ตอนที่ 43 หมู่บ้านลมหวน
ณ โรงเรียนเซนต์อมตะ
ภายในคฤหาสน์โบราณหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าต้นมะม่วงในเขตหวงห้ามของโรงเรียน มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางเอกสารที่กองพะเนินอยู่เต็มโต๊ะ เธอคือ ‘สายธาร’ สาวสวยวัย 28 ปี ทายาทหญิงที่ยอดเยี่ยมรุ่นปัจจุบันของตระกูลไตรลักษณ์ ผู้เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของสมุทร
เดิมทีเธอถึงวัยที่ต้องไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยตั้งนานแล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่บางอย่างของตระกูลทำให้เธอต้องอยู่ที่นี่ และในฐานะนักเรียนชั้นยอดของโรงเรียนเธอจึงได้รับสิทธิพิเศษนี้แลกกับการช่วยมาเป็นอาจารย์สอนนักเรียนในชั้นเรียนพิเศษ
แกรก ๆ ๆ
เสียงขีดเขียนรัวเร็วของเธอทำลายความเงียบสงบของห้องนี้ เธอค่อนข้างหงุดหงิดใจที่พบว่ารายงานจากเหล่านักเรียนใหม่มีคุณภาพค่อนข้างแย่ เธอก้มหน้าก้มหน้าก้มตาขีดเขียนสลับขีดฆ่าข้อความในกระดาษโดยไม่ทันได้สังเกตว่าข้างหลังของเธอกำลังมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ผนังข้างหลังเธอมีกระจกโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันเป็นกระจกกรอบทองคำแท้รูปวงรี ที่มีความสูงถึงเพดาน มีความกว้างประมาณสามเมตร กรอบทองคำถูกหล่อเป็นลายเถาองุ่น ดูละเอียดลออสวยงาม และเก่าแก่ทรงคุณค่า ทว่าผิวหน้าของกระจกกำลังเปลี่ยนไป จากกระจกเงาขุ่นมัวกลายเป็นแผ่นสีชาทึบแสง มันกำลังไหลหมุนวนราวกับเป็นของเหลวหนืด ๆ
แกรก ๆ ๆ
กระจกหนืดกำลังโป่งนูนออกคล้ายประติมากรรมรูปมัน มันดันออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ากำลังมีคนพยายามตะกายออกมาจากกระจก
แกรก ๆ ๆ
เปรี๊ยะ !
และแล้วแผ่นกระจกหนืดก็แตกร้าวในที่สุด มือข้างนั้นพุ่งแหวกออกมาเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ใช้เวลานานหลายนาทีกว่าที่หัวและลำตัวจะตามออกมาด้วยความยากลำบาก
แกรก ๆ ๆ
สายธารยังคงก้มหน้าขีดเขียนอยู่เช่นนั้น ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“เธอออกมาได้แล้วสินะ”
“ครับ”
สมุทรมีใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาสงบนิ่งราวกับผ่านโลกมาเยอะ เขามีร่างกายสูงเพรียวที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เส้นผมสีดำยาวจรดบั้นเอว เขานุ่งกางเกงขาสั้นขาดรุ่งริ่งเพียงตัวเดียว ทำให้เห็นลอนกล้ามหน้าท้องไร้ไขมันได้อย่างชัดเจน
เขาถูกผู้นำตระกูลจับขังไว้ในโลกแห่งกระจกมนตราเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ทว่าภายในโลกแห่งกระจกมนตรานั้นจะทำให้คนรู้สึกไปเองว่าเวลาหมุนผ่านไปเร็วกว่ามาก เขารู้สึกว่าเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนภายในนั้นถึง 10 ปี กว่าจะฝึกฝนตนเองจนมีพลังมากพอที่จะฝ่าทะลุแผ่นมนตราออกมาจากกระจกได้ ตระกูลของเขาช่างโหดร้ายเหลือเกิน นี่คือการทดสอบและเป็นการฝึกฝนที่เข้มงวดมาก หากเขามีพลังไม่มากพอก็ไม่ต้องออกมาอีกเลยตลอดชีวิต
“ข้าอยากอาบน้ำ”
สายธารพยักหน้าน้อย ๆ หลังจากหันหน้ากลับมาเห็นสภาพของน้องชาย เธอเอ่ยเรียกข้ารับใช้ภายในคฤหาสน์ให้พาสมุทรไปอาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาไม่นานสมุทรก็กลับมาในรูปลักษณ์ที่ดูดี ทรงผมถูกตัดแต่งจนเข้าทรง ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาดูมาราศีเหมาะสมกับตำแหน่งคุณชายผู้มั่งคั่ง
“มาเถอะ พี่ให้คนตั้งโต๊ะอาหารไว้แล้ว เธอคงหิวมาก”
“ครับ”
ท่าทางและคำพูดของสมุทรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขาโตเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และมีความสามารถขึ้นมาก จนสายธารยังรู้สึกชื่นชม เธอพึงพอใจมาก น้องชายของเธอเหมาะสมที่จะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว
สมุทรนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้านุ่มแสนหรูหราในห้องรับประทานอาหาร มีอาหารหลายสิบจานวางเรียงจนเต็มโต๊ะ พวกมันล้วนทำมาจากวัตถุดิบชั้นเลิศและถูกจัดเตรียมด้วยทีมพ่อครัวประจำตระกูลไตรลักษณ์ สมุทรเริ่มลงมือทานอย่างสุภาพ นั่นเป็นท่าทีที่ผิดไปจากเด็กชายแสนซุกซนในกาลก่อนอย่างมาก
เมื่อสมุทรทานเสร็จสายธารก็พาเขาไปที่ห้องสมบัติของคฤหาสน์ เธอหยิบยื่นคันธนูเหล็กไหลที่เป็นของสมุทรคืนให้ แต่สมุทรกลับส่ายหน้าน้อย ๆ ในอดีตมันคืออาวุธที่เหมาะกับเขามากแต่ในตอนนี้มันไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกแล้ว สมุทรไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ทำบางอย่างที่น่าตื่นตะลึงให้พี่สาวดู
เขาแบมือขวาแล้วยกขึ้นมา ไม่นานก็ปรากฏหมอกสีทองบนฝ่ามือนั้น มันค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นแล้วก็ก่อตัวเป็นรูปร่างคันธนูสีทองอันใหญ่ มันดูเหมือนเป็นของแข็งที่จับต้องและใช้งานได้จริง เมื่อเขาเห็นว่าพี่สาวได้เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว สมุทรก็ขยับนิ้วเล็กน้อย จากนั้นคันธนูที่ก่อตัวขึ้นจากกระแสอาคมสีทองสลายไป
ดวงตายาวรีของสายธารเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ‘ปราณอาคมไตรลักษณ์’ เป็นปราณที่สามารถสร้างลูกศรได้สามชนิดเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้คันธนูชั้นดีเพื่อเป็นสื่อกลางในการใช้ความสามารถด้านปราณลูกศร แต่สิ่งที่สมุทรกลับสามารถสร้างคันธนูขึ้นมาเองด้วยปราณอาคม
“เธอทำมันได้ไง”
สมุทรยิ้มลึกลับ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะคว้าเอาชุดเกราะของตัวเองมาสวมใส่ไว้ด้านใน สายธารถอนหายใจราวกับรู้สึกปลงในใจ
“เธอเป็นทายาทที่มีพรสวรรค์มากที่สุดนี่นะ พี่คงไม่อาจเข้าใจเธอ”
สายธารเข้าใจดี แม้ว่าเธอจะเป็นทายาทหญิงที่เก่งมาก สามารถใช้ปราณศรไตรลักษณ์ได้ทั้งระดับ 1 และระดับ 2 ทำให้เธอยิงธนูได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง นอกจากนั้นเธอยังเก่งด้านการบริหารกิจการของตระกูลอีกด้วย แต่สมุทรกลับสามารถเรียกใช้ปราณศรไตรลักษณ์ระดับ 3 ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ปราณระดับ 3 นี้เป็นปราณขั้นสุดยอดในตำนานที่ไม่เคยปรากฏในตระกูลมาเกือบ 500 ปีแล้ว ดังนั้นพวกผู้ใหญ่จึงฟูมฟักเลี้ยงดูเขาเพื่อเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป
แม้ว่าเขาจะค่อนข้างเกเร ชอบแหกคอก ใช้ปราณศรไตรลักษณ์ระดับ 1 และระดับ 2 ไม่ได้เลย เรื่องการค้าขาย ทำธุรกิจต่าง ๆ ก็ยิ่งไม่ได้ แถมยังชอบหนีออกจากบ้าน แต่ทั้งตระกูลก็ยังฝากความหวังไว้กับสมุทรอยู่ดี ที่เหลือก็แค่ฝึกฝนอบรมเพิ่มเติมเท่าที่พวกเขาจะช่วยได้
สายธารยิ้มน้อย ๆ แล้วก็ส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นในอดีตของน้องชาย ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เธอหยิบกล่องใบหนึ่งที่ถูกอาคมล็อกไว้แน่นหนาออกมา ก่อนจะทำการเปิดกล่องนั้นแล้วหยิบแหวนอัญมณีสีทองออกมาสวมใส่นิ้วกลางข้างซ้ายของน้องชาย
“แต่เดิมมันก็เป็นของของเธอแต่แรกแล้ว แต่เธอเอาแต่เที่ยวเล่น วัตถุอาคมพวกนี้พี่จึงจำเป็นต้องยึดเอาไว้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเธอ แต่ในตอนนี้เธอแข็งแกร่งมากพอที่จะได้ครอบครองมัน”
สมุทรจ้องมองแหวนอัญมณีวงนี้ด้วยความคิดถึง เขาจำได้มันเคยเป็นของท่านแม่ น่าเสียดายที่ท่านแม่ด่วนจากไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาลูบคลำแหวนด้วยความรู้สึกโหยหาและซาบซึ้งใจที่พี่สาวยังเก็บเอาไว้ให้เขา
“เธอไปพักเถอะพรุ่งนี้พี่จะพาเธอกลับตระกูลเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ”
สมุทรพยักหน้าน้อย ๆ โดยไม่พูดอะไรอีกตามเคย จากนั้นสายธารก็ออกจากห้องไปสั่งการข้ารับใช้และทีมอารักขาให้จัดเตรียมขบวนเดินทาง เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำเมื่อลับสายตาของสายธาร สมุทรก็กระโจนออกทางหน้าต่างคฤหาสน์ เขาใช้อาคมร่นระยะทางจนออกไปไกลแล้วหยุดท่ามกลางป่าต้นมะม่วง เขาหันมาร้องตะโกนออกไปว่า
“เรื่องอะไร ข้าจะเป็นหัวหน้าตระกูลงี่เง่าพรรค์นั้นด้วยเล่า ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ข้าจะหนีออกจากบ้าน”
พูดจบสมุทรก็วิ่งหายลับไปโดยที่ไม่อาจติดตามได้ทัน สายธารได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหัวคิ้วกระตุก กัดฟันกรอด เธอชะล่าใจเกินไป เพราะคิดว่าน้องชายกลับตัวกลับใจแล้ว
“ที่ผ่านมา คือแสดงใช่ไหม ? เจ้าน้องบ้า”
“ประกาศออกไป ใครจับตัวเจ้าเด็กบ้าสมุทรมาได้ ข้าจะให้เงินมันผู้นั้น 5,000 เหรียญทอง”
เหนือฟ้ากำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนหอคอยสูงของโรงเรียนเซนต์อมตะกับเพื่อนสาวอีกสามคน เธอยิ้มกว้างก่อนจะแบมือไปทางบรรดาเพื่อนสาวที่กำลังหน้ามุ่ย พวกเธอวางเงินบนมือเหนือฟ้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“ข้าบอกแล้วพี่สมุทรน่ะ ยังไงก็หนีออกจากบ้านอีก อาจารย์สายธารไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก”
ณ ทุ่งหญ้าลมหวน
ทุ่งหญ้าลมหวนคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในเขตชายแดนของเมืองนิรันดร์กาลด้านที่อยู่ติดกับเมืองสุพรรณิการ์ ในอดีตมันคือทุ่งหญ้าโล่ง ๆ ที่ใช้ในประโยชน์ในด้านปศุสัตว์เท่านั้น แต่ในตอนนี้ที่นี่กลายเป็น หมู่บ้านลมหวน หมู่บ้านแห่งใหม่ที่มีความเจริญทัดเทียมกับหมู่บ้านในตัวเมืองเลยทีเดียว
หมู่บ้านลมหวนเป็นหมู่บ้านที่ถูกวางผังและเริ่มการก่อสร้างอย่างพิถีพิถันเมื่อสี่ปีก่อน หลังจากที่เมืองนิรันดร์กาลได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพในการจัดงานเทศกาลประมูลระดับแคว้นในรอบต่อไป ซึ่งจะมีการจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี เป็นเวลา 20 วัน 20 คืน โดยมีการเวียนสลับเจ้าภาพไปเรื่อย ๆ ซึ่งองค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลได้ตัดสินใจสร้างสถานที่จัดงานอันยิ่งใหญ่อลังการนี้เพื่อเป็นการประกาศศักดาว่านิรันดร์กาลก็พร้อมที่จะขึ้นเป็นเมืองมหาอำนาจเหมือนกัน และหลังจากที่งานเทศกาลผ่านพ้นไป นิรันดร์กาลนครก็ยังคงเหลือหมู่บ้านที่สวยงามไว้เป็นหน้าเป็นตา และเป็นจุดเชื่อมต่อชายแดนที่สำคัญแห่งใหม่
ตรงกลางหมู่บ้านมีลานขนาดใหญ่ ตรงกลางมีเวทีไม้ที่มีลายแกะสลักประดับอยู่รอบด้าน ด้านบนปูด้วยพรมหนาสีแดง เวทีนี้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นที่จัดแสดงงานประมูล เหนือเวทีสูงขึ้นไปเท่าตึกห้าชั้นมีม่านอาคมโปร่งใสกางอยู่ด้านบนเพื่อป้องกันลมฝน รอบเวทีขนาดใหญ่นี้มีหมู่อาคารไม้ห้าชั้นที่สร้างล้อมรอบเวที ดูคล้ายอาคารรูปวงกลมที่มีช่องว่างตรงกลางเป็นเวทีโล่ง อาคารเหล่านี้คือที่นั่งสำหรับผู้เข้าร่วมการประมูล หรือผู้มาร่วมชม ชั้นล่างสุดเป็นชั้นสำหรับคนธรรมดา เศรษฐีทั่วไป และขุนนางระดับต่ำ ชั้นบนขึ้นไปเป็นที่นั่งสำหรับชนชั้นที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามฐานะและอำนาจ จนถึงชั้นบนสุดที่เป็นชั้นสำหรับผู้ปกครองเมือง และเหล่าเชื้อพระวงศ์
ส่วนที่พักและสถานบริการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ได้รับการจัดวางตำแหน่งแยกออกไปเป็นส่วน ๆ อย่างมีระเบียบและแบ่งแยกชนชั้นชัดเจน
เทศกาลนี้ไม่เพียงเป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นสูงจะได้มารวมตัวกัน แต่ชนชั้นล่างต่างก็ต้องการมาร่วมเช่นกัน เพราะรอบนอกของหมู่บ้านจะมีการจัดเวทีการประมูลสินค้าทั่วไป ที่คนธรรมดาสามารถมาร่วมสนุกซื้อขายกันได้ คล้ายตลาดในชีวิตประจำวันแต่สนุกสนาน ตื่นเต้น และมีสินค้าหลากหลายมากกว่า
“และตอนนี้ก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลที่องค์ประธานจะได้ทำพิธีเปิดงานเทศกาลประมูลระดับแคว้น ข้าน้อยขอกราบบังคมทูลเชิญองค์ชายชัยวิชิต องค์รัชทายาทแห่งอมตะนครได้กล่าวคำเปิดงานเจ้าค่ะ”
บนเวทีใหญ่พิธีกรหญิงสาวสวยในชุดสีแดงสุดอลังการพูดจบก็โค้งกายคำนับองค์ชายรัชทายาท ผู้เป็นตัวแทนขององค์เจ้าแคว้นมาเป็นประธานเปิดงาน เธอไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์อย่างเต็มที่ เนื่องจากตำแหน่งองค์รัชทายาทยังไม่คู่ควร มีเพียงจ้าวผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเท่านั้นที่คู่ควรกับคำกล่าวที่แสดงความเคารพอย่างสูงสุด
องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ในอาคารชั้นบนสุดทางฟากทิศตะวันตก ได้ใช้อาคมขยายเสียงจากนั้นก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ในฐานะผู้แทนพระองค์ ข้า แค่ก ๆ ข้ารู้สึกยินดีที่เห็นท่านทั้งหลายได้มารวมตัวกัน แค่ก ๆ”
องค์รัชทายาทหยุดพักเพื่อจิบน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ความจริงอาการของเขาแย่ลงตั้งแต่มาถึงที่นี่เมื่อวันก่อนแล้ว อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่แตกต่าง หรือเป็นเพราะอณูเกสรจำนวนมากที่พัดมาจากทางเมืองสุพรรณิการ์ก็ไม่ทราบได้ ร่างกายของเขาจึงทรุดลงเช่นนี้ และก็มีเพียงองครักษ์มากฝีมือไม่กี่คนที่คอยดูแลเขา มีเพียงเท่านี้จริง ๆ ช่างน่าเศร้า กลุ่มอำนาจอื่น ๆ คงไม่สนใจไยดีในตัวเขาอีกต่อไป
จากนั้นองค์รัชทายาทก็ยังคงฝืนพูดต่อไป สลับกับการพักหอบหายใจและจิบน้ำอุ่นเป็นช่วง ๆ