บทที่ 51 หมอเทวดาแห่งหนิงไห่
เมื่อเข้ามาในหลิวเฉอแล้ว รถออร์ดี้ของพวกเย่โม่ก็มาหยุดตรงหน้าบ้านที่สร้างด้วยศิลาแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เย่โม่สนใจก็คือบ้านศิลาแห่งนี้สร้างขึ้นมาได้แปลกตาเอามากๆ มันถูกสร้างเป็นรูปทรงครึ่งวงกลม ดูแล้วมีส่วนคล้ายกับเยิร์ต (กระโจมเคลื่อนย้ายได้ของชาวเอเชียกลาง ชาวมองโกลชอบใช้กระโจมชนิดนี้) มีหน้าต่างขนาดกะทัดรัดเหมาะกับผนังศิลา
จัวอ้ายกั๋วไม่อนุญาตให้เซียวเล่ยและเสี่ยวหยูเข้าไปด้วย มีเพียงเย่โม่ที่เขาพาเข้าไปในบ้านหินด้วยเท่านั้น
พื้นที่ข้างถือว่าไม่เล็ก ตรงส่วนกลางมีคนอยู่ถึง 20 กว่าคน ซึ่งคนพวกนี้มีร่างกายกำยำแข็งแรง รวมทั้งมีรังสีฆ่าฟันติดตัวด้วย ต่อให้ไม่รู้มาก่อนแต่เมื่อได้เจอคนพวกนี้ก็จะรู้แน่นอนว่าเป็นพวกเดนตาย ในคนเหล่านี้...นอกจากชายผมยาวหน้าตาดุดันที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวหน้าแล้ว ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ข้างเขามีปืนอยู่ในมือ ส่วนคนที่เหลือก็ล้วนมีมีดดาบอยู่ในครอบครองกันทั้งนั้น
เมื่อเห็นจัวอ้ายกั๋วและเย่โม่เดินเข้ามา ชายผมยาวที่นั่งอยู่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตรงประตูมีชายหน้าตาดุดัน 2 คนตรงเข้ามาเพื่อตรวจอาวุธบนตัวของเย่โม่และจัวอ้ายกั๋ว แต่เมื่อทั้ง 2 เดินมาถึงด้านข้างมือของเย่โม่ก็คว้าจับข้อมือของพวกเขา ราวกับไก่ตัวน้อยที่ถูกจับโยนออกไป...ชายทั้ง 2 ถูกจับโยนพุ่งออกไปนอกประตูราวกับลูกกระสุนด้วยความแม่นยำ
คนอื่นที่ถืออาวุธอยู่เมื่อเห็นดังนั้นก็ต่างยกอาวุธในมือขึ้นมา พวกเขารอคอยคำสั่งจากหัวหน้าเท่านั้น ชายร่างกำยำผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเห็นเย่โม่ยกลูกน้องร่างใหญ่ของเขาโยนออกไปอย่างง่ายดายแบบนั้น แววตาของเขาก็ปรากฏร่องรอยตื่นตระหนกแวบผ่าน ทว่าเขาก็ตั้งสติได้ในทันทีแล้วรีบโบกมือเพื่อห้ามไม่ให้ลูกน้องของตนลงมือ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับชาย 2 คนข้างๆ “พวกนายไปก่อน ส่วน ‘หิน’ กับ ‘เงา’ อยู่ที่นี่”
ผ่านไปสักพัก ภายในห้องนอกจากชายหัวหน้ากับลูกน้องอีก 2 คนแล้ว ก็เหลือเพียงจัวอ้ายกั๋วและเย่โม่เท่านั้น
ชายหัวหน้าผมยาวเข้าใจดี ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนที่พวกเขาควรจะไปหาเรื่อง ถึงแม้พวกเขาจะมีคนมากกว่าก็ไม่ใช่คู่มือของชายหนุ่มคนนี้ กับคนที่สามารถโยนชายร่างยักษ์ 2 คนได้สบายๆ แบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ ไม่สู้เขาทำเป็นใจกว้างเสียจะดีกว่า อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้คิดจะทำอันตรายจัวอ้ายกั๋วอยู่แล้ว เขารีบประกบหมัดกับฝ่ามือทำท่าคาราวะ “บอสจัว! ดีใจที่ได้เจอกัน! แล้วท่านนี้คือ...”
พูดจบเขาก็หันไปมองเย่โม่
จัวอ้ายกั๋วรู้สถานการณ์ดี คนที่ชายคนนี้หวาดกลัวก็คือเย่โม่ไม่ใช่เขา จัวอ้ายกั๋วจึงรีบโบกไม้โบกมือทันที “ประธานฟางไม่ต้องสนใจมากหรอก คนๆ นี้เป็นเพื่อนผมเอง เขาไม่ชอบพูดมาก เพียงแต่กลัวว่าผมจะเกิดอันตรายจึงได้ตามเข้ามาด้วยแบบนี้ ผมเตรียมของเอาไว้แล้ว แล้วทางประธานฟางล่ะ?”
ประธานหนุ่มผมยาวที่ชื่อฟางมองเย่โม่ด้วยความระแวงแวบหนึ่ง เขาหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนัง
เพียงแค่กล่องไม้นี้ถูกหยิบออกมา เย่โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณเหนือธรรมดาที่แผ่ออกมาแล้ว นี่ต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่ ถึงกับมีร่องรอยของพลังปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ได้แบบนี้ แววตาของเย่โม่ส่องประกาย เขารู้สึกได้เลยว่าของสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับเขา
“คุณจัวเอาของที่เตรียมไว้ให้ผมดูหน่อย” ประธานฟางที่หยิบกล่องไม้ออกมานั้นหันมามองจัวอ้ายกั๋ว
จัวอ้ายกั๋วยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเย่โม่ก็ลงมือเสียแล้ว กล่องไม้ในมือของประธานฟางลอยเข้าสู่มือของเย่โม่ด้วยตัวเอง
ประธานร่างกำยำตกตะลึง เขาผุดลุกขึ้นทันที แต่ร่องรอยความตื่นตระหนกนั้นก็ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด ตอนนี้แววตาของประธานฟางไม่เพียงแต่ระแวดระวัง แต่ยังเต็มไปด้วยความเคารพและหวาดกลัว
ไม่เพียงแต่ประธานร่างกำยำเท่านั้น ชาย 2 คนที่อยู่ข้างเขารวมถึงจัวอ้ายกั๋วเองก็รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อขณะที่จ้องมองไปทางเย่โม่ นี่มันความสามารถอะไรกัน? พลังลึกลับ? เพียงแค่โบกมือก็สามารถดึงของที่อยู่ห่าง 6-7 เมตรมาหาตัวเองได้แบบนี้
เย่โม่ไม่สนใจสายตาหวาดกลัวของคนรอบข้างแม้แต่น้อย เขายื่นมือไปเปิดกล่องไม้ทันที ข้างในเป็นเถาวัลย์สีดำชิ้นหนึ่ง เย่โม่หยิบมันขึ้นมา มันแผ่คลื่นปราณออกมาจางๆ
‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’ เย่โม่รู้ทันทีว่านี่เป็นรากส่วนหนึ่งของเถาวัลย์หัวใจม่วง ซึ่งถือเป็นต้นไม้วิญญาณต้นหนึ่ง โลกนี้ถึงกับมีต้นไม้แบบนี้อยู่ เย่โม่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าโลกนี้พลังปราณฟ้าดินถือว่าน้อยมาก ดังนั้นการได้เจอหญ้าหัวใจสีเงินนั่นก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว มาตอนนี้ได้เจอเถาวัลย์หัวใจม่วงอีก น่าเสียดายที่มีน้อยนัก…ถ้ามีมากกว่านี้อีกหน่อยก็คงจะดี
“น้องเย่โม่...นาย...” จัวอ้ายกั๋วถูกความสามารถของเย่โม่ทำให้ตกตะลึงไป คำพูดก็ตะกุกตะกัก เดิมทีการที่เย่โม่ซัดคนหลายคนจนหมอบได้ เขาก็มองว่าเย่โม่ก็คนมีฝีมือคนหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้การที่เย่โม่สามารถใช้พลังดึงสิ่งของจากอากาศได้แบบนี้ เขาไม่อาจใช้คำว่า ‘มีฝีมือ’ มาจำแนกเย่โม่ได้อีกแล้ว นี่มันเหนือธรรมชาติแล้ว!
“พี่จัว ของชิ้นนี้มีประโยชน์กับผม ขอได้ไหม?” ถ้าเป็นเงินร้อยล้านดอลล่าล่ะก็เย่โม่ก็คงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ แต่กับของชิ้นนี้...ถึงแม้ที่ๆ เขาจากมาจะมีของแบบนี้อยู่มากมาย แต่กับที่นี่แล้วก็อาจจะหาไม่ได้อีก หากไม่ใช่เพราะโชคช่วยล่ะก็ บางทีทั้งชีวิตเขาคงไม่มีทางได้เจอเศษชิ้นส่วนของเถาวัลย์ม่วงแบบนี้
“อา...” เหมือนกับว่าจัวอ้ายกั๋วยังไม่หายตกตะลึงกับการกระทำของเย่โม่ เมื่อได้ยินเสียงของเย่โม่จึงได้ส่งเสียงออกไปแบบนั้น เขาได้สติขึ้นมาทันทีแล้วรีบพูดขึ้น “ในเมื่อน้องเย่ชอบก็เอาไปเถอะ รากม่วงดำแบบนี้พบเห็นได้ยาก ฉันเองก็บังเอิญได้รู้เหมือนกันว่าที่หลิวเฉอมีของแบบนี้อยู่”
เย่โม่ที่ได้ยินว่าจัวอ้ายกั๋วเรียกมันว่ารากม่วงดำก็ไม่ได้แก้ไขอะไร บางทีที่นี่อาจจะเรียกกันแบบนี้ก็ได้
จัวอ้ายกั๋วพูดจบก็หยิบซองๆ หนึ่งขึ้นมา เขาเดินไป 2-3 ก้าวแล้วยื่นให้กับชายกำยำผมยาว “นี่เช็คเงิน คุณตรวจดูสิ”
ประธานฟางเองก็ตั้งสติได้แล้ว เขารีบเดินมาคำนับเย่โม่ “ผมชื่อฟางหนาน ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าแก๊งเล็กๆ แก๊งหนึ่ง ไม่ทราบว่าพอจะบอกนามอันสูงส่งของพี่ชายได้หรือไม่?”
เขาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่คนธรรมดาจึงเกิดความคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเย่โม่ ถึงแม้เย่โม่จะอายุน้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ยังเรียกเย่โม่ว่าพี่ชายอยู่ดี
เย่โม่มองชายผมยาวร่างกำยำ เขาไม่รู้ว่าชายตรงหน้าหาของชิ้นนี้มาได้ยังไง เดี๋ยวคงต้องลองถามดู อีกอย่างชายคนนี้ก็คงอยู่ที่นี่มานานพอสมควร รู้จักกับงูเจ้าถิ่นไว้หน่อยก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน
“ฉันชื่อเย่โม่ หลังจากนี้ฉันคิดจะอยู่ที่หลิวเฉอนี่สักพัก” เย่โม่พูดเรียบๆ
“อา! ดีเลย! ถ้าหากพี่เย่เจอปัญหาอะไรล่ะก็ติดต่อผมฟางหนานตรงๆ ได้เลย ส่วนรากม่วงดำอันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบของพวกเราก็แล้วกัน ต้องขอโทษด้วยพี่จัว พี่เอาเช็คเงินนี่คืนไปเถอะ” พูดจบฟางหนานก็ยืนซองนั้นคืนให้กับจัวอ้ายกั๋ว
จัวอ้ายกั๋วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาส่งซองนั้นให้ฟางหนานอีกรอบ “เราตกลงกันแล้ว นี่เป็นของที่ผมต้องการจะให้น้องเย่ จะไม่จ่ายเงินได้อย่างไร”
เมื่อเห็นทั้ง 2 โต้เถียงกันอยู่เย่โม่ก็โบกมือ “ประธานฟางรับเช็คเงินนี้ไปเถอะ นายมีลูกน้องอยู่ตั้งมาก ยังต้องใช้เงินนี้เป็นค่าใช้จ่ายอีก จริงสิ! ทำไมพี่จัวถึงต้องการรากม่วงดำอันนี้ล่ะ?”
จัวอ้ายกั๋วถอนหายใจ “พี่มีลูกชายอายุ 7 ขวบอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรอยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนเอ๋อสมองพิการไปเสียได้ 2 ปีที่ผ่านมานี้พวกเราพาลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วก็หลายแห่ง เชิญผู้เชี่ยวชาญมาก็มากแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย หลังจากนั้นก็มีหมอแผนจีนคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า หากแช่รากม่วงดำในน้ำแล้วดื่มติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปีจึงจะมีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติ พี่ใช้ทุกวิถีทางจึงได้รู้ว่าประธานฟางมีของชิ้นนี้อยู่กับตัว พี่จึงได้รีบมาที่นี่”
“จริงๆ แล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ลุงใหญ่ของพี่ได้พบเจอกับหมอเทวดาท่านหนึ่งที่หนิงไห่ แต่พอพี่รีบไปหาหมอเทวดาท่านนั้นก็หายตัวไปเสียแล้ว พี่คิดว่าเขาต้องรักษาอาการนี้ได้แน่นอน เฮ่อ...โชคไม่ดีจริงๆ อีกอย่างรากม่วงดำอันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาลูกชายของพี่ได้ หมอแผนจีนคนนั้นพูดแค่ว่าอาจจะรักษาได้เท่านั้น น้องเย่เอามันไปเถอะ”
“หนิงไห่?” เย่โม่ทวนออกมาคำหนึ่ง คิดในใจว่าตัวเองก็เพิ่งออกมาจากหนิงไห่ บางทีจัวอ้ายกั๋วอาจจะพูดถึงชายแก่ที่เขาช่วยครั้งที่แล้วก็เป็นได้
“ใช่แล้ว หนิงไห่... ที่โรงพยาบาลลี่คัง ต้องรู้ก่อนว่าลุงใหญ่ของพี่เป็นโรคเรื้อรังมาหลายปีแล้ว แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายยังวินิจฉัยไม่ได้เลยว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ หมอเทวดาท่านนั้นกลับสามารถช่วยชีวิตลุงใหญ่ของพี่ได้ น่าเสียดาย... การได้พบหมอเทวดาท่านนี้นั้นถือเป็นโชคครั้งใหญ่ คิดจะพบอีกครั้งก็คงยากแล้ว” จัวอ้ายกั๋วพูดอย่างท้อแท้