ตอนที่ 42 เกล็ดพิษ
วันต่อมาเหนือภพกลับมายังเหมืองโชคไพศาลอีกครั้งเพื่อตามหามีดหมออีก 2 เล่มที่หายไป เมื่อเขามาถึงก็เห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ซากเหมือง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาแสวงโชคหาเงินและสมบัติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์อาละวาดของพญานาคในครั้งนั้น เหนือภพรู้สึกเซ็งนิดหน่อย เหตุการณ์ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ถ้ามีดหมอเขาตกอยู่แถวนี้ก็คงถูกใครสักคนเอาไปแล้ว
เหนือภพกำลังจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนกลุ่มใหญ่ที่หน้าหลุมยักษ์ที่ลึกว่าร้อยเมตร นี่เป็นหลุมที่ถูกสร้างขึ้นจากการตกของเขาในการโจมตีของครั้งสุดท้าย เหนือภพจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าเข้าไปมุงดูด้วย
เมื่อหนุ่มน้อยล่ำบึ๊กมาถึง ทุกคนก็เริ่มฮือฮา มีหลายคนที่จำเหนือภพได้
“นั่นมันผู้ปราบนาคนี่”
จากนั้นทุกคนต่างก็เรียกเหนือภพเช่นนั้น เหนือภพได้รับเกียรติจากฝูงชนโดยไม่คาดหมาย พวกเขาต่างแหวกทางให้ ฮันเตอร์น้อยใหญ่ต่างค้อมหัวทำความเคารพเขา แถมยังเชิดชูเขาในฐานะผู้กล้าที่ช่วยปราบพญานาค หากไม่เป็นเพราะเขา พญานาคคงเข่นฆ่าผู้คนอีกมาก
เหนือภพยิ้มรับอย่างสุภาพพลางโบกตอบเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร เขาแสดงออกเยี่ยงวีรบุรุษผู้ถ่อมตนอย่างรู้หน้าที่ มีคนชื่นชมทั้งทีหากเขาไม่เสพความสุขนี้สักหน่อยก็ไม่ใช่เขาแล้ว
“มันเกิดอะไรขึ้น”
เหนือภพเพ่งมองที่ก้นหลุม แต่มันถูกปกคลุมด้วยควันสีดำบางอย่าง แค่เห็นเขาก็รู้ว่ามันอันตรายมาก
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร มันปรากฏขึ้นหลังจากที่พญานาคหายไป ทุกคนที่สัมผัสโดนควันนั่นก็จะสลายกลายเป็นกองเลือดในพริบตา”
“ตั้งแต่เกิดมา ข้ายังไม่เคยเห็นพิษที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน แม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือ”
ฮันเตอร์กลุ่มหนึ่งเล่าให้เหนือภพฟังโดยไม่ปิดบัง จนถึงป่านนี้พวกเขาก็ยังไม่เห็นทหารหลวงมาตรวจดูเลยสักคน คงเป็นเพราะพวกเขาไม่สนใจซากเหมืองที่ไม่อาจหาประโยชน์ได้อีกต่อไป
เหนือภพพยักหน้ารับทราบแล้วก็เกร็งกล้ามเนื้อ ตอนนี้พละกำลังของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 12 เขาอยากรู้ว่าอานุภาพสูงสุดมันจะมากขนาดไหน แต่เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที เพื่อใช้กำลังระดับ 7 เท่านั้น
“ทุกคนหลบไปก่อน”
เมื่อเหนือภพพูดเช่นนั้นส่วนใหญ่ก็ถอยออกไป มีฮันเตอร์ระดับสูงบางส่วนเท่านั้นที่ไม่สนใจ แต่ถึงจะมีคนไม่เชื่อฟัง เหนือภพก็ไม่สนเพราะเขาเตือนแล้ว
ตูม !!
กำปั้นกระแทกอากาศระดับ 7 ของเหนือภพ มีอานุภาพได้กับกำปั้นระดับ 6 ยามที่ใช้ควบคู่กับสหัสเดชะเลยทีเดียว เขาไม่คิดว่าพละกำลังที่ต่างกันแค่หนึ่งระดับจะให้ผลต่างกันถึงเพียงนี้ บางทีอาจจะเป็นผลจากแก้วจันทรกาลที่ช่วยเสริมกำลังให้เขา
คลื่นอากาศผสานกับลมกรรโชกทำให้หมอกพิษที่บดบังที่บริเวณก้นหลุมแหวกออก เหล่าฮันเตอร์ที่จ้องรอโอกาสนี้มาตลอดต่างพุ่งลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไร ในหัวของพวกมีเพียงแต่คำว่า
‘ของข้า ใครเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น’
เหนือภพยิ้มมุมปาก
‘เจ้าพวกอ่อนหัด’
ความคล่องตัวของเขานั้นคือระดับ 7 เชียวนะ ปกติเขาเดินทางจากเมืองสินธุมาที่เหมืองโชคไพศาลก็ใช้เวลาเกือบ 2 วัน แต่ตอนนี้แค่วันครึ่งเขาก็ถึงแล้ว ระยะทางแค่ไม่กี่เมตรเพียงเท่านี้มีหรือที่ใครจะเอาชนะเขาได้
เหนือภพใช้อาคมย่นระยะทางเพียงสองครั้งเขาก็มาถึงก้นหลุมแล้ว พวกฮันเตอร์ที่มั่นใจว่าตัวเองมาถึงก่อนนั้น พอจะเหยียบยันพื้นเขาก็ต้องตกใจที่เห็นเหนือภพกำลังใช้อีเตอร์ของตัวเองขุดเจาะพื้นที่แห่งนี้ไปลึกกว่าสองเมตรแล้ว
“เฮ้ย”
“มาช้าเกินไปไหมพวกเจ้าน่ะ” เหนือภพทักทายผู้มาถึงอย่างขำขัน
ฮันเตอร์ชายคนนั้นกำลังอ้าปากจะตอบโต้เหนือภพให้เจ็บแสบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อยู่ ๆ เสียงก็ขาดหาย ยกมือกุมคอตัวเอง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายสูงใหญ่ของเขาค่อย ๆ สลายตัวจนยุบลงเป็นกองเลือด ประจวบเหมาะกับฮันเตอร์ที่เพิ่งมาถึงอีกคน ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน พอเขาเห็นพี่ชายตายก็หันมาจ้องมองเหนือภพด้วยแววตาเคียดแค้น
“เจ้าฆ่าพี่ข้า สักวันข้าจะแก้แค้นเจ้า”
ชายคนนั้นพูดจบก็ทะยานกลับไป แต่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่เขาก็กุมคอตัวเอง กระอักเลือดแล้วก็ตายในสภาพเดียวกันกับคนก่อนหน้า
ราวกลับเป็นเรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีฮันเตอร์ทยอยลงมาถึงพวกเขาต่างโกรธแค้น เพราะคิดว่าเหนือภพเป็นคนฆ่าคนก่อนหน้า และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายโดยไม่อาจหนีพ้น
“พิษ ? อ๊า...”
เสียงร้องของฮันเตอร์สาวคนสุดท้ายทำให้เหนือภพรู้สึกตัวว่าที่ก้นหลุมมีพิษ ที่เขาไม่เป็นอะไรคงเพราะมีผ้าประเจียดของอาจารย์ช่วยคุ้มครอง แต่คนอื่นนี่สิจะเป็นอันตราย เหนือภพกำลังจะร้องตะโกนเตือนคนข้างบนปากหลุมว่าอย่าลงมาอีก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากก็มีพลังประหลาดดันขึ้นมาจากข้างล่าง
ฟู่
หมอกพิษสีม่วงดำฟุ้งกระจายขึ้นไปด้านบน ทำให้ผู้คนกระจัดกระจายแตกฮือกันออกไปบางส่วนก็รอดตาย บางส่วนก็โชคร้ายที่ถูกพิษเสียก่อนทำให้ไม่อาจหนีเคราะห์กรรมนี้ได้
เหนือภพยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วเขาก็ลงมือขุดต่อ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ปล่อยพิษออกมา มันน่าจะฝังอยู่ใต้ดินแถวนี้
ใช้เวลาไม่นานเขาก็เจอเกล็ดพญานาคสีดำจำนวนมากที่จมอยู่ใต้โคลนเหนียว ๆ โคลนเหล่านั้นล้วนเกิดจากเลือดของพญานาคผสมกับดิน เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เลือดของพญานาคเหมือนจะทำปฏิกิริยาบางอย่างกับเกล็ดที่ถูกแช่ จนเกิดเป็นควันพิษออกมาอย่างต่อเนื่อง
เกล็ดสีดำเป็นมันเงาแต่ละชิ้นที่อยู่ตรงหน้าของเหนือภพมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาเจอในถ้ำเสียอีก หากจะกะความกว้างของมันคงไม่ต่ำกว่า 20 นิ้ว แถมยังซ้อนทับกันอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย มันมีไม่ต่ำกว่าร้อยชิ้น ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขาได้ผลดีเกินคาด
แต่ทำไมพญานาคถึงฟื้นตัวได้ไวขนาดนั้น เหนือภพก็ไม่เข้าใจจริง ๆ
“เอ๊ะ”
เมื่อเหนือภพจ้องมองแผ่นเกล็ดที่มีความแข็งแกร่งในระดับสุดยอดนั้น เขาก็คิดอะไรดี ๆ ออก
เขาคิดถึงหัวหน้าช่างทำอาวุธที่ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักชื่อ แต่ในเมื่อเขาสามารถจัดการกับเกล็ดอสูรกริมได้เป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นเขาก็น่าจะพอมีความสามารถในการจัดการกับเกล็ดพิษพวกนี้เช่นกัน
เหนือภพเขียนจดหมายไปหาหัวหน้าช่างทำอาวุธที่เมืองโกงกาง เพื่อสอบถามและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการนำเกล็ดพิษพวกนี้มาใช้ทำเป็นชุดเกราะ ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเขาก็ได้จดหมายตอบกลับมาว่า พิษพญานาคเป็นพิษที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจึงไม่รู้วิธีจัดการ ดังนั้นหัวหน้าช่างจะเดินทางมาดูด้วยตัวเอง เพราะเมืองสินธุเป็นทางผ่านที่เขาต้องผ่านเพื่อไปทำธุระที่เมืองนิรันดร์กาลอยู่แล้ว
สามวันต่อมา
หัวหน้าช่างทำอาวุธก็มาถึงปากหลุมลึกที่เคยเป็นเหมืองโชคไพศาลมาก่อน เหนือภพเอาเกล็ดของพญานาคขึ้นมาวางให้ดูหนึ่งชิ้น มีหลายคนที่อยากรู้อยากเห็นก็จะมามุงดูด้วย แต่เมื่อรู้ว่ามันคือเกล็ดพิษ พวกเขาต่างก็แยกย้ายหนีไปไกล เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการสยบพิษเหล่านี้
กลุ่มฮันเตอร์บางกลุ่มที่สนใจอยากได้เกล็ดไปทำชุดเกราะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดพิษที่อยู่บนเกล็ดยังไง สุดท้ายก็ค่อย ๆ ถอนตัวไปทีละคน บางกลุ่มคิดอยากเอาพิษร้ายนี้ไปทำอาวุธ แต่ก็ยังไม่รู้วิธีการที่จะสามารถเก็บพิษพวกนี้ได้ จึงจำเป็นต้องจากไปเช่นกัน ในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเหนือภพ ช่างทำอาวุธกับลูกมืออีกหลายสิบคนที่ยังคงทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
“ถ้าคิดจะกำจัดพิษพวกนี้ออกให้หมดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจากที่ข้าลองวิเคราะห์ดูเกล็ดพวกนี้แช่อยู่ในแอ่งน้ำพิษมานานนับอาทิตย์ ทำให้พิษซึมลึกจนเกือบรวมเป็นเนื้อเดียวกัน วิธีการควบคุมพิษต้องใช้กระแสปราณอาคมรูปแบบเดียวกัน ถึงจะพอทำอะไรได้บ้าง”
เมื่อเหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นแก้วจันทรกาลให้หัวหน้าช่างทำอาวุธดูอย่างไม่หวง หัวหน้าช่างทำอาวุธถึงกับตาโต เขารู้จักสิ่งนี้จากในตำรา
“เจ้าเอามาได้ยังไง”
เหนือภพไม่ตอบ แต่เขาชี้ไปยังเกล็ดพญานาคแล้วก็ชี้ไปที่หลุมลึก
หัวหน้าช่างพยักหน้ารับทราบ แม้เขาจะไม่เคยเห็นพญานาคตัวจริง หรือเคยเห็นวัตถุดิบจากพญานาคมาก่อน แต่เขาก็เคยอ่านเจอบางอย่างจากตำราการตีอาวุธสร้างชุดเกราะตำรับโบราณ
“แก้วจันทรกาลคือจิตของพญานาคที่ฝังอยู่ในหิน ถ้าว่ากันตามหลักการแล้วมันก็ไม่ต่างจากพญานาคตัวจริง ขอเพียงเจ้าเชื่อมจิตเข้ากับแก้วจันทรกาลได้ เจ้าก็จะควบคุมพิษพวกนี้ให้ไหลเวียนออกไปได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะมันแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับเกล็ดแล้ว และหากเจ้าเอาพิษออกไปจริง ๆ เกรงว่าโครงสร้างของเกล็ดจะเปราะบางลงมาก”
“งั้นก็แปลว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลยหรอครับ”
“ไม่ใช่ ข้ามีแนวคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ข้าทำเจ้าคงต้องอยู่ด้วย พิษพวกนี้หากไม่ถูกควบคุมเอาไว้ให้ดีก็ไม่ต่างจากหมาบ้า หลุดออกกรงมาเมื่อไหร่ก็จะบรรลัยกันทั้งหมด แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องไปกับข้า”
“ที่ไหนครับ”
“เมืองนิรันดร์กาล”
พอเหนือภพได้ยินเช่นนั้น เขาก็บอกเรื่องที่เขาจะไปเทศกาลงานประมูลที่เมืองนิรันดร์กาลให้หัวหน้าช่างทำอาวุธฟัง ซึ่งช่างทำอาวุธก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยต่ออย่างถูกคอ จนเขาได้ทราบชื่อชายวัยกลางคนผู้นี้ เขามีชื่อว่า ‘ดาบ’ หรือจะเรียกว่า ‘ช่างดาบ’ ก็ได้
พวกเขาช่วยขนย้ายเกล็ดพญานาคไปใส่หีบที่ช่างดาบสร้างมาพิเศษ แม้จะกักเก็บพิษไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็สามารถป้องกันไม่ให้ละอองพิษแพร่กระจายออกไปได้ ที่สำคัญพวกเขาโชคดีที่เหนือภพใช้แก้วจันทรกาลช่วยควบคุมพิษส่วนใหญ่เอาไว้
“ก็อย่างที่ข้าเล่าให้ฟังนั่นแหละ ข้าต้องได้มันมา”
ช่างดาบพูดขณะกำลังใช้สมุนไพรถูมือทั้งสองข้างเพื่อช่วยลบล้างเศษละอองพิษที่อาจจะตกค้างได้
“หิ่งห้อยสุริยัน มันใช้ทำอะไรได้ครับ”
สิ่งที่ช่างแก้วกำลังพูดถึงคือแก่นชีวิตของหิ่งห้อยสุริยัน หากเหนือภพเข้าใจไม่ผิด มันคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถซื้อมันได้จากแท็บเล็ต เขาจึงนั่งฟังพลางเก็บความรู้ใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
“แก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน ไม่เพียงมีประโยชน์ในการต่อสู้เท่านั้น สำหรับช่างตีเหล็กมืออาชีพอย่างข้ามันคือของวิเศษ ประโยชน์ของมันมหาศาล สามารถเปลี่ยนให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเตาหลอมได้เลย”
“เท่าที่ได้ยินมา ผู้ที่กินมันเข้าไปจะสามารถเพิ่มความร้อนในร่างกายให้สูงขึ้นจนเกิดเพลิงลุกไหม้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นไม่เท่ากับฆ่าตายทางอ้อมหรือครับ”
เหนือภพสงสัยในข้อนี้จริง ๆ แค่โดนน้ำมันร้อน ๆ จากกระทะเขายังดิ้นเป็นกุ้งทอดเลย แล้วถ้ามันเพิ่มความร้อนได้มากขนาดนั้น เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะซื้อมันมากินแน่
“ของอะไรก็มีผลเสียกันทั้งนั้นแหละ เท่าที่ข้ารู้หากใช้การจุดเพลิงให้ลุกไหม้ตามตัวมากเกินไป มันก็จะบั่นทอนชีวิตของคนผู้นั้น แต่ถ้ารู้จักวิธีใช้ ก็จะเป็นอย่างจักรพรรดินีเพลิงผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนเงาสุริยัน”
“จักรพรรดินีเพลิงทำอะไรหรือครับ”
“เมื่อ 12 ปีก่อนองค์จักรพรรดินีได้กินแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยันเป็นชิ้นที่สาม ตอนนางสำแดงฤทธิ์นั้น ความร้อนจากเปลวเพลิงของพระองค์ได้เผาหมู่บ้านผู้ทรยศขนาดกลาง จนหายวับไปในพริบตา”
“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“แน่นอน ดังนั้นในงานประมูลที่เมืองนิรันดร์กาลครั้งนี้ พวกข้าต้องได้หิ่งห้อยสุริยันให้ได้ ถ้าได้มันมาล่ะก็ การหลอมชุดเกล็ดพญานาคก็จะไม่ใช่งานยากอีกต่อไป”
เหนือภพตาโตเมื่อได้ยินสรรพคุณเช่นนั้น เขาอยู่พูดคุยกับช่างดาบเพียงไม่นาน ก่อนจะแยกย้ายกันไป ช่างดาบกับลูกน้องช่วยกันขนกล่องที่บรรจุเกล็ดพญานาคมุ่งหน้าไปยังเมืองนิรันดร์กาลในทันที ส่วนเหนือภพตัดสินใจอยู่ที่นี่เพื่อรอเดินทางไปพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่
เหนือภพเขาตัดใจใช้เงินจากรางวัลพิเศษซื้อแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยันมากิน จากนั้นเขาก็อยู่ทำภารกิจง่าย ๆ ของสำนักงานฮันเตอร์เพื่อหาเงินเพิ่ม ทั้งยังดำน้ำจับปลาตัวใหญ่มาตั้งขายที่ตลาด บางส่วนก็แบ่งให้แมวราตรีกิน
ส่วนเจ้าแมวราตรีนั้น มันกลายเป็นลูกหาบของเหนือภพไปโดยปริยาย ถุงแร่ห้าสีและหกสีถูกบรรจุในถุงผ้าอย่างมิดชิด แล้วเขาก็ผูกข้าวของไว้บนหลังแมวดำอย่างแน่นหนา ช่วงแรก ๆ เหนือภพก็รู้สึกระแวงกลัวว่าเจ้าแมวจะหนีไปเหมือนกัน แต่พออยู่ด้วยกันสักพัก เขาก็พบว่าแมวราตรีมันก็มีชีวิตของมัน มันชอบเที่ยวเล่นไปเรื่อย แต่พอถึงเวลาอาหาร หรือเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลืออะไร มันก็จะกลับมาทันเวลาทุกครั้งราวกับมีหูทิพย์
ณ ประตูเมืองสินธุ
เช้าวันนี้เป็นวันออกเดินทาง คณะเดินทางของเหนือภพมีคนไม่มากนัก มีเพียงแค่เขา ศิษย์พี่ทานธรรม และก็พี่สะใภ้คนสวยอังกาบเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ใต้สังกัดตึกลำธารของศิษย์พี่ใหญ่ก็ถูกแบ่งส่วนหนึ่งไปทำหน้าที่สำรวจความเรียบร้อยของเส้นทาง อีกส่วนก็มุ่งหน้าไปรออยู่เพื่อเตรียมความพร้อมอยู่ที่งานแล้ว และส่วนสุดท้ายจะคอยคุมกันท้ายขบวนอยู่ห่าง ๆ
หากพูดถึงเส้นทางไปเมืองนิรันดร์กาลนครแล้ว ถ้านับระยะทางจากเมืองหลวงอมตะนครต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 วัน 10 คืน แต่ถ้าเดินทางจากเมืองสินธุจะมีระยะใกล้กว่ามาก ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วัน กว่า ๆ เท่านั้น
“ไปได้”
ทานธรรมเปิดม่านออกมาบอกสารถี จากนั้นก็ปิดม่านพักผ่อนอยู่ในรถเทียมเกวียนชั้นดีกับอังกาบ ส่วนเหนือภพนั้นก็พยักหน้ารับคำศิษย์พี่เช่นกัน จากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินเท้าเคียงข้างรถเทียมเกวียนของศิษย์พี่ใหญ่อย่างกระตือรือร้น