บทที่ 1.เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า
บทที่ 1.เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน
“เด็กหน้าผี!”
“เด็กหน้าผี!”
“เด็กหน้าผี!”
“โอ๊ย!”
เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และคงเพราะทนความเจ็บไม่ไหวจึงส่งเสียงร้องออกมา เพียงเสียงร้องเจ็บปวดที่แหบแห้งดังขึ้น เด็กตัวโตเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง
สวินเย่ว์ ได้แต่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ ดวงตาคมกริบคู่นั้นหรี่มองเด็กตัวเล็ก เพ่งมองเพียงครู่เดียวก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่เขากับไต้ซือเคยช่วยเหลือเมื่อครึ่งปีก่อน
เมื่อตอนที่เขาอายุสิบขวบนั้น มีนักพรตบ้าบอจากที่ใดไม่รู้มาตรวจดวงชะตาของเขา แล้วกล่าวหาว่าดวงชะตาของเขาเป็นดวงชะตาทรราช ในภายภาคหน้าสองมือจะเปื้อนโลหิต นั่งอยู่บนภูเขาซากศพคนนับแสน ด้วยคำทำนายอันน่าสะพรึงนี้ แม้บิดาไม่ใช่ผู้โง่เขลาเลื่อนลอย แต่วีรกรรมที่เขาก่อมานั้น ผู้อื่นมองว่าเขาร้ายกาจแต่เด็ก มีแววตากระหายโลหิต ประจวบกับไต้ซือซูผ่านมาพอดี ได้ยินเรื่องคำทำนายดวงชะตาของเขาแล้วก็เอาแต่พยักหน้าขึ้นลง แล้วเอ่ยปากขอรับเลี้ยงเขาไว้เป็นเวลาสี่ปี แม้มารดาไม่ยินดีแต่ด้วยบิดาเลื่อมใสไต้ซือซูมานาน จึงยอมให้เขาคิดตามไต้ซือซูที่ท่องเที่ยว อีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดแล้ว เขาจะได้กลับ ‘บ้าน’ เสียที
ครึ่งปีก่อนเขากับไต้ซือซูบังเอิญพบเหตุการณ์คนชุดดำกลุ่มหนึ่งไล่ล่ารถม้าคันหนึ่ง จนกระทั่งรถม้าและม้าหลุดออกจากกัน รถม้ากลิ้งหลายตลบตกลงมาที่ตีนเขา เดิมทีเขาไม่คิดช่วยเหลือผู้ใดอยู่แล้ว แต่ชื่นชอบการฆ่าฟันเป็นชีวิตจิตใจ เขาสนใจชายร่างใหญ่ผู้นั้น แม้ปิดบังใบหน้าแต่ดวงตาดุดัน แผ่ไอสังหารอำมหิตรุนแรง ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน อยากประมือด้วยสักครั้ง แต่เมื่อเห็นชายผู้นั้นใช้มือข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อเด็กหญิงที่สวมชุดเด็กชายขึ้นมา ใช้มือที่สวมถุงมือดูประหลาดตา กางนิ้วทั้งห้าบีบศีรษะเด็กน้อย ฝ่ามือนั้นราวกับนาบมาด้วยไฟเมื่อสัมผัสศีรษะของเด็กน้อยก็ได้กลิ่นเนื้อไหม้และเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงผู้นั้น
ไม่ทันรู้ตัว เขาก็หยิบลูกศรขึ้นคันธนูแล้วปล่อยออกไป
“สวินเย่ว์”
ได้ยินเสียงราบเรียกเหมือนดึงสติของเขาไว้ทำให้เขาชะงักไป เขาไม่คิดจะช่วยเด็กหญิงตัวน้อย เพียงแค่มองว่าคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมคือเขาต่างหาก!
ทว่าไม่ได้ประมือกันจริงจัง คนของสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์คำรามมาปรากฏตัวเสียก่อน เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจผู้ใด แต่เพราะไต้ซือซูบังคับให้เขาติดตามคนกลุ่มนี้กลับไปด้วย ไต้ซือซูช่วยชีวิตเด็กหญิงคนนั้นแต่ใบหน้าของนางมีรอยแผลที่คาดว่าจะทิ้งแผลเป็นไว้ และเพราะเลือดเข้าดวงตา นางต้องปิดดวงตากลายเป็นคนตาบอดไปนานนับเดือน ที่ซ้ำร้ายกว่า ขาข้างขวาถูกเหยียบจนกระดูกแตก นางไม่สามารถเดินเหินได้อย่างคนปกติ จึงไม่แปลกที่ยามนี้นางจะเดินลากขาข้างขวา ไต้ซือซูช่วยรักษาดูแลนางอยู่ครึ่งเดือน ระยะเวลานั้นเขาอยู่ในสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์คำรามโดยไม่สนใจผู้อื่น นอกจากนั่งๆ นอนๆ และฝึกยุทธ์ตามที่ไต้ซือซูแนะนำเช่นทุกวัน
เด็กคนนั้นอยู่ในห้องของนาง มีหมอท่านหนึ่งเข้ามาช่วยรักษานาง เขาได้ยินไต้ซือซูเรียก ‘หมอหวังข่าย’ และชายหนุ่มอีกคนที่เป็นน้องชายเจ้าของสำนักคุ้มภัยชื่อ ‘เกาเทียนฉี’ คอยดูแลนาง เขาไม่เคยเข้าไปเยี่ยมดู นางมิใช่ญาติพี่น้องคนรู้จัก ที่ยื่นมือช่วยอุ้มนางมาเพราะถูกสายตาของไต้ซือซูสั่งให้ทำ แต่ในบางคืนที่เขาหลบออกมาเดินเล่นผ่านมาทางห้องที่นางอยู่ ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นลอดผ่านบานหน้าต่างออกมา
นางอายุเท่าไหร่กัน
เด็กตัวแค่นั้น....
ผ่านไปครึ่งเดือน ไต้ซือซูบอกให้เขาเตรียมตัวเพื่อเดินทาง ก่อนจากไป ได้บอกกล่าวกับเกาฮ่วนปิ่งว่าจะกลับมาเยี่ยมดูอาการเด็กคนนั้นอีกครั้ง
ผ่านมาครึ่งปี ประจวบกับครบกำหนดกลับบ้านของเขาแล้ว ไต้ซือซูแวะมาดูอาการเด็กหญิงคนนั้นและเตรียมส่งเขากลับคืนสู่ครอบครัว
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีจ้องมองเด็กหญิงวัยสิบขวบที่ค่อยๆ ยันกายขึ้น นิ้วมือเล็กๆ ปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิง นางมิได้ปักปิ่นหรือเกล้าผม เพียงใช้แถบผ้าสีแดงสดรวบมัดเส้นผมไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ร่างเล็กลากเท้าข้างที่เจ็บค่อยๆ เดินไปริมตลิ่ง ก้มลงถอดรองเท้าแล้วยกชายกระโปรงขึ้นยื่นเท้าลงไปในสระน้ำ
ดวงตาเด็กหนุ่มกระตุก เขายืดกายแล้วลุกขึ้นกระโจนเข้าไปทางเด็กหญิงตัวน้อย มือกร้านจากการฝึกเพลงกระบี่ยื่นไปคว้าไหล่ของเด็กหญิงไว้ก่อนที่นางจะเดินลงน้ำไป
“นี่!”
เขากระชากร่างเล็กอย่างแรง เด็กหญิงหันกลับมามอง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง แรกทีเดียวเขาคิดว่านางตกใจและจะส่งเสียงหวีดร้องจึงรีบยื่นมือข้างหนึ่งไปปิดปากของนางไว้ก่อน
“อย่าร้องนะ” เขาเกลียดเสียงร้องของผู้หญิงที่สุด!
ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่านางยืนยันด้วยการพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขาจึงคลายมือออกและจับไหล่เล็กนั้นให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
“ท่านผู้มีพระคุณ”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”
“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”
“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”
คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”
“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”
“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเด็กหญิง “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเดินลงน้ำไปทำไม”
“ท่านผู้มีพระคุณเข้าใจข้าน้อยผิดแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรีบอธิบาย “นายท่านรองบอกให้ข้าน้อยลงไปแช่เท้าที่สระน้ำนี้บ่อยๆ ให้ข้าน้อยฝึกเดินในน้ำ”
ได้ยินถ้อยคำของนางก็ทำให้เด็กหนุ่มหน้าตึงไป เขาก้าวเท้าถอยห่างนางออกมาเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายงดงาม
สวินเย่ว์กวาดตามองเด็กหญิงตรงหน้า เขาไม่ได้ใส่ใจนางนัก ตั้งแต่พบกันเมื่อครึ่งปีก่อนก็จำอะไรเกี่ยวกับนางไม่ได้มาก เขาติดตามไต้ซือซูแรมรอนไปทั่วยุทธภพมาสี่ปี เวลาที่ผ่านมามิได้อยู่เปล่าดาย แต่ฝึกฝนวรยุทธ์จนกล้าแกร่ง ผนวกกับคำสอนพุทธศาสนาซึ่งไม่ค่อยจะเข้าไปในหัวของเขาสักเท่าไหร่ ฐานะครอบครัวของเขามิได้อ่อนด้อย เพียงแต่เมื่อติดตามไต้ซือแล้วจึงมักสวมเสื้อผ้าสีดำเรียบง่ายอย่างเคยชิน ทว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่มีกระทั่งปิ่นปักผม เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วดึงปิ่นหยกบนศีรษะของตนออกยื่นให้นาง
เด็กหญิงมองอย่างฉงนแต่มิได้รับไว้ ความใจร้อนของเด็กหนุ่มจึงผลักเข้าใส่มือนาง นางประคองไว้ด้วยสองมือแต่แววตายังเต็มไปด้วยคำถาม
“หันหลังมานี่”
“เจ้าค่ะ”
สวินเย่ว์เห็นเด็กน้อยรีบหมุนตัวทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขาพลันขมวดคิ้วไม่พอใจ นิสัยนางอ่อนแอเช่นนี้จะมีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรกัน เขาจับเส้นผมที่ยาวประบ่าแล้วเกล้าผมอย่างง่ายๆ ปักปิ่นหยกให้นาง ทว่าปลายนิ้วยังสัมผัสถึงรอยแผลของนาง แค่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นเนื้อไหม้
“ท่านผู้มีพระคุณ”
เด็กหนุ่มอ้าปากจะโต้เถียงนางให้เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ แต่เกรงว่ายามใดนางคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ ก็คงน่าเสียดายที่อุตส่าห์มีชีวิตรอดเช่นนี้ คิดได้ตามนั้นเขาจึงเก็บถ้อยคำเสีย
“ข้าให้” เขาปรายตามองเด็กหญิงอีกครั้ง “เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจากไป ไม่เหลียวกลับมามองอีก เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ นางก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของนาง
เพราะเขาหมุนตัวกลับและเดินจากไปโดยไม่เหลียวมอง
จึงไม่รู้ว่า
เด็กหญิงคนหนึ่งเฝ้ามองด้วยหัวใจที่สัตย์ซื่อต่อถ้อยคำของเขา