ตอนที่แล้วบทนำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2. กัวจื่อหราน

บทที่ 1. หลินอวี้เจิน


บทที่ 1. หลินอวี้เจิน

หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆก่อนจะลืมตาตื่นอย่างเต็มตา  นางยกมือขึ้นเช็ดรอยชื้นที่ขอบตาก่อนเหลียวมองการเคลื่อนไหวรอบข้าง   ขณะที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกรถม้าทำให้รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปอีกแล้ว  แม้จะหลับกลางวัน นางยังฝันถึงเรื่องราวที่ผ่านมามื่อสามเดือนก่อน

หลินอวี้เจิน ในวัยสิบเจ็ดปี นางเป็นบุตรสาวของหลินยี่ห้าน เจ้าของสำนักศึกษาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่กระนั้นบิดาก็มิได้แต่งภรรยาใหม่  บิดาทุ่มเทให้กับสำนักศึกษาของตนและเลี้ยงดูนางตามลำพัง นางจึงชื่นชอบการอ่านเขียน แต่งโคลงกลอนหรือวาดภาพเป็นอย่างมาก  แต่กระนั้นที่นางชื่นชอบกลับเป็นเรื่องการทำบัญชี  ตระกูลหลินแต่เดิมเป็นเพียงชาวนาที่ผันตัวเองมาทำการค้าขาย แต่มาประสบความสำเร็จที่รุ่นของหลินเหิงอี้-พี่ชายคนโตของหลินยี่ห้าน

แม้หลินเหิงอี้ประสบความสำเร็จในการค้า แต่ชีวิตคู่กับตรงข้าม เขาสูญเสียทั้งภรรยาและลูกที่ยังอยู่ในครรภ์จากอุบัติเหตุในขณะที่หลินเหิงอี้เดินทางไปติดต่อเจรจาการค้า   กว่าเขาจะกลับมาถึงบ้าน ภรรยาก็จากไปนานนับเดือนแล้ว  เรื่องนี้สะเทือนใจหลินเหิงอี้เป็นอย่างยิ่ง เขาไม่แต่งงานใหม่อีก กิจการในเมืองจู้หยางส่วนใหญ่ให้ หลินยี่จื่อ-น้องชายคนรองดูแล  ส่วนหลินยี่ห้านนั้นไม่ถนัดทำการค้า เขาแยกตัวมาเปิดสำนักศึกษาเล็กๆ คนที่มาเรียนเป็นครอบครัวชนชั้นกลางที่พอมีกำลังใจการจ่ายค่าเล่าเรียน เพียงเพราะหวังให้ลูกได้มีโอกาสที่ดีขึ้น

ตระกูลหลินคงมีเพียงหลินยี่จื่อที่ครอบครัวไม่ประสบเคราะห์กรรม เขามีภรรยาเอกที่ค่อนข้างปากร้ายไปสักหน่อยแต่ให้กำเนิดบุตรสาวงดงามชื่อ หลินซูซิน และเขายังมีภรรยารองที่มีบุตรชายให้ด้วยชื่อหลินลี่เฉีย ซ้ำยังมีอนุอยู่ในบ้านอีกสองคน

หลินเหิงอี้ไม่ชอบอยู่บ้านนัก  ชอบติดต่อซื้อขายสินค้าด้วยตนเอง  บิดามารดาแก่เฒ่าจึงมีหลินยี่จื่อ-น้องชายคนรองดูแลแทน กิจการร้านค้าส่วนใหญ่หลินยี่จื่อดูแล ยกเว้นร้านขายผ้าที่หลินเหิงอี้ให้หลินอวี้เจินผู้เป็นหลานสาวมาช่วยดูเรื่องบัญชี  ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด  นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้  เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใด

หลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน  เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล  นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้าน

จนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ  นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ  และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์   ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไป

ราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก  บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า  หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง  ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ  นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น   นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่  นางหวังเพียงสร้างครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่น  เช่นเดียวกับบิดามารดาของนาง

หลินอวี้เจินอาจปวดใจน้อยกว่านี้ ถ้าสตรีที่ติงกว่างอานมีความสัมพันธ์ไม่ใช่ญาติผู้น้องของนางเอง

‘เจินเอ๋อร์...เจ้าโกรธเกลียดข้าเถิด แต่อย่าโทษติงกว่างอ่านเลย เป็นข้าที่เข้าไปหาเขาในคืนที่เขาเมามายเอง แต่เจ้าจะให้ลูกของข้าเป็นลูกไม่มีพ่อหรือ? เจ้าทำได้หรือ?’

หลินอวี้เจินยกมือทาบหน้าอก  ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด  แค่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น ร่างกายนางแทบจะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว   หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดที่วิ่งวนในศีรษะ   รับรู้ได้ว่ารถม้าหยุดนิ่งสนิทแล้ว นางจึงก้าวลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แม้นางจะเป็นเพียงสตรี  แต่บิดาสอนเรียนเขียนอ่านด้วยตนเอง

“ท่านลุงใหญ่” ให้นางดูแลร้านขายผ้า ทำให้นางออกนอกบ้านไปดูกิจการที่ร้านบ่อยๆ  นางไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ  บิดาให้อิสระแก่นาง แต่อยู่ในกรอบจารีตประเพณีอันดีงาม  ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้

“เจินเอ๋อร์!!”

“ท่านลุงใหญ่”

หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วเร่งเดินไปหาชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ปีนี้อายุสี่สิบปีแล้ว  หลินเหิงอี้เบิกตามองหลานสาวที่ไม่ได้เจอกันปีเศษ   แต่กระนั้นข่าวคราวความเคลื่อนในบ้านเขาย่อมรู้ดีทุกเรื่อง  หลินเหิงอี้ไม่มีบุตร  หลังภรรยารักตายจากเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับกิจการการค้าของตระกูล ในบรรดาหลานๆ ที่เขาพบเจอนั้น  เขาชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด

อาจเพราะนางมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่และมีความดื้อรั้นเหมือนเด็กน้อย ผิดกับหลานอีกสองคนที่ถูกเลี้ยงอย่างตามอกตามใจจนแทบจะเสียคนอยู่แล้ว    หลินยี่ห้านเป็นน้องชายคนเล็กของเขา มีนิสัยรักสันโดษ ใฝ่รู้ ในครั้งนั้นแม้ครอบครัวยังเป็นเพียงชาวนา แต่บิดาเห็นหลินยี่ห้านหัวดีจึงผลักดันให้ได้รับการศึกษา ต่อมาแม้สอบเป็นบัณทิตเล็กๆ ได้ก็ทำงานราชการตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่โต แต่ด้วยความเถรตรงจึงไม่ก้าวหน้า ทำงานอยู่นานหลายปีสุดท้ายก็รวบรวมเงินที่มีอยู่เปิดสำนักศึกษา

ปีแรกๆ มีเด็กมาเรียนแค่สี่ห้าคน  แต่ช่วงนั้นกิจการการค้าของเขาเป็นไปอย่างดี  ได้กำไรค่อนข้างงาม  ฐานะเปลี่ยนไปอย่างมากจนหลายคนไม่เชื่อว่าแต่เดิมครอบครัวนี้เป็นเพียงชาวนายากจนมาก่อน   เขาช่วยเหลือหลินยี่ห้านตั้งแต่เด็ก จะว่าไปก็เลี้ยงน้องจนเหมือนเลี้ยงลูก  เมื่อหลินยี่ห้านเปิดสำนักศึกษา  เขาย่อมให้ความช่วยเหลือ ค่อยแนะนำชักจูงให้บุตรหลานผู้อื่นมาเรียนที่สำนักศึกษาของน้องชายคนเล็ก จากนั้นจึงเริ่มมีนักเรียนเพิ่มขึ้น สำนักศึกษาจึงดีขึ้นตามลำดับ

“เป็นอย่างไรบ้าง เดินทางมาแรมเดือนลำบากเจ้าแล้ว”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา  แม้บิดาให้อิสระแก่นาง  แต่นางไม่เคยเดินทางออกนอกเมืองเลยสักครั้ง นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรก  อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บิดาอนุญาตให้นางเดินทางมาหา ‘ท่านลุงใหญ่’  ที่เมืองตันหยางแห่งนี้

“ไม่เลยเจ้าค่ะ หลานตื่นเต้นมากกว่า” หญิงสาวยิ้มราวเด็กน้อยที่ได้ออกมาผจญภัย

“มาที่นี่ ลุงจะพาเที่ยวไม่ให้มีเวลาเหงาเลย”

“ท่านลุงจะมีเวลาพาหลานเที่ยวหรือคะ” นางหัวเราะออกมา ใครต่อใครรู้ดีว่าหลินเหิงอี้มีงานยุ่งมากเพียงใด

“เพื่อหลานรัก ลุงย่อมหาเวลาให้ได้อยู่แล้ว”

ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง  หลินเหิงอี้นึกขึ้นได้เรียกบ่าวรับใช้ให้จัดการย่ามเดินทางให้หลานสาว แต่นางกลับยื้อไว้จะถือเอง

“มีอะไรสำคัญหรือ?”  หลินเหิงอี้ถามอย่างแปลกใจ

“แค่...อุปกรณ์วาดรูปเจ้าค่ะ”

หลินอวี้เจินพูดอย่างเขินอาย นางไม่ห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับใด         แต่อุปกรณ์สำหรับวาดรูปรวมทั้งเครื่องเขียน ล้วนเป็นสิ่งคัญยิ่งสำหรับนาง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกใจสงบและนิ่งลงได้อย่างประหลาด ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม

“ไม่ต้องกังวลไป คนของลุงจะดูแลอย่างดีดุจเดียวกับ ‘น้ำตาจันทรา’ เชียวละ”  หลินเหิงอี้หัวเราะในลำคอแล้วส่งย่ามของหลานสาวให้คนสนิทถือเดินนำไปที่ห้องพักของหลานรัก

หลินอวี้เจินเอียงคออย่างสงสัย “น้ำตาจันทราคืออะไรหรือเจ้าคะ”

“ไข่มุกน้ำตาจันทรา”  ชายต่างวัยมองอย่างงุนงงไม่แพ้กัน “นี่หลานไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลยหรือ?”

หลินอวี้เจินส่ายหน้าไปมา “หลานไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้”

หญิงสาวตอบไปตามจริง แม้หญิงสาวทั่วไปสนใจเครื่องประดับ หรือแพรพรรณงดงาม แต่สำหรับนางกลับหลงใหลในหนังสือหรือตำรา  อาจเพราะบิดาเพาะบ่มนางด้วยกลิ่นอายของกระดาษ นางจึงชอบการอ่านเป็นอย่างยิ่ง และชื่นชอบพอๆ กับการวาดรูป  นางวาดรูปได้ธรรมดาสามัญ มิอาจอวดอ้างกับผู้ใดได้  แต่การวาดรูปนั้นทำให้นางผ่อนคลายที่สุดและใจสงบที่สุด

“เอาเถิด อยู่ไปนานๆ ก็คุ้นชินไปเอง”  หลินเหิงอี้แหงนหน้าหัวเราะ “ลุงไม่ให้อยู่ว่างเป็นแน่”

“หากมีสิ่งใดที่หลานทำได้ หลานยินดีทำให้เจ้าค่ะ”   นางหัวเราะคิกคัก แม้ไม่ได้พบกันบ่อยนัก แต่เมื่อครั้งที่ยังเด็ก นางจำได้ว่าหลินเหิงอี้เอ็นดูนางมาก เคยอุ้มนางดูโคมไฟ  ตามใจนางประหนึ่งเป็นลูกในไส้ก็ว่าได้   บิดาไม่ห้ามปรามด้วยเข้าใจว่าหลินเหิงอี้เห็นนางเป็นเหมือนลูกจริงๆ  เพราะหลินเหิงอี้เสียทั้งภรรยาและลูกไปก่อนที่นางจะเกิดแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก  อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน  พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง

“ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ”   แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ

“เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้

“ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ”  หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?”

ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ  ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร  หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”

หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”

หลิวอวี้เจินสบตากับหญิงสาวเบื้องหน้า นางแต่งกายเรียบง่าย ใบหน้าแต้มแต่งสีสันบางๆ แลดูสุภาพเรียบร้อย แล้วนางก็กลอกตามองทางท่านลุงที่ยืนรอคำตอบของนางอยู่  แม้นางไม่เอ่ยปากถามอะไร แต่กลับรู้ได้ว่าหลานสาวสงสัยเรื่องใดอยู่

“บ่าวชื่อหวังหมิ่นเจ้าค่ะ หากคุณหนูหลิวอวี้เจินมีสิ่งใดต้องการสามารถเรียกใช้บ่าวได้”

“ไม่ต้องเรียกข้าคุณหนูหรอก”  นางโบกไม้โบกมือไปมา “หากท่านลุงไม่ถือสา หลานอยากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเจ้าค่ะ”

“เอาเถิด เราอยู่กันเอง ลุงไม่เคร่งครัดอะไร”

หลินเหิงอี้มองหลานสาวเต็มตาอีกครั้ง  เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เคยอุ้มหยอกล้อนั้น บัดนี้กลายเป็นสาวงามไม่น้อย  หลินยี่ห้านแทบไม่เคยขอความช่วยเหลือใดๆ จากเขาเลย จนกระทั้งมีจดหมายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น   แต่เดิมเขาเองก็ไม่ค่อยชอบคู่หมั้นของหลินอวี้เจินนัก  เป็นผู้ชายที่ดูเหลาะแหละมากกว่าที่จะเป็นผู้นำครอบครัวได้  แต่เมื่อหลานสาวรักใคร่ชอบพอและหลินยี่ห้านเห็นเหมาะสม เขาเป็นแค่ลุงจึงไม่ได้คัดค้าน แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นมาจนได้

“เช่นนั้นหลานพักผ่อนก่อนเถิด”  หลินเหิงอี้พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต  “ลุงต้องเตรียมหาของขวัญไปมอบให้ท่านเจ้าเมือง”

“ท่านลุงสนิทสนมกับท่านเจ้าเมืองด้วยหรือเจ้าคะ”

นางอดประหลาดใจไม่ได้  ต้นตระกูลของนางเป็นชาวนา มีท่านลุงใหญ่บุกเบิกทำการค้า แต่จากที่บิดาเล่าให้นางฟัง รุ่นหลานอย่างนางถือว่าเกิดมาไม่ต้องพบความยากลำบากเพราะท่านลุงหลินเหิงอี้

“อีกสองวันวันเกิดท่านเจ้าเมือง”    หลินเหิงอี้อธิบาย “ใต้เท้ากัวจื่อหราน อายุเพียงยี่สิบห้า แต่ผลงานมากมายนัก ที่นี่เคยประสบปัญหาโจรดักปล้นสินค้าบ่อยครั้ง ใต้เท้ากัวนำทหารไม่กี่ร้อยนายกวาดล้างจนสงบ ทำให้ชาวเมืองไม่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ลุงเองแม้เป็นคนต่างถิ่นแต่อยู่ที่นี่มาหลายปี อย่างไรก็ควรมีของขวัญไปคารวะใต้เท้ากัว”

“ใต้เท้ากัวจื่อหราน”  หลินอวี้เจินทวนคำ

“อืม หล่อเหลางามสง่า ยิ่งอยู่บนหลังอาชาองอาจดุจแม่ทัพใหญ่เชียวล่ะ”  หลินเหิงอี้ลอบมองหลานสาวแล้วกระตุกยิ้ม “ที่สำคัญยังไม่ได้แต่งภรรยาเอกเสียด้วย”

“ท่านลุง!”  หญิงสาวถอนหายใจใส่  “เลิกล้อเล่นกับหลานเถิดเจ้าค่ะ”

หลินเหิงอี้วิได้แต่มองหลานสาวอย่างพอใจ เขาเลือกใช้ชีวิตเดินทางไปทั่วเพื่อค้าขาย เพราะทำงานหนักจึงแต่งงานช้า ภรรยาของเขามีบุตรยาก ตั้งครรภ์แรกก็พร้อมกับภรรยาของน้องชายคนเล็ก แต่เขากลับโชคร้ายสูญเสียภรรยาและลูกในครรภ์ไปในเวลาเดียวกัน  เมื่อเห็นหลินอวี้เจินเกิด เขาจึงเผลอคิดไปว่าหลินอวี้เจินก็เหมือนลูกของตน   แต่ด้วยการเลี้ยงดูของน้องชายผู้เป็นบัณฑิต  นางจึงมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป  เขาจึงพึ่งพอใจที่เห็นหลินอวี้เจินมีบุคลิกนิสัยใจคอเช่นนี้ และยอมให้นางดูแลร้านขายผ้าของเขา แม้จะเป็นเพียงการดูแลบัญชีและเรื่องทั่วไป แต่นางก็ทำได้ดียิ่ง เขาคิดเสมอว่าหากตนเป็นอะไรไป ทรัพย์สมบัติทั้งหมดในส่วนของเขานั้นจะยกให้หลินอวี้เจิน

ชายวัยกลางคนหวังใจเหลือเกินว่า...จะไม่มีเรื่องยุ่งวุ่นวายใจใดๆ กับหลานสาวสุดที่รักคนนี้ระหว่างที่เธอพักรักษาแผลใจที่เมืองตันหยางแห่งนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด