บทที่ 49 เดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า
จัวอ้ายกั๋วเดินลงจากรถ เย่โม่และคนขับรถเสี่ยวหยูก็ลงมาเช่นกัน เย่โม่มองไปรอบๆ...นอกจากชายที่ใช้โทรโข่งและอีก 2 คนที่ถือปืนอยู่ข้างๆ แล้ว ด้านหลังยังมีชายอีก 2 คนยืนขวางถนนเอาไว้ เมื่อรวมกับอีก 2 คนที่ยืนขวางด้านหน้าแล้ว โจรที่ขวางทางพวกนี้มีทั้งหมด 7 คนด้วยกัน โดย 6 คนในนั้นมีปืนอยู่ในมือ
“ส่งมาห้าหมื่น แล้วจะไปไหนก็ไป!” ชายร่างใหญ่ที่ถือโทรโข่งพูดต่อ
“ไม่ใช่หนึ่งหมื่นหยวนเหมือนแต่ก่อนแล้วหรือ? ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายเป็นห้าหมื่นได้?” คนขับเสี่ยวหยูราวกับจะรู้ราคาดีจึงรีบทักท้วงขึ้น
ชายที่แต่เดิมยืนขวางหน้ารถเมอร์เซเดสอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำของเสี่ยวหยูเขาก็โบกปืนในมือแล้วตะคอกออกมาอย่างยโสโอหัง “ทำไม!? ลองพูดมากอีกทีพ่อจะเป่าสมองให้กระจุยเชียว! จะเก็บเท่าไหร่พวกข้าเป็นคนกำหนด!”
“โอเค! โอเค! ผมมีเงิน... ห้าหมื่นหยวนใช่ไหม ผมจะรีบไปเอาให้ทันที!” ชายหนุ่มที่กลัวจนสีหน้าขาวซีดคนนั้นราวกับได้ยินเสียงจากสวรรค์ก็ไม่ปาน เขารีบหันหลังขึ้นรถไปหยิบเงินห้าหมื่นหยวนออกมาทันที
ชายที่อยู่ข้างหน้ารับเงินไป จากนั้นจึงโบกปืนในมือแล้วพูดขึ้น “แกไปได้”
ชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นรีบขึ้นรถทันที “เซียวเล่ย! พวกเรารีบออกไปกันเถอะ! ไม่ต้องไปหลิวเฉอแล้ว!”
หญิงสาวที่ชื่อเซียวเล่ยหันไปมองพวกเย่โม่ แล้วพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง “แต่พวกเขา...”
แต่เธอพูดออกมาได้แค่นั้นก็ถูกชายหนุ่มร่างสูงบนรถตัดบท “พวกเขาขับรถแพงขนาดนี้ แน่นอนล่ะว่าต้องมีเงิน พวกเราไม่ต้องไปกังวลแทนหรอก!”
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้รับคำตอบจากเซียวเล่ยก็ถูกคนอื่นพูดขัดจังหวะ “ไอ้หนู! แกไปคนเดียวพอ…พวกข้าจะเล่นกับนังนี่สักวันสองวัน จากนั้นแกค่อยมารับ…ส่วนเธอก็มานี่!”
“เอ่อะ!...ฉันก็ให้เงินพวกนายไปแล้ว เพราะอย่างนั้น...เพราะอย่างนั้นปล่อยพวกเราไปเถอะ...” เมื่อชายหนุ่มร่างสูงได้ฟังว่าต้องทิ้งเซียวเล่ยไว้ที่นี่ สีหน้าที่กลับคืนสู่ความปกติแล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดอีกครั้ง
ชายที่เรียกเซียวเล่ยตัดบทชายหนุ่มรูปหล่อทันที เขายกปืนในมือขึ้นแล้วพูดเสียงเย็น “ข้าจะนับถึง 5 ถ้ายังไม่ไสหัวไปข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
“ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ผมไปแล้ว!” ชายหนุ่มรีบขึ้นรถกลับไปทันที เขาทิ้งกระเป๋าเล็กๆ ไว้แล้วรีบสตาร์ทรถอย่างว่องไว เขากลับรถเป็นวงกว้างแล้วรีบขับกลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว ชายที่ถือปืนจ่อยังนับไม่ถึง 4 เสียด้วยซ้ำ โชคดีที่ตรงนี้เป็นสถานที่เปิด ไม่อย่างนั้นด้วยความเร็วขนาดนี้คงยากจะกลับรถได้
โจรพวกนี้รักษาคำพูด ชายที่ยืนขวางอยู่ก็เปิดทางให้เขาขับออกไปได้ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นจากไปแล้ว พวกมันก็หัวเราะกันยกใหญ่
หญิงสาวที่ถูกทิ้งไว้ยิ่งมีสีหน้าซีดขาวยิ่งขึ้น ริมฝีปากสั่นระริก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีคำพูดออกจากปากของหญิงสาวคนนี้ เธอถอยหลังกรูดจนมาถึงรถออร์ดี้ของพวกเย่โม่
“ถึงตาพวกแกแล้ว! รีบหยิบเงินของพวกแกออกมา อย่ามาถ่วงเวลาเสพสุขของบิดาคนนี้” โจรอีก 7 คนที่อยู่แถวนั้นก็เริ่มล้อมวงเข้ามา
“เซียวเล่ย? หรือว่าเธอคือนักข่าวเซียวคนนั้น?” เวลานั้นจัวอ้ายกั๋วก็มองเห็นหน้าของหญิงสาวที่ชายคนนั้นเรียกว่าเซียวเล่ยได้ชัดเจน เขาจึงร้องเรียกเธอทันที เห็นได้ชัดว่าจัวอ้ายกั๋วรู้จักหญิงสาวคนนี้
เซียวเล่ยหันมาด้านนี้ทันที เมื่อเธอเห็นจัวอ้ายกั๋วก็รู้สึกคุ้นๆ ชายตรงหน้ามากแต่ก็นึกไม่ออก แต่ในเมื่อมีคนรู้จักเธอแบบนี้ก็คล้ายกับเจอที่ให้พักพิงอย่างไรอย่างนั้น เธอรีบถอยไปอยู่ด้านหลังของเย่โม่ กับเหล่าชายฉกรรจ์ที่เหล่สายตาจ้องมองเธอราวกับเสือหิวพวกนี้แล้ว เซียวเล่ยรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ
“คุณคือ...” เซียวเล่ยมองจัวอ้ายกั๋วด้วยความกังวลใจ ไม่ว่าจะยังไงจัวอ้ายกั๋วก็ยังดีกว่าโจรพวกนี้หลายเท่านัก
“ผมคือจัวอ้ายกั๋ว จากบริษัทหลานเย่...” จัวอ้ายกั๋วถูกเซียวเล่ยตัดบทด้วยอาการตื่นเต้นยินดี “หรือว่าคุณจะเป็นประธานจัว? ลุงสามของจัวยิ่งฉิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้เจอคุณที่นี่...”
คำพูดของเซียวเล่ยชะงักลงกะทันหัน เธอคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองขึ้นมา ถึงจัวอ้ายกั๋วจะนับได้ว่าเป็นคนคุ้นเคย ต่อให้จัวอ้ายกั๋วไม่สลัดเธอทิ้ง...แต่ก็คงไม่มีทางที่จะคุ้มครองเธอจากกลุ่มโจรพวกนี้ได้ จิตใจของเธอกลับไปหนักอึ้งอีกครั้ง ไม่มีท่าทีดีใจที่ได้เจอจัวอ้ายกั๋วเหลืออยู่แล้ว
หนึ่งในโจรที่จ้องเซียวเล่ยมาตั้งแต่ต้นโห่ร้องขึ้นมา “ไม่คิดว่าจะเป็นคนคุ้นเคยกัน รีบส่งเงินมาแล้วไสหัวไปซะ! ส่วนเธอน่ะมานี่ ไม่งั้นพ่อจะยิงกราดมันให้หมดเลย! อย่ามาโทษกันเชียวว่าข้าไม่ให้โอกาสแล้ว แม่งเอ๊ย!...”
จัวอ้ายกั๋วทำใจให้เย็นลง เขารู้จักเซียวเล่ย เธอเป็นนักข่าวจากปักกิ่งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง และยังเป็นสายเฉพาะทางที่ไปทำข่าวในสถานที่อันตรายๆ อีกด้วย ยังไม่นับว่าเธอรู้จักกับหลานสาวของเขา ‘ยิ่งฉิง’ หรือต่อให้ไม่รู้จักจัวอ้ายกั๋วก็ไม่มีทางปล่อยให้หญิงสาวที่เขารู้จักถูกโจรพวกนี้ลากตัวไปปู้ยี้ปู้ยำต่อหน้าได้
“เย่โม่…คุณคิดว่ายังไง?” จัวอ้ายกั๋วรู้ว่าเย่โม่นั้นมีฝีมือ แต่ต่อหน้าพวกเดนตาย 7 คนพร้อมปืนแบบนี้ นี่มันอันตรายกว่าโจรกระจอกตอนในห้างมากนัก
“พวกมันเป็นใคร?” เย่โม่ถามขึ้นเรียบๆ ราวกับไม่เห็นปืนที่กำลังจ่อเขาอยู่
“เป็นพวกเดนตายทั้งจากจีนและเวียดนามน่ะ คนพวกนี้มักจะออกอาละวาดตามชายแดนของประเทศต่างๆ ถ้าพูดไม่เข้าหูพวกมันก็ฆ่าเรียบ แต่หลักๆ แล้วพวกมันจะปล้นเงิน” จัวอ้ายกั๋วเองก็รู้มาบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เชิญให้เย่โม่มาด้วยกันแบบนี้หรอก
“พวกมันมีกี่คน?” เย่โม่ถามอีกครั้ง
ครั้งนี้คนตอบคือเสี่ยวหยู เขามาที่นี่หลายครั้งจนเรียกได้ว่าคุ้นเคยมากกว่าจัวอ้ายกั๋ว “ได้ยินว่าพวกมันมีทั้งหมด 13 คน เรียกกันว่า ‘13 ผู้พิทักษ์’ แต่ได้ข่าวว่ามีการต่อสู้กันระหว่างแก๊งทำให้พวกมันตายไป 6 คน เพราะอย่างนั้นคงมีแค่ 7 คนนี้แหละ ปกติแล้วพวกมันล้วนต้องการเงิน แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือพวกมันก็จะลงมือฆ่าทันที น้อยครั้งที่จะปล้นผู้หญิง แต่ผู้หญิงสวยๆ ก็น้อยมากจะมาที่แบบนี้...”
ตอนที่เสี่ยวหยูพูดถึงผู้หญิงเขาก็มองไปทางเซียวเล่ยอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้พูดต่อแต่คนอื่นๆ ก็พอจะเดาสิ่งที่เขาคิดได้ ผู้หญิงอย่างเธอมาทำอะไรในที่แบบนี้
เย่โม่พยักหน้า “บอสจัว ที่นี่ให้ผมจัดการเอง พวกคุณ 3 คนขึ้นรถไปก่อนเลย”
ชายที่ถือโทรโข่ง เมื่อเห็นพวกเย่โม่พูดคุยกันอยู่นานเขาก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันที “แม่แกสิ! ทำให้พวกข้าเสียเวลาจริงๆ หยางผียิงมันซะ! ในเมื่อไอ้พวกนี้...”
ปัง! เสียงปืนดังขึ้น ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบเพื่อนโจรอีกคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็ยิงออกมาเสียแล้ว
เห็นได้ชัดเจนว่าทั้ง 2 นั้นคิดเหมือนกัน ฆ่าก่อนสักคน แต่คนที่พวกมันเลือกดันเป็นเย่โม่เสียนี่
เวลาเดียวกับที่เสียงปืนดังขึ้นนั้น เย่โม่ก็กระโดดพุ่งทะยานออกไปแล้ว เขาเตะไปที่หน้าของชายคนหนึ่ง ชายคนนี้ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องก็ร่วงลงไปนอนเสียแล้ว ส่วนชายอีก 2 คนข้างกายเขาซึ่งรวมถึงชายที่ถือโทรโข่งก็ร่วงลงไปนอนกับพื้นเช่นกัน โดยที่เย่โม่ไม่มีแม้แต่รอยกระสุนบนร่าง
เย่โม่ถีบชายทั้ง 3 อย่างต่อเนื่องก่อนที่เขาจะร่อนลงพื้นเสียด้วยซ้ำ เขาถีบไปที่ด้ามปืนของชายทั้ง 2 คน เย่โม่เรียนรู้วิธีนี้มาจากเหวินตง ปืน 2 กระบอกนั้นลอยข้ามหัวจัวอ้ายกั๋วไป มันลอยไปกระแทกหัวของชายอีก 2 คนที่อยู่ด้านหลังของจัวอ้ายกั๋วจนพวกมันสลบเหมือดไปทันที
เหลือชายอีก 2 คนที่เพิ่งจะได้สติ พวกมันยกปืนขึ้นมายิงทันที
ปัง! ปัง! เสียงปืนดังขึ้น
มีเสียง กร๊อบ! กร๊อบ! ดังขึ้น 2 ครั้ง จัวอ้ายกั๋วและคนที่ซึ่งกำลังหวาดกลัวเห็นได้อย่างชัดเจน ชายที่เหลืออยู่ 2 คนนั้นถูกเย่โม่คว้าข้อมือเพื่อเบนวิถีกระสุนให้ยิงขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นที่เกิดเป็นเสียง กร๊อบ! ก็คงจะเป็นเสียงที่เย่โม่หักข้อมือพวกเขานั่นเอง
เย่โม่ไม่อยากฆ่าคนต่อหน้านักข่าว เพื่อเลี่ยงไม่ให้นักข่าวสาวคนนี้เอาไปพูดต่อโดยไม่คิด ด้วยเหตุนี้เย่โม่จึงไม่ได้ใช้ตะปูที่เขาเตรียมไว้ ไม่อย่างนั้นเพียงแค่ตะปูไม่กี่ตัวก็จบปัญหาได้แล้ว
จัวอ้ายกั๋วจ้องมองเย่โม่ด้วยอาการตกตะลึง เขารู้ว่าเย่โม่เก่งมาก…แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ จัวอ้ายกั๋วรู้สึกว่าเย่โม่เหมือนจะหลบกระสุนนัดแรกก่อนที่โจรคนนั้นจะยิงออกมาด้วยซ้ำ เขาเผชิญหน้ากับปืนถึง 6 กระบอก แต่ก็สามารถจัดการคนพวกนี้ได้ด้วยท่าทีราวกับกำลังเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า นี่มันไม่ใช่การต่อสู้แล้ว นี่มันเป็นการแสดงโชว์ชัดๆ
คนขับรถเสี่ยวหยูเองก็อ้าปากค้าง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อสายตาตัวเอง เขาคิดไม่ถึงว่าชายท่าทางไร้พิษสงที่มากับบอสของเขานั้น ที่แท้จะเป็นยอดฝีมือแบบนี้
เซียวเล่ยหลังจากหายตกตะลึงแล้ว เธอก็รีบจ้องมองด้วยอาการตื่นเต้นยินดี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นคนที่มีศิลปะการต่อสู้เหมือนกับในหนังแอคชั่นแบบนี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ถ่ายเอาไว้ เธอกลับมาได้สติทันทีหลังจากลืมสถานการณ์รอบตัวไปครู่หนึ่ง ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณเย่โม่ ถ้าเขาไม่ลงมือล่ะก็...บางทีชีวิตเธอหลังจากนี้อาจจะกลายเป็น ‘อยู่ไม่สู้ตาย’ ก็ได้ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เธอคงไม่อาจทำตามอำเภอใจแบบนี้ได้แล้ว
เมื่อคิดถึงหวังเฉียนจุนที่หนีไปก่อนหน้า เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ คนเราเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายจึงจะเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็น แม้แต่จัวอ้ายกั๋วเองยังดีกว่าหวังเฉียนจุนที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
ผัวะ! เย่โม่เตะไปที่ท้องของโจรทีหนึ่งจนเขาลอยกระเด็นไปหลายเมตร เมื่อโจรคนนั้นร่วงลงพื้นเขาก็สลบเหมือดทันที