ตอนที่แล้วบทที่ 44 กับดักมรณะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 46 เมืองชายแดน ‘หลิวเฉอ’

บทที่ 45 ใครกันแน่ที่ต้องไสหัวไป


“นายปิดปากฉันแล้วจะได้อะไรกัน?  นายไม่รู้หรือไงว่าทั้งโลกรู้เรื่องของชิ้นนี้แล้ว  โง่เง่า!”  เหวินตงพูดเยาะเย้ยชายแซ่กง

“อย่าได้ใจไป…เหวินตง  คนที่อยากจะฆ่าเธอน่ะไม่ใช่ฉัน  แต่เป็น...”  กงฮุ่ยซานยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อว่าใครกันแน่ที่อยากฆ่าเหวินตง  เธอก็ได้ลั่นไกปืนเสียแล้ว

“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้”  สีหน้าของเหวินตงกลับมาเป็นปกติ  เธอลั่นไกฆ่ากงฮุ่ยซานทันที

ตอนแรกเย่โม่คิดว่าเหวินตงจะถามถึงภูมิหลังที่มาของเขา  ถ้าเธอถามขึ้นมาเย่โม่ก็คงตอบไม่ได้  เขามาถึงนี่ก็เพื่อเงินห้าหมื่นหยวนเท่านั้น  เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะได้มายากขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่เพราะเขาละเอียดรอบคอบล่ะก็  ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องตายที่นี่ก็ได้

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเย่โม่ก็คือเหวินตงกลับไม่ได้ถามอะไรเลย  เธอพูดกับเขาว่า  “พวกเราไปกันเถอะ  ที่ฆ่าไปเมื่อครู่ 2 คนคงจะเป็นคนเฝ้าประตู  คิดว่าที่นี่คงไม่มีใครเหลือแล้ว  ฉันว่าจะวางระเบิดทำลายที่นี่”

เย่โม่คิดในใจ  ‘เธอมีระเบิดที่ไหนกันเล่า?’

แต่เย่โม่ก็ไม่ถามอะไรออกมา  เพราะเวลานั้นเองเหวินตงได้ปลดพวงระเบิดออกจากบริเวณเอวของเธอ  ปรากฏว่าเธอพกระเบิดมาด้วยจริงๆ ทั้งยังแขวนไว้ที่เอวด้วย  ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่านาฬิกาจับเวลาอันนั้นก็เป็นของจริง  ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว!  ถ้าเธอกดระเบิดล่ะก็  เขาเองก็คงจะ...

ถึงเย่โม่จะรู้สึกไม่พอใจ  แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก  สถานการณ์เสี่ยงอันตรายแบบนี้เขาเองก็พบเจอมามากแล้ว  ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องครั้งนี้มาใส่ใจมากนัก

ขับรถออกมาได้ 20 นาทีแล้วแต่เย่โม่ก็ยังได้ยินเสียงระเบิดที่ดังสั่นสะเทือนนั้นอยู่เลย

“ถ้านายอยากจะไปกุ้ยหลินแล้วทำไมไม่นั่งเครื่องบินล่ะ?”  เหวินตงที่เงียบไปพักใหญ่ถามขึ้น  ตอนนี้เธอรู้แล้วเย่โม่ไม่ใช่คนธรรมดา  ซึ่งเรื่องนี้สามารถอธิบายได้ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เย่โม่จึงมีท่าทีสงบนิ่งเอามากๆ  การที่ตอนนี้เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรแน่นอนว่าเหวินตงรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจอยู่  อีกอย่างถ้าไม่มีเขาอยู่ล่ะก็  วันนี้อย่างมากที่สุดเธอและคนพวกนั้นก็คงจะต้องตายตกตามกันไป  คงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแบบนี้

เหวินตงไม่ได้กลัวตาย  เพียงแต่ถ้าเธอตายไปเงินพวกนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้  เรื่องนั้นทำให้เธอรับไม่ได้  ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดออกมา  แต่ในใจนั้นเธอรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณเย่โม่เป็นอย่างมาก

“ไม่มีบัตรประชาชน”  เย่โม่ตอบอย่างง่ายๆ  อย่าว่าแต่ไม่มีบัตรประชาชนเลย  ต่อให้มีก็ไม่แน่ว่าเขาจะกล้าใช้ เขาเป็นคนฆ่าซ่งเฉ่าเหวิน  แถมคืนนั้นเขาก็หายตัวไปอีก  ไม่ช้าก็เร็วตระกูลซ่งคงสืบค้นมาถึงตัวเขาแน่ๆ เรื่องนี้เขารู้นานแล้ว  การจะใช้บัตรประชาชนเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน  ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยร่องรอยให้ตระกูลซ่งหรือไง?  ตอนนี้เขายังไม่มีพลังความสามารถพอจะปะทะกับตระกูลซ่งตรงๆ ได้

เหวินตงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง  จากนั้นจึงพูดขึ้น  “ครั้งนี้ต้องของคุณนายแล้ว  ถ้าไม่มีนายฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เงินห้าหมื่นตอนแรกคงจะน้อยไปหน่อย  แต่เงินพวกนี้ฉันก็ให้นายไม่ได้เหมือนกัน  ยังจำเป็นต้องใช้ทำอย่างอื่นอยู่...เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  กระเป๋าที่มีแบบแปลนนั้นนายเอาไปเถอะ  ของชิ้นนั้นถือว่ามีค่าไม่น้อย  ด้วยฝีมือระดับนายคงปกป้องคุ้มครองมันได้แน่นอน  แล้วไม่ต้องถามฉันนะว่ามันคืออะไร  ฉันเองก็ไม่ได้รู้มากเท่าไหร่เหมือนกัน  แต่ถ้านายเชื่อใจฉัน  หูหยางห่างจากที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง  ที่นั่นอยู่ใกล้กับเขตภูเขา  ถ้าเป็นที่นั่นละก็ช่วยนายทำบัตรประชาชนได้...ของจริงด้วยนะ”

สำหรับแบบแปลนรูปทรงแปลกประหลาดชิ้นนั้น  เย่โม่ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลยสักนิด  มันไม่มีประโยชน์กับเขาอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องบัตรประชนชนถ้ามีก็จะทำให้เขาสะดวกมากในหลายๆ เรื่อง  ในเมื่อตอนนี้เหวินตงช่วยเขาทำบัตรได้  แน่นอนว่าเขายินดี  เย่โม่รีบตอบรับ  “เชื่อสิ!  แน่นอนว่าผมเชื่ออยู่แล้ว  ผมต้องการบัตรประชาชนสักใบ”

ส่วนเรื่องค่าตอบแทนอะไรนั่น  แค่มีห้าหมื่นหยวนนี้เย่โม่ก็พอใจแล้ว  ตัวเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินมากนัก  ขอแค่มีพอใช้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว  ส่วนเงินดอลลาร์พวกนี้ต่อให้เหวินตงให้เขามาจริงๆ เขาก็รู้สึกว่ายุ่งยากอยู่ดี  เพราะยังต้องไปแลกเงินอีก

เหวินตงรู้สึกประทับใจในตัวเย่โม่ขึ้นมา  คนๆ นี้ไม่เพียงแต่มีฝีมือ  เขายังพูดคุยด้วยง่ายอีก  เขามองเงินเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น  ด้วยฝีมือระดับเย่โม่แล้วการจะฆ่าเธอแล้วเอาเงินไปนั้นง่ายดายเหมือนกับการกินข้าวนั่นแหละ  ทว่าตั้งแต่แรกจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนใจจะมองกระเป๋าเงินของเธอเลยสักครั้งเดียว  ซ้ำยังไม่ได้บ่นเรื่องที่เธอให้เขาแค่ห้าหมื่นหยวนอีกด้วย  ทั้งๆ ที่ต้องมาเสียงอันตรายขนาดนี้

จนถึงตอนนี้เย่โม่ก็ยังไม่ได้ถามเลยสักครั้งว่าเธอเป็นใครกันแน่?  ทำอะไรอยู่?  กำลังจะไปที่ไหน? คล้ายกับว่าเขาก็เป็นแค่คนที่ผ่านทางมาเท่านั้น  บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้  แต่เขาย่อมไม่ใช่คนผ่านทางธรรมดาๆ แน่นอน

“นายมีโทรศัพท์ไหม?”  เหวินตงอยากสร้างช่องทางติดต่อกับเย่โม่ไว้เสียหน่อย

“ไม่มี  ผมชอบความสงบ”  คำพูดของเย่โม่ทำให้เหวินตงเข้าใจ  เขาไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนี่เอง

เหวินตงไม่ได้พูดอะไรอีก  เธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงน่ารำคาญเช่นกัน

ผ่านไป 3 ชั่วโมงรถก็ขับมาถึงหูหยาง  เย่โม่หาที่พักเป็นโฮสเทลเล็กๆ แห่งหนึ่ง  ส่วนเหวินตงถ่ายรูปเย่โม่แล้วก็ออกไปเลย  วันถัดมาเหวินตงกลับมาถึงก็บ่าย 3 โมงแล้ว  แต่เธอก็ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด บัตรประชาชนของเย่โม่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ทั้งยังเป็นชื่อของเย่โม่ด้วย  เพียงแต่ที่อยู่กลับเป็นชนบทของหูหยาง เย่โม่เองไม่ได้ว่าอะไร  โลกใบนี้คนชื่อเย่โม่เหมือนกันกับเขามีถมเถไป  เหวินตงยื่นเงินให้เขาห้าหมื่นหยวนและกระเป๋าที่มีเอกสารข้อมูลรวมถึงแบบแปลนอันนั้นให้กับเย่โม่ด้วย  เหวินตงบอกว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเธอแล้ว

เย่โม่รู้สึกว่าของในกระเป๋าใบนี้ไม่ได้หนักอะไร  เขาโยนกระเป๋าทิ้งไปแล้วหาถุงพลาสติกมาใส่แทน   จากนั้นก็ยัดถุงพลาสติกใส่กระเป๋าสะพายแล้วบอกลาเหวินตง

..........

ช่วงเย็นวันนั้นเย่โม่ก็นั่งรถมาถึง ‘เสียนซาน’ เมืองที่อยู่ทางตอนใต้สุดของมณฑลหูจง  เสียนซานถือเป็นเมืองที่เชื่อมระหว่างมณฑลหูจงและมณฑลเซียงห้วย  รวมถึงมณฑลเซียงห้วยเองก็อยู่ติดกับมณฑลกุ้ยหนานด้วย  เขตภูเขากุ้ยเซียงนั้นตัดผ่าน 3 มณฑลใหญ่ๆ อย่างหูจง  เซียงห้วย  และกุ้ยหนาน  เขตภูเขากุ้ยเซียงจึงถือเป็นเขตภูเขาหลักแห่งหนึ่งของจีนเลยทีเดียว

จุดหมายที่เย่โม่อยากจะไปก็คือกุ้ยหลินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลกุ้ยหนาน  ตอนนี้เขาอยู่เสียนซาน ต้องผ่านมณฑลเซียงห้วยถึงจะเข้าสู่มณฑลกุ้ยหนานได้  หลังจากนั้นถึงไปทางเมืองที่อยู่ตอนใต้สุดของมณฑลกุ้ยหนาน  นั่นก็คือเมืองกุ้ยหลินนั่นเอง

หลังจากมาถึงเมืองเสียนซานสิ่งแรกที่เย่โม่ทำไม่ใช่การรีบร้อนออกเดินทางแต่อย่างใด  อย่างไรเสียที่นี่ก็ห่างไกลจากหนิงไหหลายพันกิโลเมตรแล้ว  ในความคิดของเย่โม่นั้น  ต่อให้ตระกูลซ่งรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าซ่งเฉ่าเหวินก็ตาม  หรือการจะสืบสาวร่องรอยการเดินทางของรถ BWM ที่ซ่งเฉ่าเหวินขับมาหนิ่งไห่  ยังไงก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะพบว่าเย่โม่ได้หายตัวไป  หรือกว่าจะตามมาถึงที่นี่ได้ก็คงกินเวลาเช่นเดียวกัน

เย่โม่พักอยู่ที่เมืองเสียนซานอยู่ 1 คืน  วันถัดมาเขาวางแผนไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จึงออกไปซื้อของข้างนอกเล็กน้อย  และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคนเอาปื่นมาจ่อได้อีก  เย่โม่จึงไปที่ร้านขายอุปกรณ์ช่างเพื่อซื้อตะปูมาถุงหนึ่ง  ในถุงนี้มีตะปูอยู่กว่า 100 ตัว  ในความคิดของคนอื่นๆ นั้นการนำตะปูมาใช้เป็นอาวุธลับถือเป็นเรื่องแปลกประหลาด  แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขากลับคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว

หลังซื้อตะปูเสร็จ  เย่โม่ก็เดินทอดน่องอยู่ในห้างสรรพสินค้า  เขาพบว่าเสื้อผ้าที่นี่แพงเอาเรื่องทีเดียว   ร้านเสื้อผ้าที่นี่ล้วนเป็นร้านแบรนด์เนมทั้งนั้น  เขาคิดว่าเสื้อผ้านั้นแค่สวมใส่ได้พอดีตัวก็พอแล้ว  เขาไม่สนใจเสื้อผ้าแบรนด์เนมเลยสักนิดเดียว  ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม  ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบได้กับเสื้อผ้าที่สร้างขึ้นในโลกจอมยุทธได้  แล้วอีกอย่างเงินเขาก็มีไม่เยอะเสียด้วย

ผู้คนที่เดินเข้าร้านแบรนด์เนมเหล่านี้ต่างมองเย่โม่ที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อด้วยสายตาดูแคลน  แต่เย่โม่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจอะไร  ขณะที่กำลังจะออกจากห้างเขาก็เหลือบไปเห็นชายที่แต่งตัวสุภาพดูดีคนหนึ่ง  กำลังยื่นมือไปทางกระเป๋าเงินใบเล็กซึ่งหนีบไว้ที่แขนของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น  และด้วยชายวัยกลางคนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่พอดีด้วยสีหน้าค่อนข้างร้อนใจ  เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ากำลังจะถูกหัวขโมยจัดการเสียแล้ว

หัวขโมย?  กระเป๋าที่ชายวัยกลางคนหนีบไว้ตรงรักแร้เป็นกระเป๋าหนังแท้  หัวขโมยคนนี้จะทำยังไงถึงจะขโมยได้กันนะ?  ขณะที่เย่โม่กำลังจ้องมองเหตุการณ์นี้ด้วยความประหลาดใจอยู่นั้น  ชายหนุ่มที่แต่งตัวสุภาพดูดีอีกคนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่โม่  แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ  “ไอ้หนู  ถ้ายังมองอีกเดี๋ยวปั๊ดควักลูกตาเลยนี่!  ไสหัวไป!”

แววตาของเย่โม่เปลี่ยนเป็นเย็นชา  เขายกเท้าขึ้นถีบหน้าชายหนุ่มคนนั้นทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด