บทที่ 43 เงินก้อนนี้ช่างได้มายากเย็นจริงๆ
รถของเหวินตงพุ่งทะยานไปตามถนนบนภูเขาอย่างรวดเร็ว หากมองออกไปนอกรถล่ะก็อาจทำให้เกิดอาการหวาดระแวงว่ารถอาจจะร่วงลงหน้าผาไปได้ทุกเมื่อ เหวินตงขับรถได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง ทว่ารถคันอื่นๆ ที่ขับขึ้นภูเขามา เมื่อได้เห็นรถบิวอิคก์ของเหวินตงแล้วต่างก็หยุดรถอยู่ริมถนนกันทุกราย ด้วยกลัวว่ายัยบ้าคนนี้อาจจะขับมาชนรถของพวกเขาเอาได้
สาเหตุที่เหวินตงขับรถเร็วเช่นนี้...ก็เพราะเธอเห็นว่าเย่โม่มีท่าทางน่าเบื่อ เธอกำลังขับรถด้วยความเร็วไปตามถนนริมภูเขาที่อันตรายขนาดนี้ ก็เพราะอยากจะเห็นท่าทางตื่นตกใจของเย่โม่ ให้เขาพูดกับเธอว่า ‘ขับช้าลงหน่อย’ เมื่อเขาพูดแบบนั้นเธอก็จะถือโอกาสสั่งสอนเขาว่า ‘แค่นี้จะนับว่าเร็วอะไรได้! นายยังไม่เคยเจอความเร็วที่แท้จริงหรอก แต่ในเมื่อนายปอดแหกขนาดนี้ฉันจะขับช้าลงหน่อยก็แล้วกัน’
แต่ผ่านมาได้ก็ครึ่งทางแล้ว เย่โม่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว เหวินตงมองไปที่เบาะหลังอย่างประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็พบว่าเย่โม่กำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ก่อนแล้ว เขาทำตัวเหมือนว่าไม่ได้นั่งอยู่บนรถที่อาจร่วงลงหน้าผาได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น แต่กลับเหมือนนั่งสบายๆ อยู่ในร้านกาแฟสักแห่งมากกกว่า
เหวินตงรู้สึกหมดคำพูดแล้ว ต่อให้ไม่กลัวจริงๆ ก็เถอะ แต่การขับรถบนภูเขาสูงชันขนาดนี้แล้วยังไม่มีราวเหล็กกั้นถนนอีก อย่างน้อยก็ควรจะใส่ใจมองหน่อยไหม แต่นี่เขากลับหลับไปเสียแล้ว
เป็นเพราะประสาทเขาแข็งหรือเชื่อใจในทักษะการขับรถของเธอกันแน่? แต่เขาจะรู้ได้ยังไงกันว่าเธอขับรถเก่งหรือเปล่า? อันที่จริงการขับรถริมภูเขาสูงชันแบบนี้ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่เหมือนกัน
เหวินตงหวนคิดไปถึงตอนที่เจอเย่โม่ครั้งแรกและท่าทีด้านชาของเขา ในที่สุดเธอเริ่มจะเข้าใจชายที่ชื่อเย่โม่แล้ว แท้จริงแล้วเขาคงจะเป็นแค่คนที่อ่อนต่อโลกผู้ไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น หรือถ้าจะให้พูดแบบหยาบๆ ก็คือเขาโง่นั่นเอง แต่ก็ดีแล้วเพราะตอนนี้เหวินตงกำลังต้องการคนแบบนี้มาช่วยเธออยู่พอดี ไม่อย่างนั้นถ้าเธอต้องทำคนเดียวก็คงจะยากไปเสียหน่อย
เมื่อเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้สนใจความเร็วของรถเลย เหวินตงจึงค่อยๆ ขับช้าลง ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ขับอยู่ริมเขา ขับเร็วระดับนี้ถึงยังไงก็ยังถือว่าอันตรายมากอยู่ดี เพราะถนนเส้นนี้ทางคดเคี้ยวมีอยู่มาก เธอเตรียมจะลงเขาแล้ว พอถึงทางด่วนค่อยเพิ่มความเร็วอีกที
เวลานี้เองที่เย่โม่ลืมตาขึ้นมาแล้วถามเรียบๆ “อีกไกลแค่ไหน?”
เหวินตงได้ยินเย่โม่ถามก็ตอบกลับทันที “คิดว่าคงอีกประมาณ 600 กิโลเมตร”
เย่โม่ขมวดคิ้วแล้วถาม “เหลืออีกตั้งไกลแต่เธอกลับขับช้าแบบนี้ คิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน?”
