บทที่ 5.ชะตากำหนด
บทที่ 5.ชะตากำหนด
บุรุษหนุ่มสวมชุดสีดำสนิทไร้ลวดลายใด แต่กระนั้นก็ยังเป็นผ้าไหมเนื้อดี เขาเอนกาย หลังพิงลำต้นของต้นไม้ ปล่อยขาข้างหนึ่งห้อยลงมา ส่วนอีกข้างเหยียดยาวไปตามแนวของกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ริมฝีปากบางคาบใบไม้ สายตายังคงมองเหม่อไปที่ขอบฟ้าสีคราม
กลับเข้ามาบ้านตัวเองได้ครึ่งเดือนแล้ว เหตุใดรู้สึกไม่คุ้นเคยและว่างเปล่าเช่นนี้นะ
แม้สายตาจะอยู่ที่ท้องฟ้า แต่ด้วยประสาทการรับรู้ไวกว่าปกตินั้นทำให้รู้ว่ามีคนไต่กิ่งไม้ขึ้นมาจนถึงกิ่งที่ใกล้เขาที่สุด
“ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้
สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที
“เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ”
“หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้
“ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก” สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ
“เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า”
“ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้”
รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์ ครานั้นเขายังไม่รู้ว่า ‘สวินเย่ว์’ เป็นใคร เพียงแต่เห็นว่าเขาเป็นทหารระดับล่างที่มีฝีมือดี สวินเย่ว์เคยช่วยเขาเมื่อครั้งที่ลอบออกจากตำหนักสองหรือสามครั้ง ใบหน้าเรียบนิ่งและท่าทีหยิ่งยโสนั้นรบกวนจิตใจเขา คนผู้นี้ไม่เปิดโปงเขาและไม่ปากมาก เดิมทีคิดจะลากสวินเย่ว์มาเป็นองครักษ์ข้างกาย แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาจึงรู้สึกว่าทหารผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงคบหาอย่างสหาย แม้ไม่ได้พบเจอกันบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ได้พบกลับรู้สึกราวกับคนคุ้นเคย เมื่อรู้ความจริงว่าสวินเย่ว์เป็นบุตรชายคนโตสกุลสวิน ตระกูลนักรบหลายชั่วอายุคน เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
สวินเย่ว์เองรู้ดีมาตั้งแต่พบหน้าฝูหรงครั้งแรกว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท แม้ตัวเขาใช้ชีวิตนอกจวน แต่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวังหลวงและการทหารย่อมอยู่ในสายตาของเขาตลอด มิเช่นนั้นเขาจะยังสามารถใช้ชีวิตรอดพ้นคมกระบี่มาถึงเวลานี้ได้หรือ? แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขารู้ เขาจึงแสร้งไม่รู้ กระทั่งยามที่ได้พบกันในท้องพระโรง เขาไม่เห็นแววตาแตกตื่นหรือประหลาดใจของฝูหรงแม้แต่น้อย ตามจริงแล้วเมื่อฐานะที่แท้จริงของเขาเปิดเผย ฝูหรงไม่จำเป็นต้องแต่งกายชุดขันทีลอบมาพบเขาเช่นนี้
หรือว่าชายผู้นี้ชอบชุดขันทีนี่จริงๆ
ฝูหรงเห็นแววตาวูบหนึ่งของสวินเย่ว์มีคำถามแล้วก็กลบเกลื่อนด้วยการมองไปทางอื่น
“ดูเหมือนเจ้าไม่ชอบอยู่จวนเท่าไหร่นี่” ฝูหรงไม่ใส่ใจสายตาแปลกๆ วูบนั้น
“แค่ไม่คุ้น มิใช่ไม่ชอบ” สวินเย่ว์ไหวไหล่เล็กน้อย “อีกอย่างการที่ข้าเลื่อนมารับตำแหน่งแม่ทัพในครั้งนี้ทั้งที่เหตุการณ์ไม่คลี่คลายดีนัก ข้าอยากกลับไปสะสางให้แล้วเสร็จ”
“อ้อ...เจ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพมีความดีความชอบเพราะสังหารแม่ทัพที่คิดก่อกบฏ” ฝูหรงแสร้งพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แสดงว่าคนในสกุลสวินนั้นระแคะระคายเรื่องเหล่านี้มาตลอดจึงยอมส่งบุตรชายคนโตเข้ากองทัพโดยไม่เปิดเผยตัวจริงออกไป “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานงานสมรสให้เจ้าด้วยนี่ เจ้าจะได้เป็นถึงราชบุตรเขยเลยทีเดียว”
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นแล้วปรายตามองอีกฝ่าย เรื่องนี้เขาได้ยินมาบ้างและแจ้งกับบิดาให้ช่วยยับยั้งไว้ก่อน หรือจะให้ดีก็ทำให้ฮ่องเต้เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้เสีย
“บ้านเมืองยังไม่สงบ อย่าได้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
“ฟังเหตุของเจ้าแล้วดูดีนัก หรือเจ้ามีนางในดวงใจ อย่างไรให้ข้าช่วยออกหน้าให้ดีหรือไม่” ฝูหรงอดกระเซ้าสหายมิได้ นอกจากสวินเย่ว์แล้ว เขาก็ไม่ค่อยได้พูดจาเช่นนี้กับผู้ใด
“ข้าไม่ได้มีเวลาว่างคิดเรื่องพรรค์นั้น”
“หรือเจ้าชอบบุรุษ”
คราวนี้เห็นเส้นเลือดที่ขมับของสวินเย่ว์เต้นตุบๆ ขึ้น ฝูหรงจึงยอมรามือ
“สรุปว่าเจ้ามีเรื่องที่อยากทำแต่ยังออกไปไม่ได้สินะ”
“ท่านเองก็คงไม่ต่างจากข้า” เขาปรายตามองชุดขันทีอีกครั้ง
“ข้าแค่อยากหาเด็กคนนั้นให้พบ” ฝูหรงระบายลมหายใจเบาๆ
“ผ่านมาห้าปีแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงเติบโตอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว” สวินเย่ว์รู้เหตุผลที่องค์รัชทายาท ลอบออกจากตำหนักบูรพา มิใช่เที่ยวเล่น แต่เพื่อตามหาใครคนหนึ่ง ฝูหรงไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก บอกเล่าแค่ว่าเมื่อห้าปีก่อนมีเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นการลอบสังหาร
“หรือนางอาจตายไปนานแล้วก็เป็นได้”
ฝูหรงพยักหน้ายอมรับ “ไม่พบศพนาง ข้าไม่อาจทำใจได้ว่านางตายแล้ว”
“หรือเพราะเจ้ารู้สึกติดค้าง จึงไม่ยอมรับว่านางตายไปแล้ว”.