บทที่ 10
เนี่ยฟงศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรการปรุงยารวมไปถึงอักขระศักดิ์สิทธิ์ถึงแปดเดือนเต็ม แทบจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนมีช่วงเวลาหลับนอนแต่ละวันเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ตอนนี้มีพลังลมปราณอยู่ในระดับขั้นสีม่วงขั้นหนึ่งสูงกว่าเด็กอายุเท่ากันมากนัก นั้นเพราะว่าช่วงเวลาแต่ละวันเนี่ยฟงต้องรีดเค้นใช้ลมปราณในการปรุงยาและเขียนอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งยังต้องทดลองกินยาที่ตัวเองปรุงขึ้นมาอีก ตอนนี้ระดับการปรุงยาและทักษะการเขียนอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้มาแตะระดับผลิดอกขั้นต้นแล้วเช่นกัน
ตลอดระยะเวลาแปดเดือนเนี่ยฟงปรุงยาเก็บไว้ในแหวนสีดำเป็นจำนวนหลายร้อยขวด มีทั้งยาเพิ่มพลังลมปราณ ยารักษาอาการบาดเจ็บ แม้กระทั่งยาพิษ ส่วนอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถประทับลงในสิ่งของได้แล้ว สามารถสร้างคุณสมบัติพิเศษได้ตามธาตุของแก่นพลังปราณจากสัตว์อสูร อีกทั้งยังใช้อักขระศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนสีของแหวนสีดำ เป็นเพียงแหวนสีเทาธรรมดาเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต จากคนทั่วไป
เช้าวันหนึ่งขณะที่เนี่ยฟงกำลังปรุงยาอยู่ในถ้ำอยู่ๆก็เกิดเสียงการต่อสู้ดังสนั่นที่ด้านนอก ลุ่ยกงเองก็แปลกใจเช่นกัน ทั้งสองพากันออกมาดูพบว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรระดับสูงสองตัว เป็นสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายกวาง มีเกล็ดอยู่เต็มตัวสีน้ำเงินมีปีกสีน้ำเงินอยู่ด้านหลัง เท้าก็มีเล็บแบบเหยี่ยว หางเหมือนวัว ส่วนหัวมีลักษณะคล้ายมังกรมีเขาสีน้ำเงินมีประกายสายฟ้าล้อมรอบส่วนอีกตัวรูปร่างคล้ายงูมีปีกขนาดใหญ่ มีเกล็ดทั่วทั้งร่างสีเขียวมีหางแตกออกมาดั่งใบหลิวขนาดใหญ่เนี่ยฟงถึงกับอุทานออกมาเสียงดัง
“กิเลนอัสนี อสรพิษฟ้า เหตุใดทั้งสองถึงมาต่อสู้กันที่นี่”
“พวกมันทั้งสองคงคิดจะยึดครองเขาแห่งนี้เป็นแน่”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
“พวกมันคงรับรู้แล้วว่าวิญญาณสถิตของข้าหายไป พวกมันคงคิดที่จะยึดครองที่นี่”
“แล้วเราจะทำอย่างไรขอรับท่านลุ่ยกง”
“รอให้พวกมันสู้กันให้ตกตายเสียก่อนหรือไม่ก็รอให้พวกมันทั้งสองบาดเจ็บหนัก ถึงตอนนี้เจ้าค่อยเข้าไปสังหารก็แล้วกัน อีกอย่างเจ้าควรมีสัตว์อสูรในพันธสัญญาของเจ้าเพิ่ม เมื่อถึงเวลาต่อสู้เจ้าจะได้เรียกพวกมันมาช่วยได้”
“แล้วท่านละขอรับ”
“หากข้าออกไปคนทั่วทั้งดินแดนคงไม่คิดตามล่าเจ้าหรอกรึ เหตุที่มีอสูรในพันธสัญญาเป็นถึงระดับเทพเช่นข้า”
“แต่ตามหลักแล้วแต่ละคนจะมีอสูรในพันธสัญญาได้ทีละหนึ่งตัวไม่ใช่หรือขอรับ หากจะเปลี่ยนต้องปลดปล่อยอสูรในพันธสัญญาตัวเดิมก่อน”
“ใช่ ตามหลักเป็นเช่นนั้นแต่กับเจ้ามันต่างกัน เอาเถอะอย่ากล่าวให้มากความเจ้าเลือกเอาเถอะว่าจะเลือก กิเลนอัสนี หรือว่าอสรพิษฟ้าเป็นอสูรในพันธสัญญาตัวใหม่ของเจ้า”
“ข้าเลือกกิเลนอัสนีขอรับ ข้าคิดว่าคงเข้ากันกับพลังสายฟ้าในตัวข้า”
“อืมเช่นนั้นก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น เอาละข้าจะคอยดูอยู่ด้านนอกก็แล้วกัน เจ้าเข้าไปจัดการปรุงยาต่อเถอะ เมื่อการต่อสู้เสร็จสิ้นและเมื่อเจ้าได้อสูรในพันธสัญญาตัวใหม่ เราจะออกไปจากป่ามรณะกัน”
“ขอรับท่านลุ่ยกง”
การต่อสู้ยาวนานเกือบหนึ่งชั่วยามในที่สุดสัตว์อสูรทั้งสองก็ต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บหนักทั้งคู่ ลุ่ยกงเรียกให้เนี่ยฟงออกมาจากถ้ำ
“เอาละสัตว์อสูรทั้งสองล้วนได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ใต้เขา เจ้ารีบไปจัดการเถอะ”
ลุ่ยกงกลายเป็นแสงหายเข้าที่ด้านหลังของเนี่ยฟง เนี่ยฟงกระโดดลงจากหน้าผาพุ่งไปตามทิศทางที่ลุ่ยกงบอกไม่นานก็มาถึงด้านล่าง เนี่ยฟงพบเห็นกิเลนอัสนีนอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นไม่รอช้า เนี่ยฟงสะบัดมือขวาเรียกดาบเล่มหนึ่งออกมา เนี่ยฟงพุ่งเข้าหากิเลนอัสนีอย่างรวดเร็ว กิเลนอัสนีรับรู้ว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้จึงปล่อยสายฟ้าออกมา เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
เนี่ยฟงหาได้เกรงกลัวสายฟ้าพุ่งเข้าปะทะ พร้อมกับใช้ดาบในมือจ้วงแทงไปที่ลำคอของกิเลนอัสนีอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเนี่ยฟงผ่าไปที่ศีรษะของกิเลนอัสนีเพื่อนำแก่นพลังปราณออกมา หลังจากนั้นก็ลงไปนั่งกับพื้นเพื่อดูดซับวิญญาณและแก่นพลังปราณของกิเลนอัสนีเข้ามาในร่าง เกิดเป็นแสงสีน้ำเงินออกจากแก่นพลังพุ่งออกมาประทับที่หัวไหล่ด้านขวาของเนี่ยฟง เป็นคล้ายรอยสักรูปกิเลนอัสนีสีน้ำเงิน