ตอนที่แล้วบทที่ 45 ใครกันแน่ที่ต้องไสหัวไป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 47 ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง

บทที่ 46 เมืองชายแดน ‘หลิวเฉอ’


ชายหนุ่มที่ไล่เย่โม่ถูกเขาถีบหน้าจนกระเด็นร่วงลงบนถังขยะ  เมื่อดูท่าทางที่เขานั่งบนถังขยะแบบนี้แล้ว  ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งจมูกและปากของชายคนนี้มีเลือดไหลอยู่ล่ะก็  คนอื่นๆ คงเข้าใจว่าเขาจงใจนั่งตรงนั้นเอง

การกระทำของเย่โม่ทำให้ผู้คนรอบๆ รู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันที  ชายวัยกลางคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นก็หันมามองเช่นกัน  พอเขาหันกลับมาก็พบทันทีว่าด้านหลังของตัวเองมีโจรอยู่คนหนึ่ง  เมื่อโจรคนนั้นเห็นว่าชายวัยกลางคนสังเกตเห็นเขาแล้วเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจแต่อย่างใด  เขาเก็บมีดใบเล็กๆ ที่หนีบไว้ตรงนิ้วเข้ามา จากนั้นจึงหันหลังเดินมาล้อมเย่โม่พร้อมกับชายวัยรุ่นอีก 2 คน  พวกเขาจ้องมองเย่โม่ด้วยแววตามุ่งร้าย

เมื่อรวมกับชายวัยรุ่นที่ถูกเขาถีบไปบนถังขยะแล้ว  โจรแก๊งนี้มีถึง 4 คนด้วยกัน

“ไอ้หนู!  รนหาที่ซะแล้ว!  จัดการหักแขนหักขาไอ้หนูนี่ซะ!”  หนึ่งในนั้นที่มีมีดสั้นอยู่ในมือพูดขึ้น  เมื่อสิ้นเสียงก็พุ่งเข้ามาหาเย่โม่ด้วยความโกรธ  ส่วนชายอีก 2 คนก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าหาเย่โม่เช่นกัน  มีเพียงชายที่นั่งอยู่บนถังขยะเท่านั้นที่ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด!

เขารู้แน่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง  แค่ลูกถีบเพียงครั้งเดียวของชายหนุ่มก็ส่งเขาลอยมาอยู่บนถังขยะแบบนี้  เรื่องนี้แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าเลย  ถ้าไม่ใช่แค่ถีบครั้งเดียวก็ทำให้เขากระเด็นแบบนี้แล้วล่ะก็  บางทีเขาคงจะไม่หวาดกลัวขนาดนี้

ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่พวกเขาสมควรจะไปหาเรื่องด้วย  แต่เขาจะตะโกนห้ามคนที่เหลือก็ไม่ทันเสียแล้ว  นั่นก็เพราะเพื่อนของเขาได้พุ่งเข้าไปหาเย่โม่แล้ว

ชายวัยกลางคนเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว  ชายหนุ่มคนนั้นคงจะเห็นหัวขโมยจ้องจะเอากระเป๋าเงินของเขา  จึงถูกแก๊งหัวขโมยแก้แค้นนั่นเอง  ถึงแม้ใจหนึ่งชายวัยกลางคนอยากจะเข้าไปช่วย  แต่ตัวเขาเองก็ต่อสู้อะไรไม่เป็นเลย  ขณะที่กำลังคิดจะโทรแจ้งตำรวจอยู่นั้นเอง  สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!

เย่โม่ถีบชายที่ถือมีดจนลอยกระเด็นเหมือนกับคนแรกอีกครั้ง  มีดเล่มนั้นยังปักไปที่ขาของเขาโดยไม่รู้ตัว  นี่ยังไม่เท่าไหร่  ชายคนที่ถือมีดนั้นยังลอยไปทับชายที่นั่งอยู่บนถังขยะอีกด้วย

หลังจากนั้นชายวัยกลางคนก็เห็นเย่โม่กระโดดหมุนตัวเตะชายหนุ่มอีก 2 คน  ซึ่งในนั้นก็มีชายที่คิดจะขโมยกระเป๋าเงินเขารวมอยู่ด้วย  เกิดเป็นเสียงดัง  กร๊อบ! กร๊อบ!  จากชาย 2 คนนั้น  ไม่รู้ว่าเย่โม่ถีบอะไรหัก  รู้เพียงว่าชาย 2 คนนั้นร้องเสียงโหยหวนแล้วร่วงไปกองรวมกันบนถังขยะเหมือนกับคนอื่นๆ ในแก๊ง  ชาย 4 คนดูไปแล้วเหมือนกับกองขยะสักกองหนึ่ง  น้ำหนักของพวกเขาทำให้ถังขยะบี้แบนจนเกิดเป็นเสียง ตึ่ง!

ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจอย่างหนาวยะเยือก  ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเห็นการกระทำของเย่โม่กับตาตัวเองแต่เห็นในวิดีโอแทนล่ะก็  เขาจะต้องคิดว่านี่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างแน่นอน  นี่มันเหมือนกับการถ่ายหนังชัดๆ

“พวกสวะ!”  เย่โม่พูดแค่ 2 คำแล้วก็เดินจากไป  ผู้คนโดยรอบที่มองอยู่จึงได้สติขึ้นมา  พวกเขามองโจรทั้ง 4 ที่นอนกองอยู่กับพื้น  จากนั้นคนรอบๆ ก็ปรบมือให้เย่โม่  ถึงยังไงชาย 4 คนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

เหล่าโจรทั้ง 4 เหมือนจะรู้ว่าถ้าตำรวจมาล่ะก็แย่แน่ๆ  พวกเขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนโดยไม่แม้แต่สนใจคราบเลือดบนร่างกาย  พวกเขาประคองกันแล้วรีบหนีไป

ส่วนชายวัยกลางคนวิ่งไล่ตามเย่โม่มาถึงตรงถนนแล้วเรียกเย่โม่เอาไว้  “เพื่อนรอเดี๋ยว!  เรื่องเมื่อครู่ต้องขอบคุณมาก”

เย่โม่โบกมือ  “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  ผมไม่ได้ตั้งใจจะช่วยคุณหรอก  แค่ไอ้สวะพวกนั้นเริ่มหาเรื่องผมก่อนก็เท่านั้น”  พูดจบเขาก็หันหลังเดินต่อไป

“อย่างนี้นี่เอง  ผมชื่อว่าจัวอ้ายกั๋ว  ผมอยากจะช่วนนายไปกินข้าวด้วยกันน่ะ  ไม่รู้นายจะเต็มใจไหม?”  เมื่อได้เห็นฝีมือระดับนี้ของเย่โม่แล้ว  จัวอ้ายกั๋วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในหัวทันที

“ไม่สนใจ”  เย่โม่วางแผนว่าจะอยู่เมืองเสียนซานแห่งนี้แค่คืนเดียวเท่านั้น  พรุ่งนี้เขาก็จะไปแล้ว  ชายคนนี้ชวนเขาไปกินข้าวย่อมต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน  แต่อะไรจะสำคัญไปกว่าการที่เขาจะไปกุ้ยหลินเพื่อฝึกฝนกันเล่า?

เมื่อเห็นเย่โม่หันหลังเดินจากไป  จัวอ้ายกั๋วก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว  เขารีบเดินตามไปทันที  “คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ  ผมแค่อยากให้นายไปเป็นเพื่อนกันที่กุ้ยหลินหน่อย  นายอยากได้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย”

จากที่จัวอ้ายกั๋วสังเกตแล้ว  เสื้อผ้าที่เย่โม่ใส่นั้นเหมือนกับว่าเขาจะไม่ใช่คนที่มีเงินมีทองอะไร  การใช้เงินมาล่อดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว  แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือหากไม่ใช่เพราะว่าเย่โม่ต้องการจะไปที่กุ้ยหลินอยู่แล้ว  รวมถึงตอนนี้เขามีเงินแค่ห้าหมื่นหยวนล่ะก็  ต่อให้จัวอ้ายกั๋วควักเงินออกมาล้านหนึ่งเขาก็ไม่สนใจ

กุ้ยหลิน?  เย่โม่ชะงักเท้าทันที  จุดหมายของเขาก็คือกุ้ยหลินพอดี  ถ้าไปทางเดียวกันแล้วเขายังทำเงินได้แบบนี้เขาก็ไม่ว่าอะไร  แต่ถ้าเป็นแบบเดียวกับหญิงสาวที่ชื่อเหวินตงครั้งที่แล้ว  ที่ให้เขาไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นล่ะก็  เขาคงต้องขอผ่าน  ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรือว่าอะไร เพียงแต่เขาไม่ชอบที่ทุกครั้งเมื่อเจอใครสักคน  มักจะต้องถูกขอให้ไปช่วยลงไม้ลงมือต่อยตีผู้คนเสียทุกครั้งไป  อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็มีบัตรประชาชนแล้ว  เขาไม่กลัวการซื้อตั๋วเครื่องบินอีกต่อไป

“เอาเถอะ…งั้นเราไปคุยกัน”  เย่โม่คิดในใจว่าเย็นนี้คงไม่ได้ออกเดินทางแล้ว  ถ้าเป็นแบบนั้นไปพูดคุยตกลงกันเสียจะดีกว่า

ทั้ง 2 คนนั่งลงในร้านกาแฟที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่ง  จัวอ้ายกั๋วพูดออกมาตรงๆ  “ที่จริงแล้วผมแค่มีเรื่องด่วนชั่วคราวจึงต้องไปกุ้ยหลิน  ผมมีนัดติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับหัวหน้าแก๊งที่เมืองหลิวเฉอ (งูเลื้อย)   เพียงแต่ถ้าจะไปหลิวเฉอนั้นจะต้องผ่านกุ้ยหลินไปอีก  รวมถึงที่นั่นก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก”

“เดิมที...ผมรั้งอยู่ที่นี่ก็เพราะกำลังรอคนคนหนึ่งเพื่อจะไปที่นั่นด้วยกัน  แต่ได้เห็นฝีมือของคุณแล้วยังเก่งกว่าคนของผมเสียอีก  ถ้าคุณเต็มใจจะร่วมทางไปด้วยกันถึงกุ้ยหลินล่ะก็  เรื่องค่าตอบแทนคุณเสนอมาได้เลย  ที่จริงหลิวเฉอนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองกุ้ยหลินแล้ว  หลังจากลงที่สนามบินเถียนหลิ่งของเมืองกุ้ยหลินแล้ว  ยังต้องนั่งรถ 2-3 ชั่วโมงจึงจะถึงหลิวเฉอ  จากเสียนซานบินตรงไปกุ้ยหลินมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก  แต่หลิวเฉอนั้นอยู่ติดกับชายแดนของหลายประเทศ  อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยด้วย  ที่ผมบอกว่ากฏระเบียบของที่นั่นมันยุ่งวุ่นวาย  ที่จริงแล้วพูดว่าไม่มีกฏระเบียบเลยถึงจะถูกต้องที่สุด”

หลังจากจัวอ้ายกั๋วพูดจบเขาก็มองเย่โม่อย่างคาดหวัง  ที่จริงยังมีอีกเรื่องที่เขาไม่ได้พูดออกไป  ที่นั่นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโจรผู้ร้ายและพวกเดนตายทั้งนั้น  การต่อสู้ฆ่าฟันมีให้เห็นกันอยู่ทุกวัน

เย่โม่ขมวดคิ้ว  เขาต้องการไปกุ้ยหลินเพราะได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นเมืองชายแดน  ถ้าถูกตระกูลซ่งพบตัวล่ะก็เขาสามารถหนีไปอีกฝั่งได้ทุกเมื่อ  ส่วนที่หลิวเฉอแห่งนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย  ตามที่จัวอ้ายกั๋วพูดแล้ว   เมืองหลิวเฉอแห่งนี้เข้าใกล้เขตชายแดนมากกว่ากุ้ยหลินเสียอีก  ส่วนเรื่องที่ว่าจะวุ่นวายหรือไม่วุ่นวายนั้นเขาไม่ใส่ใจแต่แรกแล้ว

คิดอยู่ครู่หนึ่งเย่โม่ก็พูดขึ้น  “แบบนี้นะ…ที่จริงแล้วผมเองก็ต้องการจะไปกุ้ยหลินเช่นกัน  ผมต้องการจะหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้า  แต่การไปกุ้ยหลินสำหรับผมนี่ถือเป็นครั้งแรก  ฟังจากที่คุณพูดแล้วหลิวเฉอใกล้กับเขตชายแดนมากกว่ากุ้ยหลิน  ถ้าอย่างนั้นสำหรับผมที่หลิวเฉอคงจะเหมาะสมมากกว่ากุ้ยหลินเสียแล้ว   ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นผมไม่ต้องการ  ถ้าคุณรู้จักคุ้นเคยที่ไหนในหลิวเฉอล่ะก็  แนะนำให้ผมก็พอแล้ว”

เมื่อจัวอ้ายกั๋วฟังที่เย่โม่พูดจบก็รีบโบกไม้โบกมือทันที  “อย่าได้ไปหาโอกาสจากที่หลิวเฉอเชียว!  ถ้าอยากจะทำธุรกิจก็ทำที่กุ้ยหลินเถอะ  ที่กุ้ยหลินผมยังมีคนรู้จักอยู่บ้าง  แถมยังมีที่พักให้คุณอีกด้วย  ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้วผมจะยกมันให้กับคุณเลยก็ยังได้  ที่ผมจะไปหลิวเฉอก็เพราะผมไม่มีทางเลือกแล้ว  ถ้าเลือกได้ผมจะไม่ไปที่แบบนั้นแน่นอน”

เย่โม่ยิ้มบางๆ  “มีอันตรายสิถึงจะมีโอกาส  ผมตัดสินใจแล้ว”

จัวอ้ายกั๋วที่เห็นเย่โม่ตัดสินใจแล้วแบบนี้เขาก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก  ถึงยังไงเย่โม่ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง “ไม่มีปัญหา…การหาสักที่ในหลิวเฉอสำหรับผมแล้วยังพอจะทำได้อยู่บ้าง”

จัวอ้ายกั๋วเข้าใจดี  ที่หลิวเฉอจากที่เขาเคยฟังมาถึงแม้จะดำมืดเอามากๆ  แต่ขอแค่มีเงินอะไรๆก็พอจะเป็นไปได้

เย่โม่พยักหน้า  “ธุรกิจที่ผมทำผิดกฏหมายอยู่บ้าง  ยิ่งห่างไกลผู้คนได้ยิ่งดี”

จัวอ้ายกั๋วอ้าปาก  แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  ด้วยประสบการณ์ในการทำธุรกิจมายาวนานหลายปีของเขาแล้ว  ย่อมจะมองออกว่าเย่โม่ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หลอกลวงแต่อย่างใด  แต่ทำไมสิ่งที่เขาพูดถึงได้มีกลิ่นอายของสังคมพวกใต้ดินอยู่บ้างแบบนี้กัน...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด