บทที่ 2. กัวจื่อหราน
บทที่ 2. กัวจื่อหราน
บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งตวัดชายเสื้อแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานในห้อง ดวงตาคมปราบปรายตามองหนังสือรายงานซึ่งวางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้แดงหรูหราสมฐานะเจ้าเมืองตันหยาง
“มีความเคลื่อนไหวใดอีกหรือไม่” จำได้ว่าหลายปีมานี่ หลินเหิงอี้อาศัยอยู่ในเมืองตันหยางโดยไร้สตรีข้างกาย
“เท่าที่สายของเรารายงานมา หลินเหิงอี้เพิ่งรับหลานสาวมาอยู่ด้วยขอรับ”
“หลานสาว?”
“ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของหลินยี่ห้าน น้องชายคนเล็กของหลินเหิงอี้ขอรับ”
กัวจื่อหราน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือลูบคางของตน “มีข้อมูลหรือไม่”
“รู้เพียงเบื้องต้นว่าชื่อหลินอวี้เจิน อายุสิบเจ็ดบิดาคือหลินยี่ห้านเปิดสำนักศึกษาเล็กๆ นางหมั้นหมายกับบุรุษผู้หนึ่งแต่เมื่อสามเดือนก่อนกลับไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง บิดาจึงส่งมารักษาแผลใจกับผู้เป็นลุงคือหลินเหิงอี้”
จางหยวน ผู้ติดตามข้างกายกัวจื่อหรานมานานกว่าสิบปีเงยหน้ารายงาน “หากใต้เท้าต้องการ ข้าน้อยจะสืบหาข้อมูลมาให้ทราบมากกว่านี้”
“ดี...เพื่อจำเป็นเราอาจต้องใช้นาง”
“เพื่อแลกกับไข่มุกน้ำตาจันทราหรือขอรับ”
กัวจื่อหรานกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าต่าง ตันหยางเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์นอกแนวกำแพงเมืองคือภูเขาสูงตระหง่านเป็นแหล่งสินแร่มีค่ายิ่ง ตระกูลกัวปกครองเมืองตันหยางมาหลายชั่วอายุคน กัวจื่อหรานที่รับตำแหน่งนี้มาเจ็ดปีพอดี แม้จะรับตำแหน่งนี้มาเพียงเจ็ดปี แต่เพราะติดตามบิดามาตั้งแต่เด็ก เขาถูกฝึกฝนมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง ทั้งฝึกยุทธและศึกษาการปกครองล้วนไม่ด้อยกว่าผู้ใด เขาปกครองตันหยางด้วยความเด็ดขาด เหล่าหทารในการปกครองล้วนภักดีต่อเขา เช่นเดียวกับชาวบ้านที่รักใคร่เทิดทูนเขาประดุจเทพเซียน
“ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าต้องเอาไข่มุกน้ำตาจันทรา กลับคือสู่ตระกูลกัวให้ได้!”
น้ำเสียงที่ประกาศกร้าวของกัวจื่อหราน ทำให้คนสนิทได้ยินถึงกับเย็นสันหลังวาบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามดุจราชสีห์
กัวจื่อหรานหันหลังกลับมามองจางหยวนแล้วโบกมือ
“เจ้าไปพักผ่อนได้แต่พรุ่งนี้ข้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหลานสาวของหลินเหิงอี้”
“ขอรับ” จางหยวนประสานมือทำความเคารพแล้วก้าวออกไปเงียบๆ
กัวจื่อหรานบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี มีใบหน้าเคร่งขรึมอยู่เสมอ แม้หน้าที่การงานหนักหน่วงเพียงใด แต่สำหรับเขาแล้ว “ไข่มุกน้ำตาจันทรา” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอ
ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว
กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน
ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป
แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรียนวิชายุทธกับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นสามปีจึงได้กลับบ้านเพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งสืบทอดจากบิดา
กัวจื่อหรานมีพี่น้องร่วมบิดาหลายคน ทว่าเขาไม่สนิทสนมกับใครเลยสักคน ทุกคนมักก้มหน้าหรือหลบสายตายามที่พบกันเสมอ นานวันเข้าเขาจึงชินชา จนกระทั้งปีที่เขาอายุสิบแปดจึงได้เกิดเรื่องขึ้น เป็นปีแห่งการพลิกผัน เขารับตำแหน่งสืบทอดผู้ปกครองเมืองตันหยางจากบิดาที่ล้มป่วย และน้องชายคนเล็กถูกลักพาตัว พร้อมกับคำสั่งเสียก่อนสินใจของบิดาที่ติดตามหาไข่มุกน้ำตาจันทราคืนให้ได้
เป็นเวลาเนิ่นนานราวเจ็ดปีที่กัวจื่อหรานออกสืบเสาะค้นหาการหายไปของ ‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’อย่างเงียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นข่าวและเป็นที่ครหา แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงกระซิบนินทาเรื่องทิ่บิดาลอบมอบไข่มุกประจำตระกูลให้อนุคนโปรด เขารังเกียจข่าวคาวเช่นนี้ยิ่งนัก!
มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นก่อนจะทุบไปที่ผนังห้องเพื่อระบาดความโกรธแค้น!
เขาไม่มีทางเชื่อว่าบิดาจะทำเช่นนั้น ทางเดียวที่จะแก้คำครหานั้นได้คือตามหาสิ่งที่หายไปและสืบให้รู้ความจริง
สองเดือนที่แล้ว สายสืบส่งข่าวมาว่า คนที่อนุของบิดาติดต่อก่อนตายเป็นเพียงพ่อค้าที่ตั้งตัวมาจากครอบครัวชาวนา แต่เพียงไม่นานกลับพลิกผันเป็นเศรษฐีได้ อาจเพราะแต่เดิมมีชาติกำเนิดมาจากชาวนายากจน หลินเหิงอี้จึงมีนิสัยโผงผาง พูดจาเสียงดังแลดูไร้มารยาท แต่เจ้าเล่ห์ในการต่อรอง ไม่รู้เหตุใดอนุของบิดาผู้เรียบร้อยอ่อนหวานของเขาจึงได้รู้จักชายไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้
“หลานสาว? นี่กล้าพาหลานสาวมาถึงที่นี่รึ!!”
กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอ เอาซิ! ขอให้ได้เห็นหน้าเห็นตาหลานสาวคนใจสกปรกผู้นั้นก่อนเถิด แล้วเขาอาจเมตตาต้อนรับอย่างไม่รู้ลืม!
เพล้ง!!!
เสียงของตกแตกทำให้กัวจื่อหรานตื่นจากภวังค์ เขาก้าวเท้าออกไปตามเสียงที่ได้ยิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานนัก หญิงรับใช้สองคนที่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาต่างพากันถอยออกห่างเหลือเพียงชายเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บนพื้นที่มีเศษแก้วกระจัดกระจาย
“อี้เซียวเจ้ากำลังทำอะไร” น้ำเสียงเนืองๆ ถามอย่างไม่ได้จะเอาความผิดแต่ประการใด เขาโบกมือให้บ่าวรับใช้ถอยห่างแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า
“พี่ใหญ่!” เด็กหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าเห็นดอกไม้ในแจกันนี่สวยดี อยากจะเอาดอกไม้ให้ท่านพี่แต่ข้าเอาออกไม่ได้ก็เลยทำแจกันแตก”
“อ่อ…” กัวจื่อหรานมองดูเศษแก้วที่กระจัดกระจายเกลื่อนอยู่ที่พื้น แจกันแก้วเจียระไนเป็นของล้ำค่า บรรดาบ่าวรับใช้จึงหวาดกลัวจนตัวสั่น
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่ๆ แต่ข้าทำแจกันแตก” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วยิ้มเจือน “พี่ใหญ่โกรธข้าหรือไม่”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” เขาพยุงน้องชายต่างมารดาขึ้นยืนแล้วหันไปทางสั่งบ่าวไพร่จัดการเก็บกวาดเศษแก้ว “คราวหน้าเจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย”
“อืม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้วอยากกินของหวานๆ พี่ใหญ่ไปกินกับข้านะ”
“พี่ไม่ชอบของหวาน” กัวจื่อหรานถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปกินเถอะ”
“อืม”
กัวจื่อหรานได้แต่มองร่างของน้องชายต่างมารดาด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน ปีนี้กัวอี้เซียวอายุสิบสี่แล้ว ตอนที่กัวอี้เซียวอายุเจ็ดขวบเคยถูกโจรลักพาตัวไป ตอนนั้นบิดาล้มป่วยอยู่ก่อนแล้ว เป็นเขากับกองทหารไล่ล่าจนพากัวอี้เซียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับนิ่งเงียบไปหลายวัน
คราแรกหมอเข้าใจว่าเป็นเพราะตกใจอย่างหนัก แต่เมื่อค่อยๆ ดูอาการต่อมาจึงรู้แน่ชัดว่า กัวอี้เซียวได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนเหมือนสติปัญญาจะหยุดการเจริญเติบโต เขากลายเป็นเด็กเจ็ดขวบที่ไม่ประสีประสาและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แม้ในขณะนี้เขาจะเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีแล้วก็ตาม
บิดาของของเขามีลูกมากมายก็จริง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่บิดารับมาอยู่ในจวนและมอบฐานะให้ สำหรับกัวอี้เซียวก็เป็นหนึ่งใน ‘ลูกรัก’ ที่บิดาเป็นกังวล ก่อนที่จะสิ้นใจทรงย้ำหนักหนาให้เขาดูแลกัวอี้เซียวอย่างดีที่สุด
ภาระและหน้าที่มันช่างแสนหนักหน่วงจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองถูกกดทับด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น อีกนานเท่าไหร่ที่ภาระหน้าที่เหล่านั้นจะเบาบางลงเสียที
จะมีสักวันไหมที่เขาจะได้ยิ้มหรือหัวเราะเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป