ตอนที่ 49 แทงก่อนค่อยว่ากัน
แต่เมื่อเหนือภพมองจานไก่ย่างหอมกรุ่นในมือ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเจ้าไร้ชื่อมาทำอะไรที่นี่ ไร้ชื่อเคยบอกเขาว่าสัตว์อสูรที่เลี้ยงมันมามีด้วยกัน 7 ชนิดและหนึ่งในนั้นก็มีไก่รวมอยู่ด้วย ดังนั้นไร้ชื่อจึงไม่กินไก่เพราะถือเป็นผู้มีพระคุณ แต่ไม่คิดว่ามันจะอาการหนักถึงขั้นไม่พอใจที่คนอื่นกินไก่ด้วย
“เอ่อ เจ้าสบายดีไหม ?”
เหนือภพถามด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเห็นไร้ชื่อดูเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ขณะจ้องมองจานไก่ย่างในมือเหนือภพอย่างไม่ลดละ เหนือภพกลืนน้ำลายลงคอ ปกติเขาจะไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก แต่ไร้ชื่อถือว่าเป็นเพื่อนที่ดี ตอนที่เขาสู้กับพญานาค ไร้ชื่อก็ยังมาช่วยทั้งยังช่วยเก็บของที่เขาทำตกหล่นมาคืนให้ แล้วเขาจะทำให้เพื่อนสะเทือนใจได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าเขาอดกินอาหารมื้อนี้แล้ว เพราะถึงแม้ไร้ชื่อจะมีอายุพอ ๆ กับเขา แต่ในด้านความคิดนั้นไร้ชื่อก็ไม่ต่างไปจากเด็กน้อยใสซื่อ อาจเป็นเพราะเขาเติบโตขึ้นมาในป่าเขา การที่เขามีสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาเลี้ยงดูก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เหนือภพถอนหายใจ เปลี่ยนจากใบหน้าเซ็ง มาเป็นใบหน้าเอาเรื่องเจ้าของร้านแทน
“พวกเจ้าก็ทำไม่ถูก พวกเจ้ารู้ไหม น้องชายข้าท่านนี้รักไก่มาก เห็นไก่ถูกย่างเมื่อไหร่ เขาก็จะจับคนย่างไก่มาย่างแทน”
คำข่มขู่ของเหนือภพทำให้เจ้าของร้านและพนักงานในร้านตัวสั่นเทา พวกเขาได้แต่หวังให้มือปราบมาถึงโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นต้องมีใครสักคนในร้านถูกย่างเสียแล้ว
ไร้ชื่อมีสีหน้าดีขึ้น เขายิ้มกว้างขณะจะตวัดดาบอีกครั้ง แต่เหนือภพยั้งไว้ทันท่วงที
“เดี๋ยว ที่นี่คือเมือง พวกเราจะใช้แต่กำลังไม่ได้ บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง”
“ข้าอยากแก้แค้น”
เหนือภพกุมขมับ เขาไม่รู้ว่าไร้ชื่อโตมาจนป่านนี้ได้อย่างไร เขาไม่อยากนึกเลยว่ามีร้านไก่กี่ร้านแล้วที่ต้องถูกทำลายไป นี่ยังไม่นับ กระต่าย หมี ลิง หมู หมา กา ที่คงมีคนถูกพังร้านค้าย่อยยับไปแล้วนับไม่ถ้วน
“เจ้ามีเงินหรือเปล่า”
ไร้ชื่อพยักหน้าแล้วก็ล้วงเข้าไปในอกของตัวเอง ก่อนหยิบตั๋วเงินปึกใหญ่ออกมาให้กับเหนือภพ
‘โอ้ !’
เหนือภพตะลึงไปกับตั๋วเงินที่น่าจะมีมูลค่าเกือบ 200,000 เหรียญทอง แต่เขาก็ดึงตั๋วเงินออกมาเพียงใบเดียว แล้วคืนที่เหลือให้ไร้ชื่อไปทั้งหมด
“แค่นี้ก็พอ”
เหนือภพยื่นตั๋วเงินให้เจ้าของร้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเจ้าเอาไก่พวกนี้ไปฝังดินซะ ทำพิธีศพให้เรียบร้อย แล้วก็ปิดร้านไปเลย หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก ไม่เพียงร้านของเจ้าจะพัง น้องข้าคนนี้ได้จับพวกเจ้าย่างรายตัวแน่”
“ขอรับ”
เจ้าของร้านรับคำอย่างจนใจ อย่างน้อยพวกเขาก็รอดชีวิตด้วยการไกล่เกลี่ยของเหนือภพ
เหนือภพอธิบายให้ไร้ชื่อเข้าใจว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาไม่อยากให้ไร้ชื่อต้องมีปัญหากับพวกมือปราบ ที่นี่มีคนเก่งมากมาย หากปล่อยให้เรื่องบานปลายคงไม่ดีแน่
แต่เรื่องราวที่ควรจะจบด้วยดี ก็ดันมีคนเข้ามาวุ่นวายจนได้ คล้ายกับการเช็ดล้างตะเกียบ แล้วในจังหวะที่กำลังเช็ดตะเกียบให้แห้งเตรียมเก็บใส่ตู้ก็ดันมีเสี้ยนออกมาตำนิ้วอย่างไรอย่างนั้น
“ใครบังอาจมาก่อเรื่องวุ่นวายภายใต้ความดูแลของข้า”
มือปราบอาคมค่อย ๆ ปรากฏทีละคนสองคนด้วยอาคมย่นระยะทาง จนในที่สุดพื้นที่รอบร้านขายไก่ย่างทั้งบนพื้นและบนหลังคาก็มีมือปราบอาคมเกือบยี่สิบคนในเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่งและอาวุธครบมือ
เจ้าของร้านขายไก่ย่างเห็นเช่นนั้นก็ดีใจจนโผเข้าไปหาหัวหน้ามือปราบในทันที
“ท่านมือปราบ พวกเขานั่นแหละ ที่ทำลายร้านข้าจนพัง ทั้งยังบีบบังคับให้ข้าปิดร้าน ข้าก็แค่คนค้าขายธรรมดา ถ้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้พวกข้าจะอยู่ได้ยังไง ไหนจะค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ใต้เท้ามือปราบได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย”
หัวหน้ามือปราบอาคมได้ยินเช่นนั้นก็ออกคำสั่งทันที
“จับมัน !”
เหนือภพหัวคิ้วกระตุก ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของมือปราบอาคมที่คอยดูแลความปลอดภัย ส่วนไร้ชื่อก็ชักดาบออกมาจากหลังเอวเตรียมพร้อมฟันไม่เลือกหน้า แต่เหนือภพไม่ให้เขาทำเช่นนั้น เหนือภพดันดาบที่ควรออกจากฝักกลับไปที่เดิม เขาเชื่อว่าคนเราพูดคุยกันได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันเลย
ในขณะที่เหนือภพหันกลับมาฉีกยิ้มให้หัวหน้ามือปราบ เขาก็ได้ยินเสียง
สวบ !!
วินาทีต่อมาตาของเหนือภพแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวคำไกล่เกลี่ย คมดาบของไร้ชื่อก็ถูกชักออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่คือตอนนี้มันปักอยู่กลางลำตัวของมือปราบอาคมผู้หนึ่ง แม้มือปราบคนนั้นจะไม่ตาย แต่การประนีประนอมที่เหนือภพกำลังพยายามทำ มันก็สูญเปล่าไปในทันที
ไร้ชื่อดีดตัวออกพร้อมดึงดาบกลับมาตั้งท่าพร้อมต่อสู้ เหนือภพจ้องมองไร้ชื่ออย่างไม่เข้าใจ ในดวงตาของไร้ชื่อนั้นยังคงดูไร้เดียงสา แต่ใบหน้าของเขากลับแผ่กลิ่นอายป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ป่า เมื่อเจอผู้คุกคามก็จะตอบโต้เองโดยธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้เหนือภพเข้าใจแล้วว่าตรรกะความเข้าใจแบบมนุษย์ใช้ไม่ได้ผลกับไร้ชื่อ
เจ้านี่ก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง เมื่อสัตว์เริ่มต่อสู้ก็ต้องเอาชนะเอาให้เด็ดขาด ไม่มีความปรานีหรืออ่อนข้อ
“ไป”
เหนือภพคว้าแขนไร้ชื่อก่อนที่เขาจะปลิดชีวิตของมือปราบอาคม เขาพาไร้ชื่อดีดตัวกระโดดไปตามหลังคาของร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็วโดยที่น้ำหนักตัวของเหนือภพนั้นสร้างความเสียหายไปตลอดทาง
แม้เหนือภพและไร้ชื่อจะเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่มือปราบอาคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจเมืองหลวง พวกเขาก็มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยมือปราบอาคม ‘ขุนเจษ’
“หยุดนะ ! นี่คือมือปราบอาคม ยอมมอบตัวซะดี ๆ โทษหนักจะได้เป็นเบา อย่าคิดว่าจะลอยนวลไปได้”
การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วราวกับภูตพราย ในตอนนี้เขาทิ้งระยะห่างจากเหนือภพกับไร้ชื่อเพียงแค่ 6 เมตรเท่านั้น ขณะที่มือปราบคนอื่น ๆ ที่มีมือฝีมือหน่อยก็ทิ้งห่างจากขุนเจษเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร
“นี่พี่ชาย พวกข้าไม่ผิดนะ ท่านจะไล่ตามพวกเราแบบนี้ไม่ได้”
เหนือภพพยายามเกลี้ยกล่อมโดยไม่หยุดวิ่ง เขายังไม่ใช้ท่ากระโดดหนีเพราะนั่นคงจะสร้างความเสียหายมากเกินไปจนกู่ไม่กลับเลยทีเดียว
แต่พวกมือปราบก็ยังไม่หยุดวิ่งตาม เห็นจะจริงอย่างที่เขาเคยได้ยินมาว่า ‘มือปราบเมืองหลวงเป็นประเภทกัดไม่ปล่อย’
ขณะที่ขุนเจษกำลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ เขาก็เอามือไพล่หลังไปหยิบอาวุธในกระเป๋าออกมา มันคือระเบิดสกัด
ตุ๊บ !
ทันทีที่มันถูกเขวี้ยงออกไป ลูกระเบิดก็แตกกระจายออกกลายเป็นเส้นเชือกผูกรั้งขาของเหนือภพเอาไว้ เหนือภพเสียหลักล้มหกคะเมน ลากไร้ชื่อกลิ้งตกจากบนหลังคาทะลุลงมาที่พื้นของร้านขายข้าวต้มด้วยกัน ผู้คนแตกฮือพลางส่งเสียงดังอื้ออึง
ขุนเจษยิ้มมุมปาก ขณะตะโกนบอกเหนือภพให้ยอมจำนน
“เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะคำพูดของเจ้าจะถูกนำไปใช้ในการพิจารณาในชั้นศาล”
แต่เหนือภพไม่บาดเจ็บอะไร เขารีบกระชากเชือกที่มัดขาออกอย่างง่ายดาย ท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของขุนเจษ เชือกเส้นนั้นมีส่วนผสมของเหล็กไหลใช้สะกดการเคลื่อนไหวและยับยั้งปราณอาคมของผู้มีพรสวรรค์ได้อย่างชะงัด อีกทั้งยังมีส่วนประกอบเพิ่มความเหนียวที่แม้แต่ฮันเตอร์แรงค์ D ก็ยังต้องเสียเวลาระยะหนึ่งจึงจะทำลายมันได้
“เจ้าเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ ?”
ขุนเจษโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ เขาไม่ทันได้สังเกตหรือเอะใจเลยว่าเหนือภพจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ แต่ยังไม่ทันให้เขาขบคิดอะไรต่อ ไร้ชื่อก็เรียกใช้ปราณอาคมสัตว์อสูรเจ็ดตัว ร่างสัตว์อสูรทั้งเจ็ดปรากฏขึ้นในทันใด พร้อมกับที่เขาฟันดาบในมือไปทางขุนเจษนับสิบครั้ง เพราะไร้ชื่อทนไม่ได้ที่เห็นเหนือภพถูกจับ เมื่อเขาเห็นเหนือภพล้ม เขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับเห็นพี่น้องถูกทำร้าย นั่นทำให้เขาเผยสัญชาตญาณสัตว์ของตัวเองออกมา
คลื่นอาคมรูปดาบหมุนติ้วออกมาทั้งสิบครั้งที่ไร้ชื่อฟันดาบ ทำให้ขุนเจษเร่งเร้าปราณอาคมของตนออกมาต้านรับ เบื้องหลังของขุนเจษปรากฏภาพคล้ายสุนัขพันธ์ุบางแก้วตัวสูงใหญ่ มันเห่ากรรโชกอย่างเป็นจังหวะ เกิดเป็นคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาเป็นเกราะอาคมคุ้มกายขุนเจษเอาไว้เป็นชั้น ๆ อย่างหนาแน่น พลังดาบอาคมหมุนติ้วดุจใบพัดของไร้ชื่อกระแทกเกราะของขุนเจษ จนขุนเจษถึงกับเซถลาไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง แม้แต่เท้าแข็งแรงที่จิกไว้ที่พื้นก็ต้านทานไว้ไม่อยู่ จนพื้นดินมีรอยขูดลากเป็นทาง
เหนือภพบีบไหล่ของไร้ชื่ออย่างแรง เพื่อให้เขาหยุดมือ จากนั้นเขาก็ลากตัวไร้ชื่อหนีจากไปอีกทาง
ความจริงแล้วเหนือภพไม่ได้กลัวเกรงขุนเจษเลย เขาเพียงแต่กลัวสิ่งที่จะตามมาต่างหาก หากเขาต่อสู้อย่างดึงดันเหนือภพก็รู้สึกสยองเมื่อคิดว่าจะต้องฟังคำบ่นของศิษย์พี่ใหญ่ และคำสั่งบังคับให้เขาอ่านกฎหมายบ้านเมืองให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นแค่มือปราบเล็ก ๆ มีหรือเหนือภพจะกลัว เขาจะกดให้จมดินเลยก็ยังได้
‘ที่นี่ไม่ใช่ป่าเขา บ้านเมืองย่อมมีกฎ หากพวกเราไม่เคารพกฎเหล่านี้ เราก็ไม่ต่างจากคนชั่ว ฝีมือและความสามารถของพวกเรา อาจารย์สอนไว้ว่าให้ใช้ปกป้องผู้อื่น ไม่ใช่ก่อความเดือดร้อน’
นี่เป็นคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดกรอกหูเขาเสมอ ไม่รู้ว่าอาจารย์ฝากศิษย์พี่มาอบรมเขารึเปล่า
เพียงพริบตาเหนือภพกับไร้ชื่อก็จากไป ขุนเจษไม่ได้ติดตามไปเพราะมีคนหนึ่งในทีมที่เพิ่งมาถึง มากระซิบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของเหนือภพ และนั่นก็ทำให้ขุนเจษโกรธมาก
“ปัดโธ่โว้ย”
ตัวตนของเหนือภพมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เกินไป พวกเขาทำอะไรไม่ได้แม้แต่คิดจะเอาผิด คงต้องปล่อยให้สหายในทีมบาดเจ็บสาหัสโดยไม่มีคนรับผิดชอบ
“หัวหน้า เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
หนึ่งในหน่วยเอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บแค้นไม่แพ้กัน ปัญหาไม่ใช่กลุ่มภราดา พวกเขายุติธรรมมากพอ แต่หอโลหิตกลับไม่ใช่เช่นนั้น
ณ มุมถนนที่ห่างไกลออกไป
มีคนหนึ่งในหน่วยมือปราบอาคมที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากนั้นเขาก็ลอบตามเหนือภพกับชายอีกคนไปอย่างเงียบเชียบ เขาได้รับสาส์นลับที่ส่งตรงมาจากตระกูลสุบรรณเวนไตยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เป้าหมายของเขามีเพียงอย่างเดียวคือสืบให้รู้ว่าในตัวเหนือภพมีพญานาคห้าเศียรอยู่หรือไม่ หากว่าใช่จริง เขาก็ต้องกำจัดทิ้งซะ