โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.17 - เพื่อร่วมชั้น
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.17 - เพื่อร่วมชั้น
คราวนี้ ฉินเฟิงมิได้ไปยังจุดรวมพลสู่ทุ่งล่า แต่เลือกเดินทางไปตามเส้นรอบเมือง อย่างไรก็ตาม การโดยสารผ่านเส้นทางนี้ก็อันตรายไม่แตกต่างกัน!
ในรถ ส่วนใหญ่แล้วเป็นนักสู้ แต่ก็มีหลายคนที่ดูผ่ายผอมคลายกับคนธรรมดา ปะปนอยู่บ้างเหมือนกัน
ตัวรถมุ่งไปตามทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ออกจากพื้นที่ส่วนกลาง ถนนโดยรอบเริ่มแคบลง สภาพแวดล้อมเริ่มสกปรกและเลวร้าย
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดก็ถูกทิ้งไว้ในกำแพงเมืองเบื้องหลัง
แน่นอน ว่าแม้จะออกนอกกำแพงแล้ว แต่ในพื้นที่ส่วนนี้ก็ยังคงปลอดภัย บริเวณโดยรอบปรากฏทุ่งรวงข้าวเหลืองอร่าม และในทุกๆ 100 เมตร จะวางไว้ด้วยหอคอยรักษาการณ์ โดยบนหอจะมีปืนกลสีดำติดตั้งอยู่
เสียงประกาศในรถดังขึ้นอีกครั้ง
“ผู้โดยสารที่รัก สถานีต่อไปที่กำลังจะถึง คือพื้นที่เพาะปลูกทางทิศตะวันตกของเมืองเฉิง!”
“สำหรับนักสู้ทุกท่าน โปรดทราบว่าภายนอกพื้นที่เพาะปลูก ท่านจะสามารถล่าและสังหารสัตว์ป่าที่เกิดการวิวัฒนาการจนผิดปกติได้ จากนั้น โปรดทำเครื่องหมายบนศพของพวกมัน หรือเก็บอวัยวะบางส่วนของมันเอาไว้เพื่อใช้แลกเหรียญเงินเป็นรางวัล เป้าหมายในการล่าสังหารจะมีดังต่อไปนี้ : หนูยักษ์กินพืช , ตั๊กแตนเขียว , งูชายแดน ….”
“ในฤดูกาลพิเศษนี้ หากท่านพบกองทัพหนู โปรดแจ้งเตือนกับทางการล่วงหน้า และหากมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ท่านจะได้รับเกียรติยศอันเลอค่า นั่นคือ -สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเครื่องจักรและยาเสริมแกร่งทุกชนิดได้ในราคากันเอง!”
นักสู้ทุกคนในรถ พอได้ฟังถึงสิทธิประโยชน์ ก็เริ่มตื่นตัวทันที
ไม่นานนัก แนวป้องกันสุดท้ายก็ปรากฏสู่สายตา
เวลานี้ มันมิได้เป็นกำแพงอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงรั้วที่ถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ แต่ด้านนอกก็ยังวางไว้ด้วยกับดักจำนวนมาก ในทุกๆ100 เมตร ยังคงวางหอคอยรักษาการณ์เอาไว้ และรถศึกที่แล่นตรวจตรา
หลังจากทั้งหมดนี้ นั่นเพราะพื้นที่เพาะปลูกมันมีขนาดใหญ่เกินไป และสถานที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจสร้างรั้วไม้แทน เพื่อประหยัดงบให้มากขึ้น และสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย
รถเริ่มหยุด ทุกคนทยอยกันลง
“ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลออกไป พร้อมกับแว่วเสียงร้องรุนแรงตามมา
บนหอคอย ปรากฏเสียงโวยวายดังขึ้น
“บัดซบ เจ้าพวกหนูแอบเข้ามาอีกแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งข้าวทั้งพวกเราคงถูกมันกินจนหมดแน่!”
การยืนรักษาการณ์บนหอคอย ในความเป็นจริงแล้วช่างเป็นอะไรที่แสนจะน่าเบื่อ หากไม่มีเหตุการณ์อะไร ทั้งวันก็จะมีแต่ความสงบ อย่างไรก็ตาม หากเกิดร่องรอยของอะไรที่น่าจะเป็นปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะต้องจู่โจมสังหารเป้าหมายทันที เพราะสัตว์ร้ายพวกนี้จะปรากฏขึ้นในเวลาใดก็ได้ ดังนั้นจึงต้องตื่นตัวตลอดเวลา
เบื้องหน้ารั้วขนาดใหญ่ ทหารในชุดเครื่องแบบสีเขียวเข้มเปิดประตู และปล่อยให้คนเหล่านี้ผ่านไป
“เฮ้ๆ เด็กคนนั้นน่ะ … เธอนั่นแหละ มาที่นี่ทำไม กลับไปเดี๋ยวนี้!”
ทหารชี้ไปทางใครบางคน และตะโกนกล่าว
ฉินเฟิงสะดุ้ง แต่เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบว่าทหารไม่ได้ชี้มาที่ตัวเอง แต่เป็นวัยรุ่นสาวอีกคนหนึ่ง
วัยรุ่นสาวคนนี้สูงกว่าฉินเฟิงเล็กน้อย กะประมาณโดยสายตา เธอน่าจะสูงราวๆ 175 ซม. แต่รูปร่างค่อนข้างผ่ายผอม หน้าอกแบนราบราวกับพื้นสนามบิน เห็นได้ชัดว่านอกจากส่วนสูงแล้ว หลายๆส่วนยังไม่พัฒนาเต็มที่
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะวัยรุ่นสาวคนที่ว่า ดันเป็นคนที่ฉินเฟิงรู้จัก
-เสี่ยวจิง!
ในหัวใจของฉินเฟิงย้อนนึกไปถึงในชีวิตก่อนหน้า ว่านับจากนี้อีกไม่กี่ปีต่อมา เสี่ยวจิงจะกลายเป็นพันเอกในกองทัพ แถมยังเคยออกไปช่วยเขาต่อสู้ภายนอกอีกด้วย
ในช่วงเวลานั้น เสี่ยวจิงเป็นเจ้าหน้าที่คนดัง มีศักดิ์ศรีและชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
น่ากลัวว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าอีกฝ่ายในปัจจุบัน จะอยู่ในสภาพน่าหดหู่เช่นนี้
“แล้วทำไมฉันต้องกลับไปด้วย? ฉันเองก็สามารถต่อสู้ได้ ฉันอยากจะไปล่าพวกสัตว์กลายพันธ์เหมือนกัน!” เสี่ยวจิงทนไม่ไหวต้องร่ำร้องออกมา แต่ในหัวใจเธอกระวนกระวายยิ่งนัก
“อย่างเธอน่ะหรือจะไปสู้? กลับไปทำอาหารหรือคอยเลี้ยงลูกเถอะ!” ทหารแสยะรอยยิ้มเย็น
ในทุกๆวัน ผู้คนมากมายเลือกที่จะออกมาหาที่ตายด้วยเหตุผลต่างๆกันไป เพราะอย่างไรเสีย ในชุมชนน่ะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวร้ายๆ หากอยากเป็นอิสระจากชีวิตที่ยากเข็ญ ก็ต้องออกมาดิ้นรนสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเอง
แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่คนธรรมดาจะออกไปข้างนอกได้ ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เปรียบดั่งทรัพยากรล้ำค่าแล้ว ทหารย่อมไม่มีทางให้เสี่ยวจิงออกไปตายอย่างไร้ประโยชน์
“ทำไมคุณถึงบอกว่าผู้หญิงต้องมีหน้าที่แค่เลี้ยงลูกกับทำอาหาร ทำไมกัน!” เสี่ยวจิงคำรามโกรธเกรี้ยว ในหัวใจฟุ้งไปด้วยความหดหู่
สีหน้าของทหารกลายเป็นเย็นชา
“ทำไมน่ะหรือ? ก็ลองดูตัวเธอเองสิ สภาพแบบนี้จะออกไปสู้ได้ยังไง? ไหนล่ะชุดต่อสู้ของเธอ? ไหนล่ะอาวุธ? ไม่มีอะไรซักอย่างเลย! เธอจะเก็บหินข้างทางขว้างใส่พวกสัตว์ร้ายจนมันตายรึไง? ไม่ต้องเถียงแล้ว กลับไปซะ!”
เสี่ยวจิงถูกจี้ใจดำ ใบหน้าเริ่มแดง เดิมเธอเตรียมที่จะวิ่งฝ่าออกไป แต่เมื่อได้ยินเหตุผลที่อีกฝ่ายตอกกลับมา เสี่ยวจิงก็ถอยไปก้าวหนึ่ง ไม่สามารถโต้แย้งได้
อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของเธอก็ตัดสินใจหนักแน่นว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้จงได้
ขณะที่เธอกำลังจะยอมถอยกลับบ้าน อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“งั้นผมขออาสาพาเธอออกไปเอง!”
เสี่ยวจิงตะลึงงัน เธอหันขวับไปตามทิศทางเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม เธอก็อุทานอย่างไม่คาดฝัน
“ฉินเฟิง! นั่นนายหรอ!”
ฉินเฟิงพยักหน้าให้เสี่ยวจิง และหันไปพูดกับทหารว่า “เธอคงจะมีปัญหา เลยไม่มีทางเลือกอื่น แต่ผมเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเธอ ดังนั้นผมจะพาเธอไปเอง!”
ว่าจบ ฉินเฟิงก็ตบๆลงบนปืนพลังงานที่เอว
มองไปยังปืนพลังงานและชุดต่อสู้ที่ทรงประสิทธิภาพของฉินเฟิง สีหน้าเย็นชาของทหารก็คลายลง
“งั้นก็ได้ แต่อย่าลืมล่ะว่าต้องรอดชีวิตกลับมา!”
ทหารยอมเปิดทางให้ แต่แท้จริงแล้วเขาเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่ง นั่นคือคิดว่าฉินเฟิงคงสามารถปลุกพลังได้ตั้งนานแล้ว หากเขารู้ว่าฉินเฟิงกับเสี่ยวจิงเพิ่งจะฉีดยากระตุ้นไปได้แค่7-8วัน เขาคงไม่ยอมปล่อยทั้งสองไป
ฉินเฟิงพาเสี่ยวจิงออกจากประตู เดินผ่านท้องถนนที่เต็มไปด้วยกับดักมากมาย กระจายอยู่รอบๆ ซึ่งตรงส่วนนี้ มิอาจล่าสัตว์กลายพันธ์ได้
“ฉินเฟิง ขอบคุณนะ!” น้ำเสียงของเสี่ยวจิงฟุ้งไปด้วยความสำนึกคุณ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงซะพวกเราก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน!” นี่คือประโยคที่เสี่ยวจิงเคยกล่าวกับฉินฟิงในชีวิตก่อนหน้า บางทีอาจเป็นเพราะในช่วงนั้นฉินเฟิงกำลังลำบากก็เป็นได้ เขาเลยจดจำความเมตตานี้ไว้ในหัวใจ
ในช่วงเวลาคับขันที่หัวใจเหี่ยวแห้ง กลับปรากฏหยดน้ำใจ มอบความชุ่มชื้นให้อย่างกระทันหัน
“ขอบคุณจริงๆ!” ไม่ทราบว่าหยาดน้ำดังกล่าวไปกระตุ้นให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในหัวใจของเธอหรืออย่างไร ดวงตาของเสี่ยวจิงเริ่มเอ่อนองไปด้วยน้ำตา
ฉินเฟิงพอเห็นก็เงียบไป
เขาเป็นชายที่ยอมหลั่งเลือดมิหลั่งน้ำตา เมื่อเจอเข้ากับการร่ำไห้ของหญิงสาว เจ้าตัวก็ไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรดี
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสี่ยวจิงกันแน่ ทำไมถึงคิดทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวเธอในอนาคต ล้วนเป็นที่อิจฉาในหมู่นักเรียนโรงเรียนมัธยม
“อ๊ะ! ขอโทษที ฉันลืมตัวไป” เสี่ยวจิงรีบปาดน้ำตาและฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เธอมีปัญหาอะไรกันแน่ถึงได้มาทำแบบนี้?”
เสี่ยวจิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจสารภาพ “พ่อฉันต้องการให้ฉันแต่งงาน อ่า … แต่งงานกับตาลุงอายุ 40 ปี!”
ฉินเฟิงต้องเงียบไปอีกครั้ง แม้เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเป็นปกติกับผู้คนจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเสี่ยวจิง
บางที อาจเป็นเพราะฉินเฟิงเปิดบทสนทนา เสี่ยวจิงเลยไม่คิดข่มกลั้น เล่าต่อว่า “นายก็รู้ใช่ไหม ว่าฉันมีน้องชายอีกสองคน และในปีหน้า น้องชายของฉันก็จะต้องได้รับการฉีดยากระตุ้นแล้ว พ่อของฉันเลยเตรียมจัดการหายาเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขา ไปขอยืมเงินกับคนอื่น 80000 เหรียญ โดยแลกกับตัวฉัน”
“ฉันไม่คาดคิดเลย ทั้งๆที่คนๆนั้นมีเมียอยู่แล้ว ไหนจะลูกชายอายุ 12 ปีอีก แต่เขาก็ยังต้องการที่จะตบแต่งฉันเป็นเมียน้อย นี่มันไร้สาระจริงๆ!”
“ฉันเลยอ้อนวอนพ่อ ขอเวลาให้ตนเองหนึ่งเดือน ในระหว่างนั้น ฉันอาจเก่งขึ้น และกลายเป็นผู้ใช้วรยุทธก็ได้ แต่พ่อไม่ยอมรอ หรือให้โอกาสฉันเลย แถมยังตอกย้ำว่า ไม่สำคัญว่าฉันแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ แต่ขอแค่ฉันให้กำเนิดลูกหลานที่แข็งแกร่งได้ก็พอแล้ว”
เสี่ยวจิงยิ่งพูด ก็ยิ่งโกรธ
ฉินเฟิงถึงบางอ้อในที่สุด
ว่าความจริงแล้ว พ่อของเสี่ยวจิงไม่ได้กังวลเรื่องเสี่ยวจิงจะไม่สามารถกลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณได้หรือไม่ หากแต่กลัวว่าจะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ต่างหาก
บ้านของเสี่ยวจิงน่ะยากจน พวกเขาอดมื้อกินมื้อ และเพื่อให้น้องๆทั้งสองที่อายุน้อยกว่ามีอันจะกิน เสี่ยวจิงก็เลยยอมอด จนผอมบางแบบนี้
คาดว่าพ่อของเสี่ยวจิงเอง ก็คงเห็นเธอเป็นสินค้าใช้แลกเงินอยู่แล้ว เลยไม่คิดเสียเงินซื้อยาเสริมความแข็งแกร่งฟูมฟักเธอตั้งแต่แรก ดังนั้น ต่อให้เสี่ยวจิงสามารถกลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณได้ สำหรับเขา มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี