต่สนใจหน้าที่การงาน ในเรือนก็ไร้หญิงใดมาปรนนิบัติ ประพฤติตนราวกับเป็นนักพรตเข้าไปแล้ว หากไม่หมกมุ่นเรื่องงานการ ก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องการหายไปของไข่มุกน้ำตาจันทรา เขาติดตามกัวจื่อหรานมาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นเพียงเด็กกำพร้าเร่ร่อน ฤดูหนาวปีที่เขาอายุเก้าขวบ คิดว่าตัวเองคงได้แข็งตายอยู่ข้างถนนเป็นแน่ แต่รถม้าที่เคลื่อนผ่านไปแล้วคันหนึ่งหยุดและครู่ต่อมาก็มีคนผู้หนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าเขา
‘ไม่มีบ้านรึ’
แม้เป็นเด็กวัยไล่เลี่ยกัน แต่อีกฝ่ายมีบุคลิกสูงส่งจนทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยไปในทันที และทำให้เขาเอ่ยปากโต้ตอบไม่ได้
‘หากอยากมีข้าวกินหรือเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ เจ้าสามารถไปขอของแจกทานที่จวนของใต้เท้ากัวได้ แต่ถ้าเจ้าอยากมีที่ซุกหัวนอนไม่ต้องร่อนเร่ต้องทำงานแลกเปลี่ยน เจ้าจะทำไหวหรือไม่’
เขาไม่อยากเป็นเพียงขอทาน จึงรีบพยักหน้ารับ เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดวิ่งตามรถม้าจนมาถึงจวนใต้เท้ากัว และนับตั้งแต่ก็เริ่มฝึกยุทธ์ กลายเป็นองครักษ์ข้างกายกัวจื่อหราน
วันเวลาผ่านมามากกว่าสิบปี เขาติดตามกัวจื่อหรานจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยใต้เท้าให้ความสำคัญกับสตรีนางใดเท่ากับแม่นางหลินอวี้เจิน แรกทีเดียวเขาคิดว่าเพราะ ‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’ แต่หลังจากเห็นสายตาเมื่อครู่แล้ว เขามั่นใจในทันทีว่ามีบางสิ่งที่มากกว่านั้น
กัวจื่อหรานยกมือขึ้นไพล่หลัง หลายวันมานี้เขาต้องเตรียมการเรื่องผู้อพยพที่อยู่นอกกำแพงเมือง แม้ชายแดนจะห่างไกลที่นี่ ชายแดนยุติการสู้รบตั้งแต่ต้นปีแต่ยังมีผู้คนที่หนีภัยสงครามเดินทางมาถึงตันหยาง ไม่เปิดประตูต้อนรับก็จะกลายเป็นแล้งน้ำใจ หากไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดก็อาจจะกลายเป็นชักศึกเข้าบ้าน เขาจึงต้องระแวดระวังให้มากกว่าปกติ
“จางหยวน”
“ขอรับ”
“เจ้าจงรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ก่อนที่ไข่มุกน้ำตาจันทราจะหายไปมาให้ข้าอีกครั้ง”
“???”
กัวจื่อหรานคิดถึงแววตาเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว นางยืนยันว่าตนเองและหลินเหิงอี้ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ของสำคัญล้ำค่าเช่นนั้น ลุงกับหลานคู่นี้จะเอาไปซุกซ่อนที่ใด ทุกหลักฐานที่เขามีอยู่ในมือล้วนชี้ไปที่หลินเหิงอี้ทั้นสิ้น
จะไม่ให้จางหยวนตกตะลึงได้อย่างไร หลายปีมานี่เขาทำหน้าที่นี้อย่างสุดกำลัง กระทั้งกัวจื่อหรานเองยังเคยลอบเข้าไปในบ้านตระกูลหลินที่จู้หยางแต่ก็ยังหาไม่พบ แต่เขาคาดเดาได้ไม่ยาก ต้นเหตุที่ทำให้ต้องสืบค้นข้อมูลอีกครั้งคงเพราะหญิงสาวผู้นั้นเป็นแน่ สตรีที่ทำให้บุรุษดุจน้ำแข็งอย่างกัวจื่อหรานต้องหวั่นไหว
“รับทราบ บ่าวจะสืบค้นอีกครั้งขอรับ”
กัวจื่อหรานพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยถาม
“อี้เซียวทำอะไรอยู่”
“แม่นางเฉียนอิ๋นอิ๋นดูแลอยู่ขอรับ”
“ไม่รู้นางจะกลับมาทำไม” กัวจื่อหรานโคลงศีรษะไปมา หากไม่เพราะกัวอี้เซียว ‘ติด’ เฉียนอิ๋นอิ๋น เขาคงไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาเดินผ่านสายตาเขาไปมา ให้รู้สึกรำคาญใจเช่นนี้
“แต่...” จางหยวนอึกอักคล้ายไม่กล้าพูดนัก
“มีอะไรก็พูดมา”
“บ่าวรู้สึกว่าคุณชายกัวอี้เซียวไม่ค่อยชอบแม่นางเฉียนสักเท่าไหร่” เขาพูดเสียงเบา
“เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
“เรียนตามตรง คุณชายอยู่กับแม่นางหลินดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับแม่นางเฉียนเสียอีก”
‘เรื่องนี้ใต้เท้าจะมองไม่เห็นเชียวหรือ?’
มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยากยิ่ง กัวจื่อหรานไม่ได้เห็นหน้าน้องชายหลายวัน จึงเดินออกจากห้องทำงานเดินไปเรือนของกัวอี้เซียว แต่ยังไม่ทันไปถึงที่หมายเขาก็เห็นน้องชายวิ่งผลักบานประตูวิ่งออกมาจนเกือบจะชนเขาเข้าให้ มือใหญ่จับไหล่สองข้างไว้มั่นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
“พะ...พี่...พี่ใหญ่”
“เจ้าจะรีบไปไหนรึ?” เขาถามพลางประคองน้องชายให้ยืนได้มั่นคงแล้วจึงปล่อยมือ
“ปะ..ไป...ไป...”
“หลานอี้เซียว” เสียงหญิงสาวส่งเสียงหวานก่อนที่ร่างอรชรจะเดินตามมา เพียงเห็นชายหนุ่มนางก็ย่อกายคารวะ “คารวะใต้เท้ากัว”
กัวอี้เซียวเผลอขยุ้มแขนเสื้อของกัวจื่อหรานแน่น เฉียนอิ๋นอิ๋นเห็นดังนั้นแล้วแสร้งหัวเราะน้อยๆ ส่ายหน้าไปมา
“ที่น้าทำไปเพราะหวังดีกับหลาน เจ้าดื้อดึงไม่กินข้าวปลาและยาบำรุงเช่นนี้ เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแรงดีเล่า”
เฉียนอิ๋นอิ๋นแสดงสีหน้าอ่อนใจ เรื่องกัวอี้เซียวกินข้าวกินยายากนั้นทุกคนล้วนรู้ดี เด็กหนุ่มขยุ้มแขนเสื้อแน่นเหมือนตัดสินใจครั้งใหญ่แล้วเอ่ยขึ้น
“อี้เซียว เจ้าดื้อดึงอีกแล้วหรือ?” กัวจื่อหรานตบหลังมือน้องชายอย่างใจเย็น โดยไม่รู้ว่าน้องชายกำลังจะพูดสิ่งใด
“ข้า...ข้าเป็นเด็กดี ...ข้าไม่ดื้อ” กัวอี้เซียวพึมพำ “พี่ใหญ่...ข้า...ข้า..”
“มีเรื่องใดรึ”
“ข้าอยากไปเยี่ยมพี่สาว”
“พี่สาว?” กัวจื่อหรานขมวดคิ้ว
“พี่อวี้เจิน” กัวอี้เซียวช้อนตามอง “พี่สาวไม่สบาย ข้า...ข้าอยากไปเยี่ยมนาง”
“อวี้เจิน...เอ่อ แม่นางหลินไม่สบายหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“คือ...ข้าให้พ่อบ้านไปส่งจดหมายให้พี่สาว พี่สาวไม่มาเล่นกับข้า นาง...นางไม่สบาย ข้า...ข้าอยากไปเยี่ยมพี่สาว”
นางไม่สบายได้อย่างไรกัน?
หรือเพราะว่า...เพราะเขา
กัวจื่อหรานนิ่งไปเล็กน้อยแล้วตบไหล่น้องชายเบาๆ “เจ้าไปกินข้าวดื่มยาให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมแม่นางหลินอวี้เจิน”
“ข้า...ข้า...ไปเยี่ยมพี่สาวได้จริงๆนะ”
“ได้ พรุ่งนี้ค่อยให้พ่อบ้านพาเจ้าไป จะได้จัดเตรียมของเยี่ยมไปด้วย”
“ของเยี่ยม? จริงซิ ต้องมีของเยี่ยม” กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงักยอมปล่อยมือจากแขนเสื้อของกัวจื่อหราน ชายหนุ่มมองรอยยับที่แขนเสื้อและชุ่มเหงื่อ เด็กหนุ่มเดินหน้ามุ่ยกลับเข้าห้องไปไม่แสดงท่าทีต่อต้านดื้อดึงแต่อย่างใด
“รู้สึกว่า...นายน้อยจะติดแม่นางหลินมากทีเดียว”
เฉียนอิ๋นอิ๋นเอ่ยน้ำปนความระแวง แม้ใบหน้ากัวจื่อหรานไม่แสดงสีหน้าใด แต่เฉียนอิ๋นอิ๋นเห็นดวงตาของเขากระตุกเล็กน้อย เฉียนอิ๋นอิ๋มยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ดูท่าอี้เซียวจะชื่นชอบแม่นางหลินมาก”
“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่”
“แม้อี้เซียวมีนิสัยเท่าเด็กเจ็ดขวบ แต่อย่างไรก็เป็นผู้ชาย ปีนี้อายุสิบสี่แล้ว เด็กหนุ่มอายุขนาดนี้ บางคนบิดามารดาตระเตรียมหมั้นหมายหญิงสาวให้แล้ว แต่อี้เซียวไร้บิดามารดามาดูแลเรื่องเหล่านี้ หวังว่าใต้เท้ากัวจะไม่ละเลยเรื่องสำคัญนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
เขาไม่คิดว่านางจะกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ทั้งที่รู้ว่ากัวอี้เซียวเป็นเช่นไร!
“อี้เซียวชอบแม่นางหลินมาก ใต้เท้ากัวเป็นพี่ชายของเขา หวังว่าจะไม่คิดแย่งผู้หญิงที่น้องชายชอบกระมัง”
“นี่เจ้า!”
เฉียนอิ๋นอิ๋นแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเดือดดาลของเขา นางยังคงส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วหมุนตัวเดินกลับไปดูแลกัวอี้เซียวกินอาหาร
เมื่อหันหลังให้เขาแล้วนางจึงกระตุกยิ้มดวงตาฉายแววมาดร้าย นางยอมลดตัวมาดูเด็กปัญญาอ่อนถึงเพียงนี้ นางยอมเสียวันเวลาวัยสาวสะพรั่งของตนเพื่อเฝ้ารอเขาเพียงผู้เดียว
แต่หากเขาทำให้นางต้องสูญเสียคืนวันไปอย่างเปล่าดายกับวัยสาวที่เริ่มโรยรา นางก็จะไม่มีวันยอมให้สตรีนางใดได้เขาไปครอบครองเด็ดขาด