ได้ยินคำพูดของเย่โม่แล้วเหวินตงก็เกือบขับพลาดร่วงจากหน้าผา เธอคิดในใจว่าที่ขับอยู่ก็ถือว่าเร็วแล้วนะ หรือนี่ยังถือว่าช้าอยู่? มิน่าชายหนุ่มคนนี้ตอนแรกถึงไม่พูดอะไรเลย มาตอนนี้เขาพูดเพราะคิดว่าเธอขับช้าไปนั่นเอง
ตอนนี้พวกเราอยู่ริมเขา รอให้ถึงทางด่วนก่อนค่อยเร่งความเร็ว เหวินตงตอบกลับอย่างจนใจเล็กน้อย
เย่โม่ไม่ได้รุกไล่ถามเรื่องปัญหาขับรถช้าของเธอต่อ แต่กลับปิดตาลงอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้ำเสียงของเย่โม่มีความไม่พอใจเล็กๆ อยู่ในนั้นล่ะก็ เหวินตงคงคิดไปแล้วว่าเขาก็แค่กวนตีนเธอเล่นๆ เท่านั้น
หลังจากขึ้นมาถึงทางด่วนแล้ว เหวินตงก็เร่งความเร็วขึ้น เย่โม่รู้สึกว่ารถร่อนเหมือนจะลอยนิดหน่อยเขาจึงเงยหน้ามองแผงหน้าปัด รถคันนี้ความเร็วเพิ่งจะถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เริ่มลอยแล้ว
ไม่ถึง 2 ชั่วโมงเหวินตงก็ขับรถเข้าไปในหยุนตูแต่ก็ไม่ได้ขับเข้าไปในเขตเมือง แต่กลับขับเข้ามาหยุดที่หน้าคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเขตชานเมืองแทน
เย่โม่กวาดสายตามองไปรอบคฤหาสน์หลังนี้ เป็นที่ที่สร้างได้อย่างมีสไตล์จริงๆ ล้อมรอบอาณาบริเวณที่กว้างขวางด้วยป่าไผ่ แถมยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สร้างจากฝีมือคนเสียด้วย บริเวณลานข้างในก็กว้าง มีรถหรูจอดอยู่ 7- 8 คัน สนามหญ้าด้านหน้าก็ใหญ่พอจะจุสนามฟุตบอลได้ถึง 2 สนาม เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ต้องเป็นคนร่ำรวยเงินทองแน่นอน
“นายถือกระเป๋าเล็กใบนั้นนะ ส่วนใบใหญ่ฉันถือเอง” เหวินตงพูดจบก็ลงจากรถแล้วถือกระเป๋าที่วางอยู่ตรงเบาะหลัง เย่โม่รู้ดีว่ากระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ในมือของเหวินตงมีปืนไรเฟิลเอเคอยู่ ส่วนกระเป๋าใบเล็กก็มีเอกสารจำนวนหนึ่งและแบบแปลนประหลาดๆ อันนั้นอยู่
เย่โม่สังเกตขนาดความกว้างของคฤหาสน์หลังนี้ การที่จะสามารถครอบครองคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้นอกเมืองได้ แน่นอนว่าเจ้าของคฤหาสน์ต้องไม่ใช่แค่มีเงิน แต่ต้องมีเส้นสายอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะทำได้ขนาดนี้
คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็หยิบหมวกและแว่นดำจากกระเป๋าสะพายของเขาขึ้นมาสวม รวมถึงผ้าปิดปากด้วย สุดท้ายจึงหยิบกระเป๋าใบเล็กของเหวินตงขึ้นมา
เหวินตงมองดูการแต่งกายของเย่โม่แล้ว เธอขยับปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่โม่ถึงต้องทำแบบนี้ ในความคิดของเหวินตง เย่โม่นั้นเป็นคนประสาทด้านชา ปกติแล้วคงไม่คิดถึงเรื่องที่จะโดนตามฆ่าแก้แค้นอะไร แต่การที่เย่โม่ทำแบบนี้เธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
การแต่งกายแบบนี้ของเย่โม่กลับดูเท่ห์เหลือเกิน ทำให้คนที่มองเห็นเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาได้
“แบบนี้ก็ไม่เลว” เหวินตงพึมพำกับตัวเอง เธอไม่ได้ขับรถเข้าไปแต่กลับถือกระเป๋าเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์แทน
ประตูหน้ามียามยืนเฝ้าอยู่ 2 คน เย่โม่กวาดสายตามองแวบหนึ่ง ยาม 2 คนนี้เห็นเหวินตงเดินเข้ามาแต่ก็ไม่ได้ขวางอะไร ไม่แม้แต่จะถามหรือตรวจสอบอะไรเลย ปล่อยให้เย่โม่และเหวินตงเดินเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย
ตอนนี้ขอบเขตจิตสัมผัสของเย่โม่มีระยะแคบเกินไป มองเห็นได้แค่ในระยะ 5-6 เมตรเท่านั้น รวมถึงภาพยังเลือนรางอยู่เล็กน้อยด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตรวจสอบคฤหาสน์หลังนี้ได้
เย่โม่และเหวินตงเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถง ก็มีเสียงทักทายจากชายที่ค่อนข้างมีอายุดังขึ้น “ฮ่า! ฮ่า! คุณเหวินหลังออกจากเป่ยชา (ทรายเหนือ) ก็ยังสุดยอดไม่เปลี่ยน ผมรออยู่นานแล้ว มา! ใครก็ได้หาที่นั่งแล้วรินชาให้เธอหน่อย!”
เหวินตงโบกมือแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องรินชาน่ะไม่จำเป็นหรอก ฉันอยากรีบเข้าเรื่องเลย แลกเปลี่ยนกับจบฉันก็จะรีบไปทันที หลังจากนี้พวกเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
เย่โม่มองพิจารณาคนพูด เขาเป็นชายวัย 50 กว่าๆ มีผมขาวแซมอยู่เล็กน้อย แต่จิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดุดัน บนร่างปรากฏรังสีฆ่าฟันที่ทั้งเย็นเยียบและดำมืด ถึงแม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าแววตากลับเปล่งประกายแหลมคม นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นชายที่เต็มไปด้วยความลึกลับคนหนึ่ง
แต่จากมุมมองของเย่โม่แล้ว ชายคนนี้อย่างมากสุดก็แค่ระดับเดียวกับเหวินตงหรือต่ำกว่าด้วยซ้ำ ระดับนี้ไม่อยู่ในสายตาเขา ต่อให้ดูลึกลับแค่ไหนแต่ต่อหน้าพลังของเขาแล้วก็เปรียบได้แค่ก้อนเมฆที่ล่องลอยเท่านั้น
ข้างกายของเขาคนนี้มีชาย 4 คนยืนประกบทั้งด้านซ้ายและขวา ที่น่าแปลกใจก็คือตอนที่เย่โม่และเหวินตงเดินเข้ามา ไม่มีคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องโถงเลยแม้แต่คนเดียว
เย่โม่มองท่าทีเย็นชาของชายคนนี้แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะพูดคุยได้ง่ายๆ การที่หน้าประตูห้องโถงไม่มีคนเฝ้านั้นดูจะไม่เข้ากันกับรังสีอันเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากชายคนนี้เลย
เย่โม่แผ่จิตสัมผัสออกไปรอบๆ ก็พบชายอีก 4 คน มี 2 คนยืนอยู่หน้าประตู ส่วนอีก 2 คนนั่งเตรียมพร้อมซ่อนตัวอย่างชาญฉลาดอยู่หลังฉากบังตาทั้งทางมุมซ้ายและมุมขวาที่ตั้งอยู่ใกล้กับผนังด้านหลังของห้อง คนพวกนี้มีปืนเตรียมไว้ในมือ อีกอย่างชายหน้าประตูทั้ง 2 ก็รอเย่โม่และเหวินตงเดินเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นพวกเขาจึงมาซ่อนตัวอยู่ตรงประตู
ไม่น่าแปลกที่เหวินตงจะดูไม่ออกว่ามีคนอยู่หลังฉากบังตา นั่นก็เพราะฉากอันนั้นมีรูที่สามารถมองทะลุผ่านได้อยู่ตรงกลางหลายรู แถมยังมีพื้นที่ว่างอยู่หลังฉากตรงนั้นอีกด้วย
สาเหตุที่เย่โม่มองออกนั่นก็เพราะจิตสัมผัสของเขาที่แผ่ออกไปนั่นเอง ฉากบังตาอันนี้ถึงมองไปแล้วจะคล้ายกับภาพวาดบนผืนผ้าผืนหนึ่งที่มีรูอยู่ตรงกลาง มุมที่อยู่ติดกับด้านในห้องสามารถเห็นเป็นภาพ 3 มิติได้อย่างชัดเจน แต่จากการวางตำแหน่งอันแยบยลแล้ว ทำให้คนที่เดินเข้าประตูมาจะเห็นเพียงแต่ฉากบังตาธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าเย่โม่ไม่มีจิตสัมผัสล่ะก็เขาเองก็คงจะไม่สังเกตเห็นเช่นกัน
ถึงแม้ในกรณีที่เย่โม่ไม่รู้ว่าข้างในฉากบังตาเหล่านี้จะมีช่องว่างอยู่ด้านหลัง แต่เขาก็ย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างหนึ่งซึ่งคาดว่าเหวินตงเองก็คงจะไม่สังเกตเห็น นั่นก็คือฉากบังตาส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูนั้นด้านล่างถูกตอกยึดไว้กับพื้น จะมีใครคนไหนที่จะตอกฉากบังตายึดติดไว้ในห้องโถงกัน? เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักทั่วๆ ไป
ด้านหลังของฉากบังตามีชายคนหนึ่งนั่งเตรียมพร้อมอยู่ เสื้อผ้าที่ชายคนนี้สวมมีสีสันและลวดลายเหมือนกับฉากบังตาอันนั้น อีกทั้งส่วนบนของฉากบังตานี้ก็ยังมีรูอยู่ไม่น้อย ทว่าด้วยการจัดวางที่ชาญฉลาดทำให้คนที่เดินเข้าประตูมาเห็นฉากบังตาเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น คนปกติทั่วไปเมื่อเห็นฉากบังตาที่ดูธรรมดาและยังมองทะลุไปอีกฝั่งได้เช่นนี้ ก็คงจะไม่สนใจสังเกตกันทั้งนั้น
ดูท่าว่าการทำธุรกิจแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของเหวินตงคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เสียแล้ว เงินห้าหมื่นหยวนนี้ช่างได้มายากเย็นจริงๆ…