ตอนที่แล้วบทที่ 47 ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 49 เดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า

บทที่ 48 โจรขวางทาง


ซูจิ้งเหวินลูบไล้สร้อยข้อมือ...เธอเกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างกะทันหัน  เสียดายที่มอบเม็ดหยกทั้ง 3 เม็ดนั้นให้กับหนิงชิงเชวี่ยไป  เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะฟังซูเหมยแล้วตัดสินเย่โม่ไปแบบนั้นเลย  อีกอย่างแม้ว่าวันนั้นเธอจะได้ยินด้วยตัวเองว่าอาจารย์หยุนปิงพูดถึงเย่โม่อย่างไรบ้างก็ตา ม แต่นั่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความผิดของเย่โม่จริงๆ?  บางทีอาจารย์คนนี้อาจจะมีปัญหาเองก็ได้  หรือต่อให้เย่โม่ผิดจริง...นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย  เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

ถ้าซูจิ้งเหวินมีโอกาสอีกครั้ง...เธอคงจะเลือกเชื่อในตัวเย่โม่ให้มากกว่านี้  ถึงยังไงเธอก็รู้จักคุ้นเคยกับเย่โม่  ต่างจากอาจารย์คนนั้นที่เธอไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย  คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ  ภายนอกถึงจะดูเป็นอาจารย์เย็นชาแบบนั้น  แต่ข้างในก็ไม่แน่ว่าจะเป็นแบบที่แสดงออกมาเสมอไป  ซูจิ้งเหวินเชื่อมั่นว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่คนแบบที่อาจารย์หยุนปิงและซูเหมยพูดอย่างแน่นอน  ซูจิ้งเหวินไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลอะไรมาสนับสนุนความคิดของตัวเองทั้งนั้น  นี่เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ

แต่เม็ดหยกบนสร้อยข้อมือก็มอบให้หนิงชิงเชวี่ยไป 3 เม็ดแล้ว  คงไม่ดีนักถ้าเธอจะไปขอคืน...คงได้แต่โทษว่าหนิงชิงเชวี่ยเลือกเวลาขอได้พอดีจริงๆ  ถ้ารอเวลาหลังจากเธอได้พบกับอาจารย์หยุนปิงอีกสักวันล่ะก็   บางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้หนิงชิงเชวี่ยก็ได้

โชคยังดีที่เธอให้หนิงชิงเชวี่ยไปแค่ 3 เม็ดเท่านั้น  ถ้าเธอให้ไปหมดล่ะก็...ไม่แน่ว่าเธออาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็ได้  ถึงยังไงสร้อยข้อมือเส้นนี้เย่โม่ก็เป็นคนให้มา  แม้จะไม่มีราคาอะไรมากแต่ก็เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวที่คนให้ทำขึ้นมาเองกับมือ

ซูจิ้งเหวินอยากจะไปหาเย่โม่แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน  แม้แต่หนิงชิงเชวี่ยยังไม่รู้...นั่นก็หมายความว่าหลี่มู่เหมยเองก็คงไม่รู้เช่นกัน  ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังอยากจะถามอยู่ดี  ซูจิ้งเหวินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  ขณะที่กำลังจะโทรถามหลี่มู่เหมยว่ามีข่าวที่อยู่ของเย่โม่หรือไม่อยู่นั้นเอง...เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น  เป็นอาจารย์หยุนปิงโทรมานั่นเอง  คงได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอจากซูเหมยแน่ๆ

หลังจากนัดสถานที่พูดคุยกันแล้ว  หยุนปิงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว  เพียงครึ่งชั่วโมงเธอก็ได้พบกับซูจิ้งเหวิน

เมื่อได้ฟังสิ่งที่หยุนปิงพูดแล้ว  ซูจิ้งเหวินก็ถามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก  “อะไรนะ!  เธออยากเจอเย่โม่?  เพื่ออะไร?  ครั้งที่แล้วที่ฉันถามเรื่องเย่โม่  เธอยังบอกอยู่เลยว่าเขาเป็นคนแบบนั้นแบบนี้...”

ซูจิ้งเหวินไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมาแต่ความหมายของเธอนั้นชัดเจน  ‘ในเมื่อเธอพูดถึงเย่โม่แบบนั้น แล้วยังอยากจะเจอเขาไปทำไม’  แต่ซูจิ้งเหวินเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าหยุนปิงเช่นกัน  ถึงยังไงพวกเธอ 2 คนก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมาย  ถึงตัวซูจิ้งเหวินเองก็อยากเจอเย่โม่มาก...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องพาหยุนปิงไปเจอเขาด้วยเสียหน่อย

“ขอโทษ…ครั้งที่แล้วฉันเข้าใจเขาผิดไป  ฉันจึงอยากจะพบเขาเพื่อจะขอโทษน่ะ”  ถึงหยุนปิงจะรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากแต่เธอก็ไม่ได้อ้อมค้อมแต่อย่างใด

ที่แท้เป็นแบบนี้เอง  ซูจิ้งเหวินได้ฟังแบบนั้นก็เข้าใจทันที  เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่ตัวเองไม่ได้มองเย่โม่ผิดไป  แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังรู้สึกไม่ชอบคนแบบหยุนปิงอยู่ดี  เรื่องยังไม่ทันกระจ่างก็พูดถึงเย่โม่เสียๆ หายๆ แบบนั้นแล้ว  เธอเกลียดคนแบบนี้มาก

แต่ในเมื่อหยุนปิงพูดถึงเย่โม่อย่างเสียๆ หายๆ  การให้เธอจะไปขอโทษเขาก็สมควรแล้ว  อีกอย่าง...ซูจิ้งเหวินเองก็อยากเจอเย่โม่ด้วยเช่นกัน

“เธอว่าไงนะ!  เย่โม่ไปไหนแล้วก็ไม่รู้?”  หยุนปิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก  เธอกระทั่งสงสัยว่าเพราะซูจิ้งเหวินเกลียดเธอ  จึงไม่ยอมบอกที่อยู่ของเย่โม่ให้เธอรู้ก็เป็นได้  แต่เมื่อมองท่าทีของซูจิ้งเหวินแล้วก็รู้ว่าซูจิ้งเหวินไม่ได้หลอกเธอแต่อย่างใด

..........

เย่โม่ย้ายมาพักโรงแรมที่จัวอ้ายกั๋วอยู่  ตอน 8 โมงเช้าของวันถัดมาพวกเขาก็ขึ้นเครื่องบินแล้ว  เย่โม่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้ยุ่งยากเพราะจัวอ้ายกั๋วจัดการให้เสร็จสรรพแล้ว

ผ่านไป 2 ชั่วโมง  เครื่องบินก็มาหยุดที่สนามบินเถียนหลิ่ง  เมืองกุ้ยหลิน  ระหว่างทางพวกเขาไม่พบเจอปัญหาอะไร  ดูท่าว่าจัวอ้ายกั๋วคนนี้จะพึ่งพาได้มากกว่าเหวินตงอยู่บ้าง  ตอนนั้นเหวินตงบอกว่าไม่มีปัญหาแน่นอน  ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือหากพลังปราณของเย่โม่ไม่ได้แตะระดับ 2  หรือเขาระมัดระวังตัวอยู่แล้วล่ะก็  ไม่แน่ว่าตอนนั้นเขาอาจจะต้องตายก็ได้

ถ้าเหวินตงจะต้องตายก็แล้วไปเถอะ  แต่เขาเย่โม่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย  ต้องตายเพื่อเงินห้าหมื่นหยวนนั้นไม่คุ้มค่าสักนิด

“เย่โม่  ตอนนี้ถึงสนามบินที่เมืองกุ้ยหลินแล้ว  ออกไปจะมีคนมารับพวกเราเอง  ผมต้องการจะตรงไปหลิวเฉอเลย  พวกเราจะไม่พักที่นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา”  จัวอ้ายกั๋วเหมือนกับว่าอยากจะรีบทำธุระให้เสร็จจะได้รีบออกจากเมืองบ้าๆ นี่  เขาไม่อยากจะรั้งอยู่ที่นี่แม้สักวินาทีเดียว  แต่นี่ก็ตรงกับความต้องการของเย่โม่พอดี  เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ทั้ง 2 คนเพิ่งจะออกมาจากสนามบิน  ก็มีรถออร์ดี้ SUV ขับเข้ามาหา  คนขับเป็นชายหนุ่มท่าทางใสซื่อ  เมื่อเห็นจัวอ้ายกั๋วชายหนุ่มคนนั้นก็เรียกจัวอ้ายกั๋วว่า ‘บอส’ ด้วยความเคารพ

“นี่คือคนขับรถของผม...เสี่ยวหยู  และยังเป็นพนักงานของบริษัทของผมด้วย  ถึงเขาจะไม่เคยฝึกการต่อสู้เลยแต่ก็เคยไปหลิวเฉอมา 2-3 ครั้งแล้ว  ค่อนข้างจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง”  จัวอ้ายกั๋วแนะนำคนขับรถกับเย่โม่อย่างง่ายๆ

เย่โม่แค่มองก็รู้  ชายหนุ่มคนนี้มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ผ่านการฝึกต่อสู้มาอย่างที่จัวอ้ายกั๋วบอกไว้  ถึงแม้ชายหนุ่มคนขับรถจะพูดไม่เยอะ  แต่เขาก็ขับรถได้ทั้งรวดเร็วและมั่นคง  ออกจากกุ้ยหลินมาได้ 2 ชั่วโมงรถคันนี้ก็ขับออกจากถนนปกติสู่ถนนบนเขาอันขรุขระ

