บทที่ 46 เมืองชายแดน ‘หลิวเฉอ’
ชายหนุ่มที่ไล่เย่โม่ถูกเขาถีบหน้าจนกระเด็นร่วงลงบนถังขยะ เมื่อดูท่าทางที่เขานั่งบนถังขยะแบบนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งจมูกและปากของชายคนนี้มีเลือดไหลอยู่ล่ะก็ คนอื่นๆ คงเข้าใจว่าเขาจงใจนั่งตรงนั้นเอง
การกระทำของเย่โม่ทำให้ผู้คนรอบๆ รู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันที ชายวัยกลางคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้นก็หันมามองเช่นกัน พอเขาหันกลับมาก็พบทันทีว่าด้านหลังของตัวเองมีโจรอยู่คนหนึ่ง เมื่อโจรคนนั้นเห็นว่าชายวัยกลางคนสังเกตเห็นเขาแล้วเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจแต่อย่างใด เขาเก็บมีดใบเล็กๆ ที่หนีบไว้ตรงนิ้วเข้ามา จากนั้นจึงหันหลังเดินมาล้อมเย่โม่พร้อมกับชายวัยรุ่นอีก 2 คน พวกเขาจ้องมองเย่โม่ด้วยแววตามุ่งร้าย
เมื่อรวมกับชายวัยรุ่นที่ถูกเขาถีบไปบนถังขยะแล้ว โจรแก๊งนี้มีถึง 4 คนด้วยกัน
“ไอ้หนู! รนหาที่ซะแล้ว! จัดการหักแขนหักขาไอ้หนูนี่ซะ!” หนึ่งในนั้นที่มีมีดสั้นอยู่ในมือพูดขึ้น เมื่อสิ้นเสียงก็พุ่งเข้ามาหาเย่โม่ด้วยความโกรธ ส่วนชายอีก 2 คนก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าหาเย่โม่เช่นกัน มีเพียงชายที่นั่งอยู่บนถังขยะเท่านั้นที่ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด!
เขารู้แน่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง แค่ลูกถีบเพียงครั้งเดียวของชายหนุ่มก็ส่งเขาลอยมาอยู่บนถังขยะแบบนี้ เรื่องนี้แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าเลย ถ้าไม่ใช่แค่ถีบครั้งเดียวก็ทำให้เขากระเด็นแบบนี้แล้วล่ะก็ บางทีเขาคงจะไม่หวาดกลัวขนาดนี้
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนที่พวกเขาสมควรจะไปหาเรื่องด้วย แต่เขาจะตะโกนห้ามคนที่เหลือก็ไม่ทันเสียแล้ว นั่นก็เพราะเพื่อนของเขาได้พุ่งเข้าไปหาเย่โม่แล้ว
ชายวัยกลางคนเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นคงจะเห็นหัวขโมยจ้องจะเอากระเป๋าเงินของเขา จึงถูกแก๊งหัวขโมยแก้แค้นนั่นเอง ถึงแม้ใจหนึ่งชายวัยกลางคนอยากจะเข้าไปช่วย แต่ตัวเขาเองก็ต่อสู้อะไรไม่เป็นเลย ขณะที่กำลังคิดจะโทรแจ้งตำรวจอยู่นั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!
เย่โม่ถีบชายที่ถือมีดจนลอยกระเด็นเหมือนกับคนแรกอีกครั้ง มีดเล่มนั้นยังปักไปที่ขาของเขาโดยไม่รู้ตัว นี่ยังไม่เท่าไหร่ ชายคนที่ถือมีดนั้นยังลอยไปทับชายที่นั่งอยู่บนถังขยะอีกด้วย
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนก็เห็นเย่โม่กระโดดหมุนตัวเตะชายหนุ่มอีก 2 คน ซึ่งในนั้นก็มีชายที่คิดจะขโมยกระเป๋าเงินเขารวมอยู่ด้วย เกิดเป็นเสียงดัง กร๊อบ! กร๊อบ! จากชาย 2 คนนั้น ไม่รู้ว่าเย่โม่ถีบอะไรหัก รู้เพียงว่าชาย 2 คนนั้นร้องเสียงโหยหวนแล้วร่วงไปกองรวมกันบนถังขยะเหมือนกับคนอื่นๆ ในแก๊ง ชาย 4 คนดูไปแล้วเหมือนกับกองขยะสักกองหนึ่ง น้ำหนักของพวกเขาทำให้ถังขยะบี้แบนจนเกิดเป็นเสียง ตึ่ง!
ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจอย่างหนาวยะเยือก ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเห็นการกระทำของเย่โม่กับตาตัวเองแต่เห็นในวิดีโอแทนล่ะก็ เขาจะต้องคิดว่านี่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างแน่นอน นี่มันเหมือนกับการถ่ายหนังชัดๆ
“พวกสวะ!” เย่โม่พูดแค่ 2 คำแล้วก็เดินจากไป ผู้คนโดยรอบที่มองอยู่จึงได้สติขึ้นมา พวกเขามองโจรทั้ง 4 ที่นอนกองอยู่กับพื้น จากนั้นคนรอบๆ ก็ปรบมือให้เย่โม่ ถึงยังไงชาย 4 คนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เหล่าโจรทั้ง 4 เหมือนจะรู้ว่าถ้าตำรวจมาล่ะก็แย่แน่ๆ พวกเขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนโดยไม่แม้แต่สนใจคราบเลือดบนร่างกาย พวกเขาประคองกันแล้วรีบหนีไป
ส่วนชายวัยกลางคนวิ่งไล่ตามเย่โม่มาถึงตรงถนนแล้วเรียกเย่โม่เอาไว้ “เพื่อนรอเดี๋ยว! เรื่องเมื่อครู่ต้องขอบคุณมาก”
เย่โม่โบกมือ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมไม่ได้ตั้งใจจะช่วยคุณหรอก แค่ไอ้สวะพวกนั้นเริ่มหาเรื่องผมก่อนก็เท่านั้น” พูดจบเขาก็หันหลังเดินต่อไป
“อย่างนี้นี่เอง ผมชื่อว่าจัวอ้ายกั๋ว ผมอยากจะช่วนนายไปกินข้าวด้วยกันน่ะ ไม่รู้นายจะเต็มใจไหม?” เมื่อได้เห็นฝีมือระดับนี้ของเย่โม่แล้ว จัวอ้ายกั๋วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในหัวทันที
“ไม่สนใจ” เย่โม่วางแผนว่าจะอยู่เมืองเสียนซานแห่งนี้แค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เขาก็จะไปแล้ว ชายคนนี้ชวนเขาไปกินข้าวย่อมต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน แต่อะไรจะสำคัญไปกว่าการที่เขาจะไปกุ้ยหลินเพื่อฝึกฝนกันเล่า?
เมื่อเห็นเย่โม่หันหลังเดินจากไป จัวอ้ายกั๋วก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขารีบเดินตามไปทันที “คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ ผมแค่อยากให้นายไปเป็นเพื่อนกันที่กุ้ยหลินหน่อย นายอยากได้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย”
จากที่จัวอ้ายกั๋วสังเกตแล้ว เสื้อผ้าที่เย่โม่ใส่นั้นเหมือนกับว่าเขาจะไม่ใช่คนที่มีเงินมีทองอะไร การใช้เงินมาล่อดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือหากไม่ใช่เพราะว่าเย่โม่ต้องการจะไปที่กุ้ยหลินอยู่แล้ว รวมถึงตอนนี้เขามีเงินแค่ห้าหมื่นหยวนล่ะก็ ต่อให้จัวอ้ายกั๋วควักเงินออกมาล้านหนึ่งเขาก็ไม่สนใจ
กุ้ยหลิน? เย่โม่ชะงักเท้าทันที จุดหมายของเขาก็คือกุ้ยหลินพอดี ถ้าไปทางเดียวกันแล้วเขายังทำเงินได้แบบนี้เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นแบบเดียวกับหญิงสาวที่ชื่อเหวินตงครั้งที่แล้ว ที่ให้เขาไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นล่ะก็ เขาคงต้องขอผ่าน ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรือว่าอะไร เพียงแต่เขาไม่ชอบที่ทุกครั้งเมื่อเจอใครสักคน มักจะต้องถูกขอให้ไปช่วยลงไม้ลงมือต่อยตีผู้คนเสียทุกครั้งไป อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็มีบัตรประชาชนแล้ว เขาไม่กลัวการซื้อตั๋วเครื่องบินอีกต่อไป
“เอาเถอะ…งั้นเราไปคุยกัน” เย่โม่คิดในใจว่าเย็นนี้คงไม่ได้ออกเดินทางแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นไปพูดคุยตกลงกันเสียจะดีกว่า
ทั้ง 2 คนนั่งลงในร้านกาแฟที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่ง จัวอ้ายกั๋วพูดออกมาตรงๆ “ที่จริงแล้วผมแค่มีเรื่องด่วนชั่วคราวจึงต้องไปกุ้ยหลิน ผมมีนัดติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับหัวหน้าแก๊งที่เมืองหลิวเฉอ (งูเลื้อย) เพียงแต่ถ้าจะไปหลิวเฉอนั้นจะต้องผ่านกุ้ยหลินไปอีก รวมถึงที่นั่นก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก”
“เดิมที...ผมรั้งอยู่ที่นี่ก็เพราะกำลังรอคนคนหนึ่งเพื่อจะไปที่นั่นด้วยกัน แต่ได้เห็นฝีมือของคุณแล้วยังเก่งกว่าคนของผมเสียอีก ถ้าคุณเต็มใจจะร่วมทางไปด้วยกันถึงกุ้ยหลินล่ะก็ เรื่องค่าตอบแทนคุณเสนอมาได้เลย ที่จริงหลิวเฉอนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองกุ้ยหลินแล้ว หลังจากลงที่สนามบินเถียนหลิ่งของเมืองกุ้ยหลินแล้ว ยังต้องนั่งรถ 2-3 ชั่วโมงจึงจะถึงหลิวเฉอ จากเสียนซานบินตรงไปกุ้ยหลินมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่หลิวเฉอนั้นอยู่ติดกับชายแดนของหลายประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยด้วย ที่ผมบอกว่ากฏระเบียบของที่นั่นมันยุ่งวุ่นวาย ที่จริงแล้วพูดว่าไม่มีกฏระเบียบเลยถึงจะถูกต้องที่สุด”
หลังจากจัวอ้ายกั๋วพูดจบเขาก็มองเย่โม่อย่างคาดหวัง ที่จริงยังมีอีกเรื่องที่เขาไม่ได้พูดออกไป ที่นั่นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโจรผู้ร้ายและพวกเดนตายทั้งนั้น การต่อสู้ฆ่าฟันมีให้เห็นกันอยู่ทุกวัน
เย่โม่ขมวดคิ้ว เขาต้องการไปกุ้ยหลินเพราะได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นเมืองชายแดน ถ้าถูกตระกูลซ่งพบตัวล่ะก็เขาสามารถหนีไปอีกฝั่งได้ทุกเมื่อ ส่วนที่หลิวเฉอแห่งนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ตามที่จัวอ้ายกั๋วพูดแล้ว เมืองหลิวเฉอแห่งนี้เข้าใกล้เขตชายแดนมากกว่ากุ้ยหลินเสียอีก ส่วนเรื่องที่ว่าจะวุ่นวายหรือไม่วุ่นวายนั้นเขาไม่ใส่ใจแต่แรกแล้ว
คิดอยู่ครู่หนึ่งเย่โม่ก็พูดขึ้น “แบบนี้นะ…ที่จริงแล้วผมเองก็ต้องการจะไปกุ้ยหลินเช่นกัน ผมต้องการจะหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้า แต่การไปกุ้ยหลินสำหรับผมนี่ถือเป็นครั้งแรก ฟังจากที่คุณพูดแล้วหลิวเฉอใกล้กับเขตชายแดนมากกว่ากุ้ยหลิน ถ้าอย่างนั้นสำหรับผมที่หลิวเฉอคงจะเหมาะสมมากกว่ากุ้ยหลินเสียแล้ว ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นผมไม่ต้องการ ถ้าคุณรู้จักคุ้นเคยที่ไหนในหลิวเฉอล่ะก็ แนะนำให้ผมก็พอแล้ว”
เมื่อจัวอ้ายกั๋วฟังที่เย่โม่พูดจบก็รีบโบกไม้โบกมือทันที “อย่าได้ไปหาโอกาสจากที่หลิวเฉอเชียว! ถ้าอยากจะทำธุรกิจก็ทำที่กุ้ยหลินเถอะ ที่กุ้ยหลินผมยังมีคนรู้จักอยู่บ้าง แถมยังมีที่พักให้คุณอีกด้วย ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้วผมจะยกมันให้กับคุณเลยก็ยังได้ ที่ผมจะไปหลิวเฉอก็เพราะผมไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าเลือกได้ผมจะไม่ไปที่แบบนั้นแน่นอน”
เย่โม่ยิ้มบางๆ “มีอันตรายสิถึงจะมีโอกาส ผมตัดสินใจแล้ว”
จัวอ้ายกั๋วที่เห็นเย่โม่ตัดสินใจแล้วแบบนี้เขาก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก ถึงยังไงเย่โม่ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง “ไม่มีปัญหา…การหาสักที่ในหลิวเฉอสำหรับผมแล้วยังพอจะทำได้อยู่บ้าง”
จัวอ้ายกั๋วเข้าใจดี ที่หลิวเฉอจากที่เขาเคยฟังมาถึงแม้จะดำมืดเอามากๆ แต่ขอแค่มีเงินอะไรๆก็พอจะเป็นไปได้
เย่โม่พยักหน้า “ธุรกิจที่ผมทำผิดกฏหมายอยู่บ้าง ยิ่งห่างไกลผู้คนได้ยิ่งดี”
จัวอ้ายกั๋วอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ด้วยประสบการณ์ในการทำธุรกิจมายาวนานหลายปีของเขาแล้ว ย่อมจะมองออกว่าเย่โม่ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หลอกลวงแต่อย่างใด แต่ทำไมสิ่งที่เขาพูดถึงได้มีกลิ่นอายของสังคมพวกใต้ดินอยู่บ้างแบบนี้กัน...