บทที่ 42 หยกสามเม็ด
ซูจิ้งเหวินยังไม่ได้ไปถามหลี่มู่เหมยก็มีหญิงสาวคนหนึ่งโทรมาหาเธอ คนที่โทรมาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนที่แต่งงานกับเย่โม่...หนิงชิงเชวี่ยนั่นเอง
แน่นอนว่าซูจิ้งเหวินรู้ถึงสาเหตุที่หนิงชิงเชวี่ยแต่งงานกับเย่โม่ แต่ด้วยสัญชาติญาณของผู้หญิงทำให้เธอไม่ได้รู้สึกชอบหนิงชิงเชวี่ยนัก…แล้วทำไมหนิงชิงเชวี่ยถึงได้โทรหาเธอกัน?
ตอนที่ซูจิ้งเหวินมาถึงร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง หนิงชิงเชวี่ยนั่งรออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นซูจิ้งเหวินเดินเข้ามาเธอก็รีบลุกขึ้นทันที
“ชิงเชวี่ย เธอตามหาฉันหรือ?” ซูจิ้งเหวินพอเห็นหนิงชิงเชวี่ยก็รีบถามขึ้น
“ใช่แล้ว...นั่งสิจิ้งเหวิน เธออยากจะดื่มอะไรไหม?” หนิงชิงเชวี่ยถามอย่างเรียบเรื่อย
“ฉันไม่ชอบดื่มกาแฟ ขอน้ำผลไม้ก็แล้วกัน” พอซูจิ้งเหวินพูดจบเธอก็เพิ่งจะสังเกตุว่าตรงนี้หนิงชิงเชวี่ยก็มีน้ำผลไม้วางอยู่แก้วหนึ่งเช่นกัน หญิงสาวสองคนสั่งน้ำผลไม้มาดื่มในร้านกาแฟ...ฟังแล้วก็น่าตลกอยู่บ้างจริงๆ
“ชิงเชวี่ย คือว่า...ชีวิตคู่ของพวกเธอดีไหม...” เดิมทีซูจิ้งเหวินอยากจะถามว่าเย่โม่เป็นยังไงบ้าง แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับเปลี่ยนเป็น ‘พวกเธอ’
“อ่า... ก็ถือว่าดี...” หนิงชิงเชวี่ยดื่มน้ำผลไม้ไปอึกหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงดี ผ่านไปครู่หนึ่งหนิงชิงเชวี่ยจึงตัดสินใจพูดขึ้น “จิ้งเหวิน…ที่จริงแล้วมีอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันอยาก...ฉันอยากจะรบกวนเธอหน่อย ก็แค่ นั่นแหละ...”
อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครึ่งวัน หนิงชิงเชวี่ยก็ยังไม่พูดจุดประสงค์ของเธอออกมาเสียที ราวกับฟันของเธอแข็งค้างไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ชิงเชวี่ย มีอะไรเธอก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถึงยังไงหลี่มู่เหมยก็เป็นเพื่อนของฉันแล้วก็เป็นญาติของเธอด้วย ถึงแต่ก่อนพวกเราจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก แต่ฉันคิดว่าอีกหน่อยพวกเราก็คงสนิทกันแล้ว” เจตนาของซูจิ้งเหวินนั้นชัดเจน พวกเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน มีอะไรก็พูดมาไม่ดีกว่าหรือ?
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เธอเล่าเรื่องของเย่โม่ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม? แล้วอีกอย่าง...” หนิงชิงเชวี่ยพูดไปได้ครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งประโยคเธอยังไม่ได้พูดออกไป
ซูจิ้งเหวินยิ้มออกมา “ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันรู้จักกับเย่โม่โดยบังเอิญ เขาถูกพาตัวเข้าโรงพัก ฉันไปช่วยประกันตัวเขาออกมา เขาคล้ายกับคนที่ฉันรู้จักอยู่คนหนึ่ง หลังจากนั้นเราเลยได้รู้จักกัน พวกเรากินข้าวด้วยกัน จากนั้นฉันเลยชวนเขามางานวันเกิด”
ซูจิ้งเหวินไม่ได้บอกไปว่าเขาคล้ายกับอาจารย์ขายยันต์คนนั้น ถึงยังไงหนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยก็แสดงท่าทีว่าไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้อยู่แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องพูดอีก
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเคยเขาโรงพักด้วย ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ แต่หนิงชิงเชวี่ยก็ไม่ได้ถามต่อในเรื่องนี้ เธอพูดต่อไปว่า “จิ้งเหวิน เออ... ครั้งที่แล้วตอนเย่โม่ไปงานวันเกิดเธอ เขาให้สร้อยข้อมือกับเธอเส้นหนึ่ง ถ้าเธอไม่ชอบล่ะก็ ฉันอยากจะ...”
หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกอายที่จะพูดขอสร้อยข้อมือจากซูจิ้งเหวิน ถึงยังไงสร้อยข้อมืออันนั้นเย่โม่ก็เป็นคนให้ซูจิ้งเหวิน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอได้ยินมาจากหลี่มู่เหมยว่าเย่โม่กับซูจิ้งเหวินเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งล่ะก็ เธอคงจะขอซื้อสร้อยข้อมือนั้นต่อจากซูจิ้งเหวินไปแล้ว เธอคงไม่ต้องมาเอ่ยปากถามซูจิ้งเหวินแบบนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้ซูจิ้งเหวินเองก็ยอมรับแล้วว่าเธอกับเย่โม่ก็แค่คนรู้จักกันทั่วๆ ไปเท่านั้น นี่ทำให้หนิงชิงเชวี่ยกล้าจะเอ่ยปากออกมา แต่สุดท้ายเธอก็พูดไม่จบเสียที
แม้ว่าหนิงชิงเชวี่ยจะไม่พูดออกมาแต่ซูจิ้งเหวินก็รู้ดี หนิงชิงเชวี่ยอยากได้สร้อยข้อมือของเธอเส้นนั้น หรือว่าระหว่างหนิงชิงเชวี่ยกับเย่โม่จะเกิดความรักใคร่ชอบพอกันแล้ว? ไม่ถูกสิ...ถ้าเกิดชอบพอกันจริงๆ ล่ะก็ ในเมื่อสร้อยเส้นนี้เขาทำให้เธอได้ แน่นอนว่าต้องทำให้หนิงชิงเชวี่ยได้เช่นกัน แล้วหนิงชิงเชวี่ยจะถามหาสร้อยเส้นนี้จากเธอไปทำไมกัน?
พูดกันจริงๆ แล้วสร้อยที่เย่โม่ทำให้เธอนั้นถือว่าทำออกมาได้ไม่ประณีตสวยงามเลยสักนิด แต่สาเหตุที่ซูจิ้งเหวินชอบสร้อยเส้นนี้มากนั่นก็เพราะเธอรู้สึกว่ามิตรภาพระหว่างเธอกับเย่โม่นั้นเรียบง่ายบริสุทธิ์ แม้จะไม่ได้พบเจอกันบ่อยแต่ความสัมพันธ์นี้ก็ไม่มีสิ่งใดมาเจือปน
เพียงแต่วันนี้ซูจิ้งเหวินได้ยินคำพูดของซูเหมย เมื่อรวมกับทัศนคติที่หยุนปิงมีต่อเย่โม่แล้วก็ทำให้เธอรู้สึกสับสนอยู่บ้าง ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าตกลงเย่โม่เป็นคนยังไงกันแน่ ถึงเธอจะเชื่อใจเย่โม่แต่ลึกๆ แล้วก็ยังมีความสงสัยเจืออยู่เช่นกัน
“เย่โม่ยังสบายดีอยู่ไหม?” ซูจิ้งเหวินไม่ได้ตอบหนิงชิงเชวี่ยตรงๆ แต่กลับถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันขึ้นมาแทน
เดิมทีหนิงชิงเชวี่ยคิดว่าซูจิ้งเหวินจะบอกว่าขอไปหาก่อน หรือไม่ก็บอกว่าเอาวางไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ เธอไม่เชื่อว่าสร้อยหยาบๆ ที่เย่โม่ทำให้นั้นซูจิ้งเหวินจะใส่มันจริงๆ จากที่เธอคิดไว้สำหรับซูจิ้งเหวินนั้นสร้อยเส้นนี้จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เพราะคิดแบบนี้หนิงชิงเชวี่ยถึงได้เอ่ยปากขอ แต่เธอกลับคิดไม่ถึงซูจิ้งเหวินจะถามเธอกลับเรื่องเย่โม่ตรงๆ แบบนี้ นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“เย่โม่ไปแล้ว… เขาคงจะออกจากหนิงไห่ไปแล้วล่ะ ส่วนจะไปที่ไหนตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้เลย ฉันไม่ได้เจอเขามา 2-3 วันแล้ว คืนนี้ฉันกับหลี่มู่เหมยก็อาจจะออกจากหนิงไห่เหมือนกัน พวกเราจะไปหยูโจว” หนิงชิงเชวี่ยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เย่โม่ไปแล้ว? เขายังไม่จบจากมหาวิทยาลัยหนิงไห่เลยนะ” ซูจิ้งเหวินถามด้วยความตกใจ แต่เธอก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เธอรู้มาจากปากของซูเหมยถึงสถานการณ์ที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่ของเย่โม่ ต่อให้ตอนอยู่ปี 4 นี้เขาสอบผ่านทุกวิชาคาดว่าก็คงจะไม่มีทางเรียนจบ
ทันใดนั้นซูจิ้งเหวินก็หัวเราะออกมา เธอพูดตรงๆ โดยไม่รอให้หนิงชิงเชวี่ยตอบกลับ “ที่จริงแล้วสร้อยข้อมือเส้นนี้ก็ไม่เลวเลย ฉันรู้สึกชอบมันอยู่บ้าง…เธอเป็นภรรยาของเขานะ หรือว่าขอแค่สร้อยนี้แล้วเขาจะไม่เต็มใจทำให้กัน? ถ้าเธอบอกฉันว่าทำไมถึงอยากได้สร้อยเส้นนั้นล่ะก็ บางทีฉันอาจจะแบ่งให้เธอครึ่งหนึ่งก็ได้นะ”
แน่นอนว่าหนิงชิงเชวี่ยเข้าใจความหมายของซูจิ้งเหวิน แต่เธอก็ยังตอบกลับไป “เธอรู้ใช่ไหมว่าที่ฉันแต่งงานกับเย่โม่ก็เป็นแค่เรื่องหลอกตา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะไม่จำเป็นอีกแล้ว ตอนที่เย่โม่ไปเขาก็ยังไม่ได้ให้ของอะไรกับฉันเลย อีกอย่างฉันรู้สึกว่าติดค้างเขาอยู่บ้าง เพราะงั้น...”
เหตุผลที่หนิงชิงเชวี่ยไม่ได้บอกอีกอย่างก็คือ...เธอรู้สึกอิจฉาที่เย่โม่ให้สร้อยนั้นกับซูจิ้งเหวิน อีกอย่างสร้อยก็ดูหยาบขนาดนั้น ซูจิ้งเหวินรวยขนาดนี้...เธอไม่มีทางชอบแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะโยนทิ้งไว้ที่ไหนแล้วก็ได้ ในเมื่อซูจิ้งเหวินไม่ชอบ การที่ตัวเธอจะเอามันกลับมาก็ไม่ถือว่าผิดตรงไหน
แท้จริงแล้วมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้ นั่นก็คือถึงแม้เย่โม่จะไม่ได้ให้อะไรกับเธอเลย แต่ตอนที่เขาจากไปตอนนั้น เขารีบร้อนมากจนลืมกระเป๋าพยาบาลใบเล็กนั้นเอาไว้ แต่เรื่องนี้เธอจะพูดไม่ได้ กระเป๋าใบนั้นได้กลายเป็นของๆ เธอแล้ว
“ที่จริงสร้อยเส้นนั้นก็อยู่ที่ข้อมือฉันนี่แหละ...” ซูจิ้งเหวินพูดขณะที่ถอดสร้อยเส้นนั้นออกมา จากที่เธอเห็นดูเหมือนว่าหนิงชิงเชวี่ยจะรู้สึกผิดต่อเย่โม่ก็เพราะใช้งานเขา ที่จริงหนิงชิงเชวี่ยก็ถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง ดูท่าว่าเย่โม่คงโกรธหนิงชิงเชวี่ยเอามาก ถึงกับจากไปโดยไม่บอกลาสักคำ
“อา...” หนิงชิงเชวี่ยส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซูจิ้งเหวินจะใส่สร้อยที่เย่โม่ให้เอาไว้กับตัวแบบนี้ เรื่องนี้ทำให้เธอประหลาดใจอยู่บ้าง นี่หมายความว่ายังไง มันหมายความว่าซูจิ้งเหวินชอบสร้อยเส้นนี้ ไม่เหมือนกับที่หนิงชิงเชวี่ยคิดเอาไว้ว่าซูจิ้งเหวินคงจะโยนทิ้งที่ไหนสักที่ ทันใดนั้นความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจของหนิงชิงเชวี่ย เป็นความรู้สึกที่เธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ฉันให้เม็ดหยกกับเธอ 3 เม็ด เม็ดหยกพวกนี้เย่โม่ทำขึ้นมาเองกับมือ เธอกลับไปก็ร้อยสร้อยใหม่เอาเองนะ” ซูจิ้งเหวินพูดพร้อมกับแกะสร้อยในมือออก เธอหยิบเม็ดหยก 3 เม็ดยื่นให้กับหนิงชิงเชวี่ย
ถ้าเป็นช่วงบ่ายก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอยังไม่ได้ยินหยุนปิงด่าเย่โม่ต่อหน้าเธอหรือคำพูดของซูเหมยล่ะก็ บางทีเธออาจจะไม่เต็มใจมอบเม็ดหยกทั้ง 3 เม็ดในมือนี้ให้กับหนิงชิงเชวี่ยก็เป็นได้ เมื่อผ่าน 2 เหตุการณ์นั้นมาแล้วก็เหมือนกับว่าเธอจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง ความรู้สึกที่ว่าหยกในมือเธอเหมือนจะไม่ได้มีความสำคัญเท่าแต่ก่อนแล้ว
ในเมื่อวันนี้หนิงชิงเชวี่ยถามขึ้นมา เธอก็ยื่นให้หนิงชิงเชวี่ยจริงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมยังเหลือไว้ 3 เม็ดนั้น... บางทีอาจเพื่อจดจำมิตรภาพอันบริสุทธิ์ครั้งนี้เอาไว้ หลังจากกลับไปแล้วเธอก็อาจจะเก็บหยกทั้ง 3 เม็ดนี้เอาไว้... ไม่กลับมาใส่ต่ออีกแล้วก็ได้