ผ่านไปอีก 2 ชั่วโมงถนนบนภูเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสะดวกสบายขึ้น  แต่เมื่อขับมาถึงบริเวณนี้ก็มองไม่เห็นหมู่บ้านแม้แต่แห่งเดียว  รอบข้างเต็มไปด้วยภูเขาอันแห่งแล้ง  เย่โม่ไม่รู้ว่าจัวอ้ายกั๋วต้องการมาทำอะไรที่นี่กันแน่  ที่แบบนี้ดูจะแห้งแล้งกันดารอยู่บ้างจริงๆ  มิน่าเขาถึงอยากได้ผู้ร่วมเดินทางไปด้วยแบบนี้

แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขาชอบที่แบบนี้มาก  ถึงยังไงตอนนี้ในบางแง่มุมตัวเขาก็ยังอยู่ในสถานะของผู้หลบหนีอยู่  ที่แบบนี้เหมาะสมให้เขาหลบซ่อนตัวและฝึกฝนฝีมือ  ตระกูลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลซ่งยังไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาตอนนี้จะต่อกรด้วยได้

รถแล่นต่อไปอีก 10 กว่านาทีก็เข้าไปในหุบเขาขนาดใหญ่  ขณะที่เพิ่งจะขับเข้ามาข้างในหุบเขานั้นเย่โม่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง  พอเปิดกระจกชะโงกหน้าออกไปดูก็พบว่าทางที่พวกเขาผ่านเข้ามาได้ถูกคนอุดเอาไว้แล้ว

จัวอ้ายกั๋วและคนขับรถเองก็รับรู้ถึงสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน  สีหน้าของจัวอ้ายกั๋วเผือดลง  แต่คนขับรถเสี่ยวหยูกลับดูไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด  เขามองจัวอ้ายกั๋ว  “บอส  รออีกสักพักแล้วให้เงินสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว  ไม่ต้องกังวลไป  ปกติแล้วคนพวกนี้มาเพื่อเงินกันทั้งนั้น”

จัวอ้ายกั๋วพยักหน้า  เสี่ยวหยูขับไปได้อีกกว่า 100 เมตรรถของพวกเขาก็ถูกขวางเอาไว้  และไม่ได้มีแต่รถพวกเขาเท่านั้นที่ถูกขวาง  ยังมีรถเมอร์เซเดสสีดำอีกคันหนึ่งที่ถูกขวางเอาไว้เช่นกัน

“ลงจากรถ!  ลงมาจากรถให้หมด!”  มีชายตัวใหญ่แต่งตัวประหลาดคนหนึ่ง  ในมือถือโทรโข่งตะโกนเสียงดังมาทางรถของพวกเย่โม่  ข้างๆ เขายังมีอีก 2 คนพร้อมปืนในมือ  แต่ปืนพวกนี้เมื่อเทียบกันกับปืนเอเคของเหวินตงแล้วยังห่างชั้นกันไกล  เย่โม่กระทั่งสงสัยว่าต่อให้ใช้ปืนพวกนี้ยิงเขาก่อนจะทันตั้งตัว  เขาก็คงหลบได้

ตรงหน้ารถเมอร์เซเดสก็มีคนลงมาแล้ว 2 คน  เป็นชายและหญิงสาวร่างสูง  ผู้ชายรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา  ดูไปแล้วเขามีรูปร่างกำยำเล็กน้อย  เสื้อผ้าแบรนด์เนม  ถึงเย่โม่เองจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม  แต่เขาก็พอจะรู้จักแบรนด์ดังๆ อยู่บ้าง  ตอนนี้สีหน้าของชายหนุ่มนั้นซีดขาว  บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้คงจะเหนือความคาดหมายของเขาอยู่มาก

ส่วนหญิงสาวอีกคนหันมาทางรถออร์ดี้ของพวกเย่โม่  สีหน้าของเธอดูแปลกๆ  หญิงสาวคนนี้แผ่ออร่าสูงสง่าออกมา  กางเกงยีนส์ช่วยขับเน้นขาอันเรียวยาวรวมถึงก้นอันอวบแน่นให้ดึงดูดสายตาผู้คนมากยิ่งขึ้น  มีร่องรอยของเครื่องสำอางอยู่จางๆ บนใบหน้าของเธอ  สร้อยเงินครึ่งหนึ่งที่โชว์อยู่บนลำคอขาวเนียนก็ยิ่งทำให้เธอดูสง่างามมากยิ่งขึ้น

ถึงหน้าตาของเธอจะไม่ได้สวยเท่าซูจิ้งเหวินหรือหนิงชิงเชวี่ยก็ตาม  แต่ด้วยผมที่ยาวสลวยรวมกับออร่าที่แผ่ออกมานั้น  เกิดเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอเอง  เห็นได้ชัดเจนว่าความสำพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มรูปหล่อนั้นพิเศษอยู่บ้าง  เวลานี้เธอยืนชิดอยู่ข้างหลังของชายหนุ่มคนนั้น  ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะปรากฏความกังวลใจ  แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวเท่ากับชายหนุ่มที่อยู่หน้าเธอ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด