บทที่ 52 สถานที่อันห่างไกลไร้ผู้คน
เย่โม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้น “พี่จัว ถ้าพี่เชื่อใจผมล่ะก็...บอกที่อยู่ของพี่มา รอจัดการเรื่องทางนี้จบแล้วผมจะไปช่วยดูอาการลูกชายของพี่ให้ บางทีผมอาจจะช่วยรักษาได้ มีอีกเรื่องหนึ่ง...ที่จริงแล้วรากม่วงดำไม่สามารถรักษาอาการสมองพิการได้หรอก หมอแผนจีนที่พี่เจอคนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าไปฟังมาจากไหน แต่นั่นมันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี”
“อา...” จัวอ้ายกั๋วคว้ามือของเย่โม่ทันที “น้องเย่ นายจะช่วยรักษาลูกชายของพี่ได้จริงๆ หรือ!?”
เย่โม่พยักหน้า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
“พี่เชื่อใจนายแน่นอน...” จัวอ้ายกั๋วรีบหยิบนามบัตรที่ทำขึ้นอย่างประณีตส่งให้เย่โม่ “นี่คือที่อยู่และเบอร์โทรติดต่อของพี่ ต้องรบกวนน้องเย่แล้ว”
เขาไม่มีทางคิดแน่นอนว่าเย่โม่จะหลอกลวง ไม่เพียงเพราะว่าวันนี้เขาเห็นเย่โม่แสดงอภินิหารออกมาเท่านั้น ต่อให้เย่โม่ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรออกมาเขาก็ยังมีความรู้สึกว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดอะไร ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้จักกับเย่โม่นานนักแต่จัวอ้ายกั๋วก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนหนักแน่นน่าเชื่อถือ ควรค่าแก่การนับถือเป็นเพื่อน
เย่โม่มองนามบัตรใบนั้นแล้วก็พยักหน้า เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่สามารถไปปักกิ่งได้ เรื่องนี้คงต้องรออีกประมาณครึ่งปีหรือไม่ก็ 1 ปีหลังจากนี้ แน่นอน...เย่โม่รู้ว่าถ้าเขาไปปักกิ่งตอนนี้ นั่นก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
“ไม่ต้องกังวล…แค่น้องเย่จำเรื่องนี้เอาไว้ก็พอแล้ว” จัวอ้ายกั๋วไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ต่อให้ ‘รากม่วงดำ’ อันนั้นจะใช้การได้จริง นั่นก็ต้องรออีกกว่า 3 ปีจึงจะเห็นผล อีกอย่างเย่โม่ยังบอกอีกว่าของชิ้นนั้นไม่สามารถช่วยลูกชายเขาได้ รวมถึงจากคำพูดของเย่โม่นั้น ขอแค่เขาไปหาก็จะสามารถรักษาได้แน่นอน ตัวเลือกไหนดีกว่ากัน...จัวอ้ายกั๋วมั่นใจดี
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเย่โม่ไม่ไปกับเขาตอนนี้นั้น จัวอ้ายกั๋วเองก็ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ สาเหตุแรกคือเย่โม่เป็นยอดฝีมือ เขาคงจะมีเรื่องของตัวเองให้ต้องสะสางอยู่แล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จัวอ้ายกั๋วออกมาสู่โลกภายนอก เย่โม่ดั้นด้นมาถึงเขตชายแดนห่างไกล นั่นก็หมายความว่าตัวเย่โม่เองก็คงมีปัญหาของตัวเองเช่นกัน คนเป็นเพื่อน...ไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากความ
“ฮ่า! ฮ่า! พี่เย่ เดี๋ยวผมสั่งให้ลูกน้องเตรียมเหล้ามาเลี้ยงฉลองให้พี่เย่กับพี่จัวก็แล้วกัน” ฟางหนานรู้สึกยินดีมากที่วันนี้ทำธุรกิจสำเร็จ ทั้งยังได้รู้จักกับคนแบบเย่โม่ เรื่องสำคัญอีกอย่างก็คือเย่โม่จะอยู่ที่หลิวเฉออีกสักพักด้วย
ขณะที่เซียวเล่ยซึ่งรออยู่ด้านนอกเริ่มจะเป็นกังวลอยู่นั้นเอง เย่โม่และจัวอ้ายกั๋วก็เดินออกมา รวมถึงด้านหลังยังมีชายผมยาวร่างกำยำเดินตามออกมาด้วย
มื้ออาหารผ่านไปอย่างชื่นมื่น แต่เซียวเล่ยมองออก...ไม่ว่าจะเป็นจัวอ้ายกั๋วหรือชายผมยาวท่าทางดุดันคนนั้น พวกเขาล้วนให้ความเคารพเย่โม่ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ เป็นอย่างมาก รวมถึงความเคารพนับถือนี้ก็ล้วนมาจากก้นบึ้งของหัวใจทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงตัวจัวอ้ายกั๋วเลย...เขาเป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ในปักกิ่ง ถือเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่ง ส่วนชายอีกคนดูท่าทางแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังให้ความเคารพเย่โม่เป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ในใจเซียวเล่ยจะมีคำถามอยู่มากมาย...แต่เธอก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้สนิทสนมกับเย่โม่ขนาดนั้น ก่อนหน้านี้เธอก็ถามเรื่องเย่โม่จากคนขับรถเสี่ยวหยูอยู่นานแต่เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ฟางหนานเป็นคนจัดหาที่อยู่ให้กับพวกเขา เย่โม่กินข้าวเย็นเสร็จก็ออกไปข้างนอก ส่วนเขาจะไปไหนนั้นไม่มีใครทราบได้ มีเพียงจัวอ้ายกั๋วที่พอจะเดาได้อยู่บ้าง
เย่โม่ตรงไปยังรังเก่าของโจรทั้ง 13 คนที่ดักปล้นพวกเขากลางทางในตอนนั้น แต่เย่โม่กลับต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อที่นั่นไม่มีของมีค่าอะไรเลย ไม่เข้าใจจริงว่าโจรพวกนี้ก็ทำการดักปล้นมายาวนาน ทำไมถึงได้ไม่มีของมีค่าเก็บเอาไว้เลย ทำให้ความหวังที่จะร่ำรวยของเย่โม่ต้องพังทลายไป
ฟางหนานมารอเย่โม่ตรงที่พักแต่เช้าตรู่ ตอนนี้แก๊งโพตาว (ดาบยาวของทหารราบจีน) เป็นหนึ่งใน 3 แก๊งใหญ่แห่งหลิวเฉอ ส่วนแก๊ง 13 ‘ผู้พิทักษ์’ นั้นถือได้ว่าเป็นแก๊งที่มีอำนาจน้อยที่สุดใน 3 แก๊งใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้แก๊ง 13 ผู้พิทักษ์นั้นได้ถูกเย่โม่ทำลายลงแล้ว ด้วยเหตุนี้ ‘แก๊งโพตาว’ จึงได้กลายเป็น 1 ใน 2 แก๊งที่ยิ่งใหญ่แห่งหลิวเฉอ
เพราะมีฟางหนานช่วยดูแลให้ พวกจัวอ้ายกั๋วจึงพักอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับพวกเขา วันถัดมาจัวอ้ายกั๋วก็บอกลาเย่โม่ เขาต้องออกจากหลิวเฉอแล้ว
เมื่อฟางหนานเห็นว่าพวกจัวอ้ายกั๋วจะต้องไปแล้ว เขาจึงเสนอความช่วยเหลือให้ “ผมจะให้ลูกน้องไปส่งถึงถนนใหญ่ วางใจได้เลย”
เย่โม่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผู้เชี่ยวชาญในการปิดถนนดักปล้นกลางทางอย่างแก๊ง 13 ผู้พิทักษ์ ก็ถูกเขาถล่มจนราบไปแล้ว ต่อให้ไม่มีคนไปส่งพวกของจัวอ้ายกั๋วก็คงจะไม่พบเจออันตรายอะไร แต่ในเมื่อฟางหนานเป็นคนเสนอขึ้นมาเองแบบนี้เย่โม่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ
เซียวเล่ยเดินมาหยุดตรงหน้าเย่โม่แล้วพูดอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่บ้าง “เออ...ฉันขอเบอร์โทรศัพท์ของนายไว้หน่อยได้ไหม? เผื่อคราวหลังนายอยากจะไปปักกิ่ง ฉันจะได้ตอบแทนที่นายช่วยชีวิตฉันเอาไว้?
ถึงตอนแรกเธอจะพูดตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่ประโยคหลังเธอก็กลับมาพูดจาไหลลื่นอีกครั้ง ถึงยังไงเธอก็เป็นนักข่าวคนหนึ่ง
เย่โม่ยิ้มบางๆ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เธอไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก…อีกอย่างผมก็ไม่มีโทรศัพท์ ดังนั้นจึงไม่มีเบอร์โทรศัพท์อะไรจะให้เธอหรอก”
เซียวเล่ยตกตะลึงไปพักหนึ่ง จากมุมมองของเธอนั้น การที่ตัวเธอซึ่งเป็นสาวสวยคนหนึ่งขอเบอร์โทรศัพท์ของเย่โม่แบบนี้ ปกติแล้วเขาจะต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ไม่มีชายหนุ่มคนไหนจะปฏิเสธคำเชิญของสาวสวยได้…แต่เย่โม่กลับปฏิเสธเธอเสียนี่ เธอไม่มีทางเชื่อแน่นอนชายหนุ่มคนนี้แน่นอน ยุคนี้แล้วใครบ้างจะไม่มีโทรศัพท์
จัวอ้ายกั๋วมองออกว่าเซียวเล่ยรู้สึกอึดอัด ถึงเขาจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเย่โม่นั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือจริงๆ แต่จัวอ้ายกั๋วกลับพูดขึ้นว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ…ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไปไม่ถึงสนามบินที่เสียนซาน”
เซียวเล่ยที่ไร้ทางเลือกจึงทำได้แต่จากไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจพร้อมกับจัวอ้ายกั๋ว
เรื่องสถานที่ฝึกฝนนั้น…ในเมื่อตอนนี้เย่โม่มีฟางหนานแล้ว เขาก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากจัวอ้ายกั๋วอีก
สถานที่ที่ฟางหนานช่วยเย่โม่หานั้นเป็นวัดที่อยู่ห่างจากหลิวเฉอแค่ 20 กิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักของพระรูปหนึ่งผู้ออกเดินทางเร่ร่อนซึ่งรู้จักกับฟางหนาน อีกทั้งวัดแห่งนี้ก็ได้ฟางหนานออกเงินทุนสร้างขึ้นมา เมื่อ 3 ปีก่อนจู่ๆ พระรูปนั้นก็หายตัวไป เหลือไว้แต่เพียงวัดนี้เท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะว่าเย่โม่ต้องการสถานที่ที่เงียบสงบห่างไกลผู้คนล่ะก็…แน่นอนว่าฟางหนานจะต้องเตรียมสถานที่อันหรูหราให้กับเย่โม่อย่างแน่นอน ฟางหนานเรียกให้ลูกน้องมาทำความสะอาดวัดให้กับเย่โม่
เย่โม่เข้าไปอาศัยอยู่ในวัดแห่งนี้ สิ่งสำคัญก็คือเขาต้องการจะปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ และตรวจสอบ ที่มาของ ‘เถาวัลย์ม่วง’ ชิ้นนี้…
จากคำพูดของฟางหนานนั้น เมื่อ 7 ปีก่อนตอนที่เขากำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่ ที่หุบเขาตรงชายแดนของเวียดนามเขาได้พบศพของพระทิเบตรูปหนึ่ง บนศพนั้นเขาได้เจอกับกล่องไม้ชิ้นนี้ เขารู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่ ซึ่งภายหลังเขาถึงมารู้ว่ามันคือรากม่วงดำนั่นเอง
เพราะเจอรากม่วงดำชิ้นนี้ ฟางหนานจึงช่วยขุดหลุมฝังศพให้กับพระทิเบตรูปนั้น
เย่โม่ถามถึงแผนที่ตรงที่ฟางหนานพบศพพระทิเบต รวมถึงสถานที่ที่เขาฝังศพด้วย เย่โม่ต้องการจะไปตรวจสอบดูเสียหน่อย ในเมื่อพระรูปนี้มี ‘เถาวัลย์ม่วง’ อยู่กับตัว ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะมีของอย่างอื่นติดตัวมาด้วยก็ได้ ไปตรวจสอบดูก็ไม่เลว
วัดที่เย่โม่อาศัยอยู่นั้นถือว่าไม่เล็กเลย มันกว้างประมาณ 50 ถึง 60 ตารางเมตร และที่สำคัญที่สุด รอบๆวัดเย่โม่ก็เตรียมที่เอาไว้เรียบร้อย...เพื่อรอปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ นั่นเอง
เขาไม่กล้าที่จะปลูกทั้ง 39 เมล็ดลงไปพร้อมๆ กัน นั่นเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่จะเหมาะกับการปลูกหรือไม่ ถ้าเกิดไม่เหมาะสมขึ้นมาล่ะก็เมล็ดพวกนี้ก็จะเน่าเสียจนหมด ถึงตอนนั้นแม้แต่จะร้องเขาก็คงร้องไม่ออกแล้ว
ถึงแม้เย่โม่เองจะไม่แน่ใจว่าบนโลกนี้ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จะมีแค่ที่อยู่ในมือของเขาหรือไม่…แต่เขาก็รู้ว่าต่อให้ยังมีปลูกอยู่ที่อื่นอีกก็ไม่แน่ว่าเขาจะหาพวกมันเจอได้อีกแล้ว
เย่โม่แบ่งมาปลูก 19 เมล็ด และสร้างเครื่องป้องกันรอบๆ จุดที่เขาปลูกเอาไว้ เย่โม่เตรียมจะเดินทางไปที่ซานหลิน ถึงยังไงการจะรอต้นพวกนี้โตก็กินเวลาอีกหลายเดือน อีกอย่างตอนนี้ระดับพลังปราณของเขาก็ยังไร้หนทางพัฒนา เขาจึงอยากจะไปสำรวจศพพระทิเบตที่ฟางหนานฝังเอาไว้เสียหน่อย
หลังจากบอกลาฟางหนานแล้ว เย่โม่ก็ออกจากหลิวเฉอทันที เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ฟางหนานพยายามจะหนีเอาชีวิตรอดตอนนั้น ในความคิดของเย่โม่นั้น การเพิ่มพูนพลังปราณถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้!