บทที่ 45 ใครกันแน่ที่ต้องไสหัวไป
“นายปิดปากฉันแล้วจะได้อะไรกัน? นายไม่รู้หรือไงว่าทั้งโลกรู้เรื่องของชิ้นนี้แล้ว โง่เง่า!” เหวินตงพูดเยาะเย้ยชายแซ่กง
“อย่าได้ใจไป…เหวินตง คนที่อยากจะฆ่าเธอน่ะไม่ใช่ฉัน แต่เป็น...” กงฮุ่ยซานยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อว่าใครกันแน่ที่อยากฆ่าเหวินตง เธอก็ได้ลั่นไกปืนเสียแล้ว
“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้” สีหน้าของเหวินตงกลับมาเป็นปกติ เธอลั่นไกฆ่ากงฮุ่ยซานทันที
ตอนแรกเย่โม่คิดว่าเหวินตงจะถามถึงภูมิหลังที่มาของเขา ถ้าเธอถามขึ้นมาเย่โม่ก็คงตอบไม่ได้ เขามาถึงนี่ก็เพื่อเงินห้าหมื่นหยวนเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะได้มายากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาละเอียดรอบคอบล่ะก็ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องตายที่นี่ก็ได้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเย่โม่ก็คือเหวินตงกลับไม่ได้ถามอะไรเลย เธอพูดกับเขาว่า “พวกเราไปกันเถอะ ที่ฆ่าไปเมื่อครู่ 2 คนคงจะเป็นคนเฝ้าประตู คิดว่าที่นี่คงไม่มีใครเหลือแล้ว ฉันว่าจะวางระเบิดทำลายที่นี่”
เย่โม่คิดในใจ ‘เธอมีระเบิดที่ไหนกันเล่า?’
แต่เย่โม่ก็ไม่ถามอะไรออกมา เพราะเวลานั้นเองเหวินตงได้ปลดพวงระเบิดออกจากบริเวณเอวของเธอ ปรากฏว่าเธอพกระเบิดมาด้วยจริงๆ ทั้งยังแขวนไว้ที่เอวด้วย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่านาฬิกาจับเวลาอันนั้นก็เป็นของจริง ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว! ถ้าเธอกดระเบิดล่ะก็ เขาเองก็คงจะ...
ถึงเย่โม่จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก สถานการณ์เสี่ยงอันตรายแบบนี้เขาเองก็พบเจอมามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องครั้งนี้มาใส่ใจมากนัก
ขับรถออกมาได้ 20 นาทีแล้วแต่เย่โม่ก็ยังได้ยินเสียงระเบิดที่ดังสั่นสะเทือนนั้นอยู่เลย
“ถ้านายอยากจะไปกุ้ยหลินแล้วทำไมไม่นั่งเครื่องบินล่ะ?” เหวินตงที่เงียบไปพักใหญ่ถามขึ้น ตอนนี้เธอรู้แล้วเย่โม่ไม่ใช่คนธรรมดา ซึ่งเรื่องนี้สามารถอธิบายได้ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เย่โม่จึงมีท่าทีสงบนิ่งเอามากๆ การที่ตอนนี้เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรแน่นอนว่าเหวินตงรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจอยู่ อีกอย่างถ้าไม่มีเขาอยู่ล่ะก็ วันนี้อย่างมากที่สุดเธอและคนพวกนั้นก็คงจะต้องตายตกตามกันไป คงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแบบนี้
เหวินตงไม่ได้กลัวตาย เพียงแต่ถ้าเธอตายไปเงินพวกนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้ เรื่องนั้นทำให้เธอรับไม่ได้ ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจนั้นเธอรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณเย่โม่เป็นอย่างมาก
“ไม่มีบัตรประชาชน” เย่โม่ตอบอย่างง่ายๆ อย่าว่าแต่ไม่มีบัตรประชาชนเลย ต่อให้มีก็ไม่แน่ว่าเขาจะกล้าใช้ เขาเป็นคนฆ่าซ่งเฉ่าเหวิน แถมคืนนั้นเขาก็หายตัวไปอีก ไม่ช้าก็เร็วตระกูลซ่งคงสืบค้นมาถึงตัวเขาแน่ๆ เรื่องนี้เขารู้นานแล้ว การจะใช้บัตรประชาชนเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยร่องรอยให้ตระกูลซ่งหรือไง? ตอนนี้เขายังไม่มีพลังความสามารถพอจะปะทะกับตระกูลซ่งตรงๆ ได้
เหวินตงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้น “ครั้งนี้ต้องของคุณนายแล้ว ถ้าไม่มีนายฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เงินห้าหมื่นตอนแรกคงจะน้อยไปหน่อย แต่เงินพวกนี้ฉันก็ให้นายไม่ได้เหมือนกัน ยังจำเป็นต้องใช้ทำอย่างอื่นอยู่...เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กระเป๋าที่มีแบบแปลนนั้นนายเอาไปเถอะ ของชิ้นนั้นถือว่ามีค่าไม่น้อย ด้วยฝีมือระดับนายคงปกป้องคุ้มครองมันได้แน่นอน แล้วไม่ต้องถามฉันนะว่ามันคืออะไร ฉันเองก็ไม่ได้รู้มากเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ถ้านายเชื่อใจฉัน หูหยางห่างจากที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ที่นั่นอยู่ใกล้กับเขตภูเขา ถ้าเป็นที่นั่นละก็ช่วยนายทำบัตรประชาชนได้...ของจริงด้วยนะ”
สำหรับแบบแปลนรูปทรงแปลกประหลาดชิ้นนั้น เย่โม่ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลยสักนิด มันไม่มีประโยชน์กับเขาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องบัตรประชนชนถ้ามีก็จะทำให้เขาสะดวกมากในหลายๆ เรื่อง ในเมื่อตอนนี้เหวินตงช่วยเขาทำบัตรได้ แน่นอนว่าเขายินดี เย่โม่รีบตอบรับ “เชื่อสิ! แน่นอนว่าผมเชื่ออยู่แล้ว ผมต้องการบัตรประชาชนสักใบ”
ส่วนเรื่องค่าตอบแทนอะไรนั่น แค่มีห้าหมื่นหยวนนี้เย่โม่ก็พอใจแล้ว ตัวเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินมากนัก ขอแค่มีพอใช้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ส่วนเงินดอลลาร์พวกนี้ต่อให้เหวินตงให้เขามาจริงๆ เขาก็รู้สึกว่ายุ่งยากอยู่ดี เพราะยังต้องไปแลกเงินอีก
เหวินตงรู้สึกประทับใจในตัวเย่โม่ขึ้นมา คนๆ นี้ไม่เพียงแต่มีฝีมือ เขายังพูดคุยด้วยง่ายอีก เขามองเงินเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยฝีมือระดับเย่โม่แล้วการจะฆ่าเธอแล้วเอาเงินไปนั้นง่ายดายเหมือนกับการกินข้าวนั่นแหละ ทว่าตั้งแต่แรกจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนใจจะมองกระเป๋าเงินของเธอเลยสักครั้งเดียว ซ้ำยังไม่ได้บ่นเรื่องที่เธอให้เขาแค่ห้าหมื่นหยวนอีกด้วย ทั้งๆ ที่ต้องมาเสียงอันตรายขนาดนี้
จนถึงตอนนี้เย่โม่ก็ยังไม่ได้ถามเลยสักครั้งว่าเธอเป็นใครกันแน่? ทำอะไรอยู่? กำลังจะไปที่ไหน? คล้ายกับว่าเขาก็เป็นแค่คนที่ผ่านทางมาเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ แต่เขาย่อมไม่ใช่คนผ่านทางธรรมดาๆ แน่นอน
“นายมีโทรศัพท์ไหม?” เหวินตงอยากสร้างช่องทางติดต่อกับเย่โม่ไว้เสียหน่อย
“ไม่มี ผมชอบความสงบ” คำพูดของเย่โม่ทำให้เหวินตงเข้าใจ เขาไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนี่เอง
เหวินตงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงน่ารำคาญเช่นกัน
ผ่านไป 3 ชั่วโมงรถก็ขับมาถึงหูหยาง เย่โม่หาที่พักเป็นโฮสเทลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ส่วนเหวินตงถ่ายรูปเย่โม่แล้วก็ออกไปเลย วันถัดมาเหวินตงกลับมาถึงก็บ่าย 3 โมงแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด บัตรประชาชนของเย่โม่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเป็นชื่อของเย่โม่ด้วย เพียงแต่ที่อยู่กลับเป็นชนบทของหูหยาง เย่โม่เองไม่ได้ว่าอะไร โลกใบนี้คนชื่อเย่โม่เหมือนกันกับเขามีถมเถไป เหวินตงยื่นเงินให้เขาห้าหมื่นหยวนและกระเป๋าที่มีเอกสารข้อมูลรวมถึงแบบแปลนอันนั้นให้กับเย่โม่ด้วย เหวินตงบอกว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเธอแล้ว
เย่โม่รู้สึกว่าของในกระเป๋าใบนี้ไม่ได้หนักอะไร เขาโยนกระเป๋าทิ้งไปแล้วหาถุงพลาสติกมาใส่แทน จากนั้นก็ยัดถุงพลาสติกใส่กระเป๋าสะพายแล้วบอกลาเหวินตง
..........
ช่วงเย็นวันนั้นเย่โม่ก็นั่งรถมาถึง ‘เสียนซาน’ เมืองที่อยู่ทางตอนใต้สุดของมณฑลหูจง เสียนซานถือเป็นเมืองที่เชื่อมระหว่างมณฑลหูจงและมณฑลเซียงห้วย รวมถึงมณฑลเซียงห้วยเองก็อยู่ติดกับมณฑลกุ้ยหนานด้วย เขตภูเขากุ้ยเซียงนั้นตัดผ่าน 3 มณฑลใหญ่ๆ อย่างหูจง เซียงห้วย และกุ้ยหนาน เขตภูเขากุ้ยเซียงจึงถือเป็นเขตภูเขาหลักแห่งหนึ่งของจีนเลยทีเดียว
จุดหมายที่เย่โม่อยากจะไปก็คือกุ้ยหลินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลกุ้ยหนาน ตอนนี้เขาอยู่เสียนซาน ต้องผ่านมณฑลเซียงห้วยถึงจะเข้าสู่มณฑลกุ้ยหนานได้ หลังจากนั้นถึงไปทางเมืองที่อยู่ตอนใต้สุดของมณฑลกุ้ยหนาน นั่นก็คือเมืองกุ้ยหลินนั่นเอง
หลังจากมาถึงเมืองเสียนซานสิ่งแรกที่เย่โม่ทำไม่ใช่การรีบร้อนออกเดินทางแต่อย่างใด อย่างไรเสียที่นี่ก็ห่างไกลจากหนิงไหหลายพันกิโลเมตรแล้ว ในความคิดของเย่โม่นั้น ต่อให้ตระกูลซ่งรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าซ่งเฉ่าเหวินก็ตาม หรือการจะสืบสาวร่องรอยการเดินทางของรถ BWM ที่ซ่งเฉ่าเหวินขับมาหนิ่งไห่ ยังไงก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะพบว่าเย่โม่ได้หายตัวไป หรือกว่าจะตามมาถึงที่นี่ได้ก็คงกินเวลาเช่นเดียวกัน
เย่โม่พักอยู่ที่เมืองเสียนซานอยู่ 1 คืน วันถัดมาเขาวางแผนไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จึงออกไปซื้อของข้างนอกเล็กน้อย และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคนเอาปื่นมาจ่อได้อีก เย่โม่จึงไปที่ร้านขายอุปกรณ์ช่างเพื่อซื้อตะปูมาถุงหนึ่ง ในถุงนี้มีตะปูอยู่กว่า 100 ตัว ในความคิดของคนอื่นๆ นั้นการนำตะปูมาใช้เป็นอาวุธลับถือเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขากลับคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว
หลังซื้อตะปูเสร็จ เย่โม่ก็เดินทอดน่องอยู่ในห้างสรรพสินค้า เขาพบว่าเสื้อผ้าที่นี่แพงเอาเรื่องทีเดียว ร้านเสื้อผ้าที่นี่ล้วนเป็นร้านแบรนด์เนมทั้งนั้น เขาคิดว่าเสื้อผ้านั้นแค่สวมใส่ได้พอดีตัวก็พอแล้ว เขาไม่สนใจเสื้อผ้าแบรนด์เนมเลยสักนิดเดียว ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบได้กับเสื้อผ้าที่สร้างขึ้นในโลกจอมยุทธได้ แล้วอีกอย่างเงินเขาก็มีไม่เยอะเสียด้วย
ผู้คนที่เดินเข้าร้านแบรนด์เนมเหล่านี้ต่างมองเย่โม่ที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อด้วยสายตาดูแคลน แต่เย่โม่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจอะไร ขณะที่กำลังจะออกจากห้างเขาก็เหลือบไปเห็นชายที่แต่งตัวสุภาพดูดีคนหนึ่ง กำลังยื่นมือไปทางกระเป๋าเงินใบเล็กซึ่งหนีบไว้ที่แขนของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น และด้วยชายวัยกลางคนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่พอดีด้วยสีหน้าค่อนข้างร้อนใจ เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ากำลังจะถูกหัวขโมยจัดการเสียแล้ว
หัวขโมย? กระเป๋าที่ชายวัยกลางคนหนีบไว้ตรงรักแร้เป็นกระเป๋าหนังแท้ หัวขโมยคนนี้จะทำยังไงถึงจะขโมยได้กันนะ? ขณะที่เย่โม่กำลังจ้องมองเหตุการณ์นี้ด้วยความประหลาดใจอยู่นั้น ชายหนุ่มที่แต่งตัวสุภาพดูดีอีกคนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่โม่ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ไอ้หนู ถ้ายังมองอีกเดี๋ยวปั๊ดควักลูกตาเลยนี่! ไสหัวไป!”
แววตาของเย่โม่เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขายกเท้าขึ้นถีบหน้าชายหนุ่มคนนั้นทันที