บทที่ 50 เมืองหลิวเฉออันแสนวุ่นวาย
หลังจากที่เย่โม่จัดการโจรคนสุดท้ายจนสลบไป เขาก็หันกลับมาพูดกับคนขับรถเสี่ยวหยู “นายมาช่วยกันหน่อย ลากคนพวกนี้ให้ที”
“ฉันช่วยเอง” เซียวเล่ยรีบพุ่งเข้าไปหาทันที ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่หายตื่นเต้น เธอราวกับได้พบเจ้าชายขี่ม้าขาวในนิทานที่โผล่มาช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ มันคล้ายกับความฝัน…แถมยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกะทันหันเสียด้วย
จัวอ้ายกั๋วใจเย็นลงแล้ว เขาแอบยินดีในใจว่าตัวเองเลือกคนได้ฉลาดจริงๆ เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาจะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเย่โม่ให้จงได้ มีความเป็นไปได้ว่าเย่โม่อาจจะเป็นลูกศิษย์ของผู้ฝึกยุทธในตำนาน ถึงเขาจะได้ยินมาว่าที่ปักกิ่งเองก็มีตระกูลผู้ฝึกยุทธอยู่บ้าง แต่ตระกูลเหล่านี้นั้นเดิมทีลึกลับยากจะพบเห็น พวกเขาไม่มีทางออกมาสู่โลกภายนอก หรือมาเป็นนักกีฬาอะไรแบบนั้นแน่
แต่เขาก็ยังได้ยินมาว่าในตระกูลผู้ฝึกยุทธเหล่านี้...มีบางตระกูลที่จะคัดเลือกหัวกะทิเพื่อเข้าร่วมกับหน่วยงานพิเศษของประเทศ ซึ่งหน่วยงานพวกนี้จะขึ้นตรงกับประเทศเท่านั้น แม้แต่เหล่าผู้นำทั้งหลายยังไม่มีโอกาสจะได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานพิเศษนี้เลย
เย่โม่มองเซียวเล่ยที่วิ่งตรงเข้ามาด้วยความยินดีอย่างประหลาดใจ เขาส่ายหัวด้วยอาการพูดไม่ออก คิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วจริงๆ จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเธออีก เย่โม่แบกโจร 2 คนที่ยังสลบอยู่ไปยังป่าข้างถนน
คนขับรถเสี่ยวหยูเองก็ลากอีก 2 คนตามเย่โม่ไปเช่นกัน เย่โม่ทิ้งพวกโจรไว้ในป่า เซียวเล่ยที่เห็นเย่โม่ไม่สนใจตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะออกแรงตั้งมากแต่ก็ลากโจรคนหนึ่งตามเย่โม่ไม่ทันอยู่ดี จนสุดท้ายเสี่ยวหยูต้องมาช่วยเธอลากไป
หลังจากโจรทั้ง 7 คนถูกลากเข้ามาตรงนี้แล้วเย่โม่ก็หันไปพูดกับเสี่ยวหยู “พวกนายไปรอบนรถก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
รอคนที่เหลือออกไปจนหมด เย่โม่ถึงได้เตะไปยังโจรคนหนึ่งที่นอนอยู่เพื่อปลุกให้ตื่น โจรพวกนี้มาดักทางปล้นอยู่ที่นี่ อีกทั้งส่วนมากยังเป็นคนเวียดนามอีกด้วย เย่โม่เตะโจรทั้ง 7 คนจนตื่นขึ้นมาแล้วถามถึงรังของพวกมัน ได้ความว่ารังของพวกมันอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลิวเฉอ ไม่ต่างจากที่เสี่ยวหยูพูดไว้ว่าเดิมทีพวกมันมีกัน 13 คน ตอนนี้เหลือเพียง 7 คนนี้เท่านั้น
ทีแรกเย่โม่วางแผนว่าหลังจากไปถึงเมืองหลิวเฉอเขาจะทำลายรังของพวกมัน เขาไม่ชอบทำอะไรค้างๆ คาๆ แต่ในเมื่อที่รังของพวกมันไม่มีคนอยู่ เขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะไปทำลายเหมือนกัน
เย่โม่จัดการโยนศพของพวกมันทิ้งธารน้ำแถวภูเขา เขาค้นเจอเงินเวียดนามจำนวนหนึ่งจากศพเหล่านั้น ซึ่งเย่โม่ไม่ต้องการเงินพวกนี้แม้แต่น้อย เขารู้ว่าเงินพวกนี้มีค่าน้อยกว่าเงินคนตายเสียอีก
เย่โม่ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นโจรปล้นมานมนาน เหตุใดถึงได้จนขนาดนี้ พูดได้ว่าพวกเขาไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักชิ้นเดียว
ตอนที่เย่โม่เดินกลับมาที่ถนนบนภูเขานั้น เสี่ยวหยูและจัวอ้ายกั๋วก็จัดการเคลียร์สิ่งกีดขวางถนนออกไปแล้ว ทั้ง 3 คนนั่งอยู่บนรถรอเย่โม่อยู่ ที่เหนือความคาดหมายของเย่โม่ก็คือหลังจากที่เขาขึ้นรถ ไม่มีใครถามสักคนว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจรพวกนั้น
“ฉันไม่ต้องการใช้เงินพวกนี้ โจรพวกนั้นก็เป็นนายที่ไล่ไป เงินนี้ฉันให้นาย” เซียวเล่ยหยิบเงินห้าหมื่นหยวนที่จัวอ้ายกั๋วให้เธอไว้ใช้ออกมา
เย่โม่ดันมือเซียวเล่ยออกไป “ไม่จำเป็น เก็บเงินพวกนี้ไว้เถอะ บอสจัวเชิญผมมา มีคนจ่ายเงินผมอยู่แล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนั้นก็ทิ้งเธอไปแล้ว…ถือเสียว่านี่เป็นเงินชดเชยให้เธอก็แล้วกัน
“เฮอะ! คนแบบนั้นฉันไม่รู้จักหรอก ไอ้บัดซบนั่น...” เซียวเล่ยอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เวลานั้นเองเย่โม่ก็บอกให้เสี่ยวหยูออกรถได้
จัวอ้ายกั๋วรีบกล่าวขอบคุณเย่โม่ “คุณชายเย่ ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคดีจริงๆ ที่มีคุณอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณล่ะก็ครั้งนี้พวกเราคงแย่แน่ๆ”
ที่จัวอ้ายกั๋วพูดเป็นความจริง ในเหตุการณ์นี้ถ้าเขาไม่ได้เจอกับเซียวเล่ยล่ะก็ บางทีเขาอาจจะยอมเสียเงินแค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้นก็จบ แต่ในเมื่อได้พบกับเซียวเล่ย โดยนิสัยของจัวอ้ายกั๋วแล้ว…เขาไม่มีทางยืนมองเธอถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน ถ้าต้องเกิดการปะทะกันโดยที่ไม่มีเย่โม่อยู่ด้วยล่ะก็ คงจะสามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ได้ไม่ยาก
เย่โม่โบกมือ “บอสจัวเกรงใจเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างก็เป็นเรื่องที่พวกเราตกลงกันแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ต้องลำบากเชิญผมมาหรอก”
เมื่อได้ยินคำของเย่โม่ ในใจของจัวอ้ายกั๋วก็ผ่อนคลายลง เขาพูดยิ้มๆ “ผมเพียงแค่แก่กว่าไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าคุณชายเย่ไม่ว่าอะไร ก็เรียกผมตรงๆ ว่าพี่จัวได้เลย ผมก็จะเรียกคุณว่าน้องเย่เช่นกัน”
“ได้สิ” เย่โม่พยักหน้าเห็นด้วย จัวอ้ายกั๋วถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นคนที่คบหาด้วยได้
เซียวเล่ยถามชื่อของเย่โม่เอาจากจัวอ้ายกั๋ว เธอรู้สึกว่าชื่อ ‘เย่โม่’ นั้นคุ้นหูอยู่บ้างเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ออก
“คุณนักข่าวเซียว...หลิวเฉอเป็นเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดน การปกครองถือได้ว่าวุ่นวายที่สุด เป็นเมืองที่เชื่อมระหว่าง 3 ประเทศ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ความคิดของเซียวเล่ยถูกขัด เธอพูดออกมาอย่างจนใจ “เพราะฉันได้ยินมาว่านักท่องเที่ยวที่มากุ้ยหลิน หลายคนหายสาบสูญใกล้ๆ กับสถานที่ท่องเที่ยวเลยจะมาสืบข่าวเสียหน่อย พอมาที่นี่ถึงได้รู้ว่าคนที่หายสาบสูญส่วนใหญ่คือคนที่เดินทางไปหลิวเฉอ ฉันจึงอยากจะไปสำรวจที่หลิวเฉอ ถ้าไม่ได้พวกคุณล่ะก็ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ต้องขอบคุณจริงๆ”
เย่โม่แอบยิ้มขำ นักข่าวสาวคนนี้จะอ่อนประสบการณ์เกินไปแล้ว เธอคงจะเคยชินกับเมืองใหญ่เกินไปจนกระทั่งคิดว่าแค่ควักบัตรนักข่าวยื่นให้ดู โจรพวกนั้นจะยอมง่ายๆ นี่ทำให้เย่โม่หมดคำพูดจริงๆ
จัวอ้ายกั๋วเองก็หมดคำพูดเช่นกัน เขารู้จักเซียวเล่ย 2 ปีที่ผ่านมานี้เธอถือว่าเป็นนักข่าวมาแรงมีชื่อเสียง แต่เขากับเธอก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยอะไรกัน ดังนั้นจัวอ้ายกั๋วจึงไม่อาจจะไปชี้หน้าตักเตือนเซียวเล่ยได้
เซียวเล่ยมองสีหน้าของคนอื่นๆ แล้วก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอก็ไม่อาจจะโต้แย้งอะไรพวกเขาได้ หลังจากได้ผ่านประสบการณ์โดนปล้นกับตัวเองมาแล้ว เซียวเล่ยจึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองนั้นอ่อนต่อโลกแค่ไหน ตอนแรกที่เธออยากจะมากุ้ยหลินก็มีหวังเฉียนจุนมาเป็นเพื่อนเธอ กระทั่งเอารถเมอร์เซเดสจากกุ้ยหลินเพื่อจะส่งเธอถึงหลิวเฉอ
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีของหวังเฉียนจุนทำให้คนอื่นๆ รู้สึกดีต่อเขา ซึ่งทีแรกเธอเองก็รู้สึกดีต่อเขาเช่นกัน คาดว่าอีกไม่นานเธออาจจะตกลงคบเป็นแฟนกับเขาก็ได้ แต่เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาเซียวเล่ยจึงได้เข้าใจ หน้าตาหล่อเหลานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิสัยแม้แต่น้อย
เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาสังเกตไปรอบทิศทาง ในใจรู้สึกชอบที่นี่มาก ทุกแห่งเต็มไปด้วยป่าเขารวมถึงผู้คนก็น้อย เหมาะแก่การฝึกฝนของเขามาก ต่อให้ถูกตระกูลซ่งไล่ตามมาถึงที่นี่เขาก็มีวิธีหนีอยู่ แน่นอนว่าเย่โม่ไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน คนที่เก่งกว่าเขายังมีอยู่อีกมาก อีกอย่างพวกอาวุธร้อนเช่นปืนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะต่อกรด้วยได้
จัวอ้ายกั๋วและเซียวเล่ยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่เซียวเล่ยก็มักจะเหลือบสายตามองเย่โม่อยู่บ่อยครั้ง เธอเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้มีท่าทีอยากจะพูดคุยด้วยเลย แถมดูเหมือนจะหลับตาทำสมาธิอยู่เสียด้วย เซียวเล่ยจึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดคุยกับเย่โม่ไป
จากตรงนี้ที่จริงก็อยู่ไม่ไกลจากหลิวเฉอแล้ว ผ่านไป 30 นาที รถออร์ดี้ของพวกเย่โม่ก็ขับเข้าไปในสถานที่หนึ่งที่คล้ายกับป้อมปราการแต่ก็ไม่ใช่ป้อมปราการเสียทีเดียว คล้ายกับเมืองเล็กแต่ก็ไม่ใช่เมืองเล็กเช่นกัน
หลังจากขับมาข้างในหลิวเฉอแล้วจัวอ้ายกั๋วก็หันไปพูดกับเซียวเล่ย “ที่นี่คือหลิวเฉอแล้ว พวกเราจะไปทำธุระกัน คาดว่าพรุ่งนี้ถึงจะออกจากที่นี่ได้ นักข่าวเซียว…คุณล่ะ? จะไปกับพวกเราหรือว่าจะไปคนเดียว?”
เซียวเล่ยไม่ได้ตอบกลับ ตรงข้างหน้าเธอมี 2 แก๊งกำลังต่อสู้กันอยู่ ทุกคนล้วนมีอาวุธทั้งท่อนไม้หรือไม่ก็มีดกำลังฟาดฟันกันอยู่
ผ่านไปไม่นานก็มีคนนอนกองเลือดท่วมตัว ผ่านไปอีกสักพักก็มีกลุ่มคนที่คล้ายจะเป็นผู้รักษาความสงบของเมืองตรงเข้ามา แก๊งที่ต่อสู้กันอยู่ต่างวิ่งหนีแยกย้าย คนเจ็บก็ถูกพาหนีไปด้วย แต่ผู้รักษาความสงบกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ไล่ตามแต่อย่างใด แต่ดันหันหลังกลับทันทีเมื่อเห็นว่าแยกย้ายกันแล้ว
เซียวเล่ยมองเหตุการณ์นี้ด้วยความหวาดกลัว เธอคิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ นี่ทำให้เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าความคิดตอนแรกของเธอนั้นอ่อนประสบการณ์แค่ไหน
เหมือนจะสังเกตเห็นถึงความประหลาดใจของเย่โม่และเซียวเล่ย ถึงแม้เขาจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันแต่ก็เข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง จัวอ้ายกั๋วจึงอธิบายขึ้นมา
“หลิวเฉอนั้นเดิมทีก็เป็นเมืองอนาธิปไตย (ไร้การปกครอง) อยู่แล้ว ที่นี่แต่เดิมนั้นปกคลุมด้วยป่า ประมาณยุค 70 นั้นเกิดสงครามขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ค่อยๆ มีพวกผู้อพยพมารวมตัวกัน คนพวกนี้มาจากหลายประเทศรอบข้าง พวกเขาสร้างเมืองที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการ ที่พวกเราเห็นผู้รักษาความสงบเมื่อครู่นั่นก็เป็นเพียงองค์กรชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีที่ไหนจะวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้ว”
“ฉันว่าฉันไปกับคุณลุงจัวดีกว่า” เซียวเล่ยเองก็ไม่กล้าจะทำตัวเป็นนักข่าวผู้กล้าหาญลุยเดี่ยวเช่นกัน เธอเลือกที่จะอยู่กับพวกเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย