บทที่ 48 โจรขวางทาง
ซูจิ้งเหวินลูบไล้สร้อยข้อมือ...เธอเกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียดายที่มอบเม็ดหยกทั้ง 3 เม็ดนั้นให้กับหนิงชิงเชวี่ยไป เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะฟังซูเหมยแล้วตัดสินเย่โม่ไปแบบนั้นเลย อีกอย่างแม้ว่าวันนั้นเธอจะได้ยินด้วยตัวเองว่าอาจารย์หยุนปิงพูดถึงเย่โม่อย่างไรบ้างก็ตา ม แต่นั่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความผิดของเย่โม่จริงๆ? บางทีอาจารย์คนนี้อาจจะมีปัญหาเองก็ได้ หรือต่อให้เย่โม่ผิดจริง...นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
ถ้าซูจิ้งเหวินมีโอกาสอีกครั้ง...เธอคงจะเลือกเชื่อในตัวเย่โม่ให้มากกว่านี้ ถึงยังไงเธอก็รู้จักคุ้นเคยกับเย่โม่ ต่างจากอาจารย์คนนั้นที่เธอไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ภายนอกถึงจะดูเป็นอาจารย์เย็นชาแบบนั้น แต่ข้างในก็ไม่แน่ว่าจะเป็นแบบที่แสดงออกมาเสมอไป ซูจิ้งเหวินเชื่อมั่นว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่คนแบบที่อาจารย์หยุนปิงและซูเหมยพูดอย่างแน่นอน ซูจิ้งเหวินไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลอะไรมาสนับสนุนความคิดของตัวเองทั้งนั้น นี่เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ
แต่เม็ดหยกบนสร้อยข้อมือก็มอบให้หนิงชิงเชวี่ยไป 3 เม็ดแล้ว คงไม่ดีนักถ้าเธอจะไปขอคืน...คงได้แต่โทษว่าหนิงชิงเชวี่ยเลือกเวลาขอได้พอดีจริงๆ ถ้ารอเวลาหลังจากเธอได้พบกับอาจารย์หยุนปิงอีกสักวันล่ะก็ บางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้หนิงชิงเชวี่ยก็ได้
โชคยังดีที่เธอให้หนิงชิงเชวี่ยไปแค่ 3 เม็ดเท่านั้น ถ้าเธอให้ไปหมดล่ะก็...ไม่แน่ว่าเธออาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ถึงยังไงสร้อยข้อมือเส้นนี้เย่โม่ก็เป็นคนให้มา แม้จะไม่มีราคาอะไรมากแต่ก็เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวที่คนให้ทำขึ้นมาเองกับมือ
ซูจิ้งเหวินอยากจะไปหาเย่โม่แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แม้แต่หนิงชิงเชวี่ยยังไม่รู้...นั่นก็หมายความว่าหลี่มู่เหมยเองก็คงไม่รู้เช่นกัน ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังอยากจะถามอยู่ดี ซูจิ้งเหวินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ขณะที่กำลังจะโทรถามหลี่มู่เหมยว่ามีข่าวที่อยู่ของเย่โม่หรือไม่อยู่นั้นเอง...เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เป็นอาจารย์หยุนปิงโทรมานั่นเอง คงได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอจากซูเหมยแน่ๆ
หลังจากนัดสถานที่พูดคุยกันแล้ว หยุนปิงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้พบกับซูจิ้งเหวิน
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หยุนปิงพูดแล้ว ซูจิ้งเหวินก็ถามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก “อะไรนะ! เธออยากเจอเย่โม่? เพื่ออะไร? ครั้งที่แล้วที่ฉันถามเรื่องเย่โม่ เธอยังบอกอยู่เลยว่าเขาเป็นคนแบบนั้นแบบนี้...”
ซูจิ้งเหวินไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมาแต่ความหมายของเธอนั้นชัดเจน ‘ในเมื่อเธอพูดถึงเย่โม่แบบนั้น แล้วยังอยากจะเจอเขาไปทำไม’ แต่ซูจิ้งเหวินเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าหยุนปิงเช่นกัน ถึงยังไงพวกเธอ 2 คนก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมาย ถึงตัวซูจิ้งเหวินเองก็อยากเจอเย่โม่มาก...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องพาหยุนปิงไปเจอเขาด้วยเสียหน่อย
“ขอโทษ…ครั้งที่แล้วฉันเข้าใจเขาผิดไป ฉันจึงอยากจะพบเขาเพื่อจะขอโทษน่ะ” ถึงหยุนปิงจะรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากแต่เธอก็ไม่ได้อ้อมค้อมแต่อย่างใด
ที่แท้เป็นแบบนี้เอง ซูจิ้งเหวินได้ฟังแบบนั้นก็เข้าใจทันที เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่ตัวเองไม่ได้มองเย่โม่ผิดไป แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังรู้สึกไม่ชอบคนแบบหยุนปิงอยู่ดี เรื่องยังไม่ทันกระจ่างก็พูดถึงเย่โม่เสียๆ หายๆ แบบนั้นแล้ว เธอเกลียดคนแบบนี้มาก
แต่ในเมื่อหยุนปิงพูดถึงเย่โม่อย่างเสียๆ หายๆ การให้เธอจะไปขอโทษเขาก็สมควรแล้ว อีกอย่าง...ซูจิ้งเหวินเองก็อยากเจอเย่โม่ด้วยเช่นกัน
“เธอว่าไงนะ! เย่โม่ไปไหนแล้วก็ไม่รู้?” หยุนปิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เธอกระทั่งสงสัยว่าเพราะซูจิ้งเหวินเกลียดเธอ จึงไม่ยอมบอกที่อยู่ของเย่โม่ให้เธอรู้ก็เป็นได้ แต่เมื่อมองท่าทีของซูจิ้งเหวินแล้วก็รู้ว่าซูจิ้งเหวินไม่ได้หลอกเธอแต่อย่างใด
..........
เย่โม่ย้ายมาพักโรงแรมที่จัวอ้ายกั๋วอยู่ ตอน 8 โมงเช้าของวันถัดมาพวกเขาก็ขึ้นเครื่องบินแล้ว เย่โม่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้ยุ่งยากเพราะจัวอ้ายกั๋วจัดการให้เสร็จสรรพแล้ว
ผ่านไป 2 ชั่วโมง เครื่องบินก็มาหยุดที่สนามบินเถียนหลิ่ง เมืองกุ้ยหลิน ระหว่างทางพวกเขาไม่พบเจอปัญหาอะไร ดูท่าว่าจัวอ้ายกั๋วคนนี้จะพึ่งพาได้มากกว่าเหวินตงอยู่บ้าง ตอนนั้นเหวินตงบอกว่าไม่มีปัญหาแน่นอน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือหากพลังปราณของเย่โม่ไม่ได้แตะระดับ 2 หรือเขาระมัดระวังตัวอยู่แล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าตอนนั้นเขาอาจจะต้องตายก็ได้
ถ้าเหวินตงจะต้องตายก็แล้วไปเถอะ แต่เขาเย่โม่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ต้องตายเพื่อเงินห้าหมื่นหยวนนั้นไม่คุ้มค่าสักนิด
“เย่โม่ ตอนนี้ถึงสนามบินที่เมืองกุ้ยหลินแล้ว ออกไปจะมีคนมารับพวกเราเอง ผมต้องการจะตรงไปหลิวเฉอเลย พวกเราจะไม่พักที่นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา” จัวอ้ายกั๋วเหมือนกับว่าอยากจะรีบทำธุระให้เสร็จจะได้รีบออกจากเมืองบ้าๆ นี่ เขาไม่อยากจะรั้งอยู่ที่นี่แม้สักวินาทีเดียว แต่นี่ก็ตรงกับความต้องการของเย่โม่พอดี เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
ทั้ง 2 คนเพิ่งจะออกมาจากสนามบิน ก็มีรถออร์ดี้ SUV ขับเข้ามาหา คนขับเป็นชายหนุ่มท่าทางใสซื่อ เมื่อเห็นจัวอ้ายกั๋วชายหนุ่มคนนั้นก็เรียกจัวอ้ายกั๋วว่า ‘บอส’ ด้วยความเคารพ
“นี่คือคนขับรถของผม...เสี่ยวหยู และยังเป็นพนักงานของบริษัทของผมด้วย ถึงเขาจะไม่เคยฝึกการต่อสู้เลยแต่ก็เคยไปหลิวเฉอมา 2-3 ครั้งแล้ว ค่อนข้างจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง” จัวอ้ายกั๋วแนะนำคนขับรถกับเย่โม่อย่างง่ายๆ
เย่โม่แค่มองก็รู้ ชายหนุ่มคนนี้มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ผ่านการฝึกต่อสู้มาอย่างที่จัวอ้ายกั๋วบอกไว้ ถึงแม้ชายหนุ่มคนขับรถจะพูดไม่เยอะ แต่เขาก็ขับรถได้ทั้งรวดเร็วและมั่นคง ออกจากกุ้ยหลินมาได้ 2 ชั่วโมงรถคันนี้ก็ขับออกจากถนนปกติสู่ถนนบนเขาอันขรุขระ
ผ่านไปอีก 2 ชั่วโมงถนนบนภูเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสะดวกสบายขึ้น แต่เมื่อขับมาถึงบริเวณนี้ก็มองไม่เห็นหมู่บ้านแม้แต่แห่งเดียว รอบข้างเต็มไปด้วยภูเขาอันแห่งแล้ง เย่โม่ไม่รู้ว่าจัวอ้ายกั๋วต้องการมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ที่แบบนี้ดูจะแห้งแล้งกันดารอยู่บ้างจริงๆ มิน่าเขาถึงอยากได้ผู้ร่วมเดินทางไปด้วยแบบนี้
แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขาชอบที่แบบนี้มาก ถึงยังไงตอนนี้ในบางแง่มุมตัวเขาก็ยังอยู่ในสถานะของผู้หลบหนีอยู่ ที่แบบนี้เหมาะสมให้เขาหลบซ่อนตัวและฝึกฝนฝีมือ ตระกูลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลซ่งยังไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาตอนนี้จะต่อกรด้วยได้
รถแล่นต่อไปอีก 10 กว่านาทีก็เข้าไปในหุบเขาขนาดใหญ่ ขณะที่เพิ่งจะขับเข้ามาข้างในหุบเขานั้นเย่โม่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง พอเปิดกระจกชะโงกหน้าออกไปดูก็พบว่าทางที่พวกเขาผ่านเข้ามาได้ถูกคนอุดเอาไว้แล้ว
จัวอ้ายกั๋วและคนขับรถเองก็รับรู้ถึงสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน สีหน้าของจัวอ้ายกั๋วเผือดลง แต่คนขับรถเสี่ยวหยูกลับดูไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เขามองจัวอ้ายกั๋ว “บอส รออีกสักพักแล้วให้เงินสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่ต้องกังวลไป ปกติแล้วคนพวกนี้มาเพื่อเงินกันทั้งนั้น”
จัวอ้ายกั๋วพยักหน้า เสี่ยวหยูขับไปได้อีกกว่า 100 เมตรรถของพวกเขาก็ถูกขวางเอาไว้ และไม่ได้มีแต่รถพวกเขาเท่านั้นที่ถูกขวาง ยังมีรถเมอร์เซเดสสีดำอีกคันหนึ่งที่ถูกขวางเอาไว้เช่นกัน
“ลงจากรถ! ลงมาจากรถให้หมด!” มีชายตัวใหญ่แต่งตัวประหลาดคนหนึ่ง ในมือถือโทรโข่งตะโกนเสียงดังมาทางรถของพวกเย่โม่ ข้างๆ เขายังมีอีก 2 คนพร้อมปืนในมือ แต่ปืนพวกนี้เมื่อเทียบกันกับปืนเอเคของเหวินตงแล้วยังห่างชั้นกันไกล เย่โม่กระทั่งสงสัยว่าต่อให้ใช้ปืนพวกนี้ยิงเขาก่อนจะทันตั้งตัว เขาก็คงหลบได้
ตรงหน้ารถเมอร์เซเดสก็มีคนลงมาแล้ว 2 คน เป็นชายและหญิงสาวร่างสูง ผู้ชายรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดูไปแล้วเขามีรูปร่างกำยำเล็กน้อย เสื้อผ้าแบรนด์เนม ถึงเย่โม่เองจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่เขาก็พอจะรู้จักแบรนด์ดังๆ อยู่บ้าง ตอนนี้สีหน้าของชายหนุ่มนั้นซีดขาว บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้คงจะเหนือความคาดหมายของเขาอยู่มาก
ส่วนหญิงสาวอีกคนหันมาทางรถออร์ดี้ของพวกเย่โม่ สีหน้าของเธอดูแปลกๆ หญิงสาวคนนี้แผ่ออร่าสูงสง่าออกมา กางเกงยีนส์ช่วยขับเน้นขาอันเรียวยาวรวมถึงก้นอันอวบแน่นให้ดึงดูดสายตาผู้คนมากยิ่งขึ้น มีร่องรอยของเครื่องสำอางอยู่จางๆ บนใบหน้าของเธอ สร้อยเงินครึ่งหนึ่งที่โชว์อยู่บนลำคอขาวเนียนก็ยิ่งทำให้เธอดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
ถึงหน้าตาของเธอจะไม่ได้สวยเท่าซูจิ้งเหวินหรือหนิงชิงเชวี่ยก็ตาม แต่ด้วยผมที่ยาวสลวยรวมกับออร่าที่แผ่ออกมานั้น เกิดเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอเอง เห็นได้ชัดเจนว่าความสำพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มรูปหล่อนั้นพิเศษอยู่บ้าง เวลานี้เธอยืนชิดอยู่ข้างหลังของชายหนุ่มคนนั้น ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะปรากฏความกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวเท่ากับชายหนุ่มที่อยู่หน้าเธอ