บทที่ 332 พื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“เหอะ!”
เจียงอี้ไม่ได้ถอยหนี คนผู้นั้นคิดจะใช้เถาวัลย์ตรึงร่างเขาไว้? หากเป็นคนอื่นอาจจะได้ผล แต่กับเขานั้นไม่ใช่!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็ใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตา หลังจากที่หลบพ้นแล้ว เขาก็ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารโดยหวังว่าจะสามารถหยุดอีกฝ่ายไม่ให้ทำการการระเบิดพลังเวทย์
แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าอิทธิฤทธิ์ของเจตจำนงสังหารจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้อาวุโสลู่ ร่างของชายชราผู้นั้นยังคงเปล่งแสงสีเขียวและไร้ซึ่งร่องรอยของการถูกสะกดข่ม
ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนที่ตามมากลับได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แม้ว่าจะห่างกันพอสมควร แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง ทันใดนั้น หนึ่งในนั้นก็รีบตะโกนออกมา
“นายน้อยอี้! คนผู้นั้นคิดที่จะเผาผลาญพลังเวทย์และดวงจิตของตัวเอง เจตจำนงสังหารของท่านไม่อาจส่งผลต่อเขาได้! ท่านรีบหนีไปซะ ไม่ต้องสนใจพวกเรา!”
ฟับ! ฟับ!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอีกสองคนนำศาสตราวุธระดับสวรรค์ขึ้นมาและเฉือนตันต้นไว้โดยรอบ แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็ต้องตื่นตกใจเมื่อพบว่าด้วยความแข็งแกร่งระดับสูงสูดของขอบเขตเสินโหยวของพวกเขาผนวกกับศาสตราวุธระดับสวรรค์ก็ทำได้เพียงเฉือนตัดเถาวัลย์ได้แค่หนึ่งหรือสองเส้นเท่านั้น
“แย่แล้ว! พืชพวกนี้มีพิษ!”
หนึ่งในนั้นอุทานออกมา ขาของเขาถูกเถาวัลย์รัดแน่น ในเวลาเดียวกันกางเกงของเขาก็ถูกกัดกร่อนและทำให้ขาของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือด
ศาสตร์เวทย์โบราณช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
เจียงอี้เองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ทันใดนั้นเขาก็ปลดปล่อยเพลิงโลกาออกมาเพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกกัดกร่อน จากนั้นก็ทะยานเข้าหาผู้อาวุโสลู่พร้อมกับกวัดแกว่งดาบมังกรเพลิงในมือ
ฟับ!
เถาวัลย์และพืชพรรณเหล่านั้นเลื้อยไปมาราวกับมีชีวิต พวกมันพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของดาบมังกรเพลิง แม้ว่าตัวดาบจะทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ด้วยจำนวนพืชพรรณที่เหลือคณานับ มันก็ทะลวงเข้าไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ครื้นนน!
ไม่นานนัก เจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าเพลิงโลกาสามารถแสดงอานุภาพออกมาได้มากกว่าดาบมังกรเพลิง เมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมา กิ่งก้านของต้นไม้และเถาวัลย์ต่างก็ถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่มันยังเร็วไม่พอและไม่สามารถตามความเร็วในการขยายตัวของเถาวัลย์ได้ทัน!
“อ๊ากกกก!”
ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวทั้งสามต่างก็กรีดร้องออกมาเนื่องจากถูกเถาวัลย์รัดตัวไว้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าพวกเขาจะมีพละกำลังอันกล้าแข็ง แต่ก็คงไม่สามารถสลัดพวกมันให้หลุดได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นาน ร่างกายของพวกเขาคงจะถูกกัดกร่อนจนเหลือเพียงแค่กระดูกเป็นแน่
ไม่มีทางเลือกแล้ว!
เจียงอี้กัดฟันแน่นและนำหินวิญญาณเพลิงขึ้นมาพร้อมกับขว้างมันออกไป หากเขาไม่สังหารคนผู้นั้น มันคงเป็นการยากที่จะไล่ตามหยุนลู่ต่อไปได้
หินวิญญาณเพลิงเหลืออีกเพียงแปดก้อนเท่านั้นและมันยังเป็นไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา หากว่าไม่เข้าตาจนจริงๆ เขาจะไม่มีวันใช้มันเด็ดขาด
ไอร้อนของหินวิญญาณเพลิงไม่ใช่อะไรที่เพลิงโลกาจะเทียบได้ มันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งอาคมยับยั้งภายในสุสานของราชันสวรรค์หมื่นมังกรรวมไปถึงสามารถบดขยี้สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นพืชพรรณเหล่านี้คงจะไม่สามารถต้านทานมันได้เช่นกัน
“อ๊ากก—!”
เจียงอี้อยู่ห่างจากผู้อาวุโสลู่เพียงสิบเมตร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเล็งพลาด ถึงแม้ว่าเถาวัลย์ทั้งหลายจะกรูกันเข้ามาปกป้องร่างของชายชราไว้ แต่มันก็ถูกเผาทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจียงอี้เห็นว่าแหวนแก่นแท้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณถูกทำลายไปด้วย เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจมิใช่น้อยเพราะก่อนหน้านี้จ้านอู๋ซวงได้กล่าวว่าผู้อาวุโสลู่นั้นมีสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครอง
ฟู้ววว!
ผู้อาวุโสลู่ตกตายไปและไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่ถึงอย่างนั้นเถาวัลย์และกิ่งก้านของต้นไม้ที่เหลืออยู่ก็ทำให้เขาลำบากมิใช่น้อย
“นายน้อยอี้! ไม่ต้องสนใจทางนี้ ท่านรีบตามหยุนลู่ไปเร็วเข้า!”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะหันกลับไปช่วยผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงตะโกนออกมา
เปลือกตาของเจียงอี้สั่นไหว เขาไม่กล้ารอเช้าและรีบใช้เพลิงโลกาแผดเผาต้นไม้โดยรอบเพื่อหาทางออกไปสู่โลกภายนอก
เขาไม่ทราบแน่ชัดว่ากรงขังแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่เพียงใด แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะกลัวว่าจะไปติดกับดักเถาวัลย์ที่ไหนสักแห่งและทำให้ร่างกายถูกกัดกร่อนจนตาย
โชคดีที่เจียงอี้ระมัดระวังตัวมากพอ หลังจากที่ผ่านไปได้เกือบสามกิโลเมตร เขาก็หลุดพ้นจากกรงขังพฤกษาเหล่านั้น
เมื่อหันกลับไปดู เขาก็พบว่ามันมีขนาดกว้างใหญ่มากและยังมีลักษณะคล้ายกับรังนก เขาไม่มั่นใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเหล่านั้นจะหนีรอดออกมาได้หรือไม่… หรือไม่บางที พวกเขาก็อาจจะตายไปแล้ว
“หยุนลู่!”
ประกายแสงอันเย็นยะเยือกแวบผ่านม่านตาของเจียงอี้ แม้ว่าจะออกตามหาอยู่นาน แต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งร่องรอยของอีกฝ่าย
เวลานี้เขาเริ่มร้อนใจขึ้นมา หากหยุนลู่หลบหนีไปได้ เหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่ยอมสละชีพก่อนหน้านี้ก็จะต้องตายเปล่า!
จิตใจของเจียงอี้อ่อนล้ามากหลังจากที่ใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาติดต่อกันหลายครั้ง เปลือกตาของเขารู้สึกหนักอึ้งราวกับคนไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน
โฮกกก! โฮกกก!
เจียงอี้พบเจอกับสัตว์อสูรจำนวนมากแม้กระทั่งสัตว์อสูรระดับสามขั้นสูงสุดโผล่ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เข้าใกล้พวกมันมากนักและใช้เพียงเจตจำนงสังหารเพื่อเตือนไม่ให้พวกมันเข้ามาใกล้
อย่างไรก็ตาม…
หลังจากที่ค้นหามากว่าสามสิบกิโลเมตร เขาก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของหยุนลู่ เรื่องนี้น่าแปลกมาก… ความจริงแล้วด้วยความเร็วของอีกฝ่าย เจียงอี้ก็สมควรไล่ตามทันตั้งนานแล้ว แต่เขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หรือว่ามันจะถูกสัตว์อสูรกินไปแล้ว?”
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว หยุนลู่เป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน ดังนั้นเขาจะต้องมีสมบัติช่วยชีวิตอยู่แน่นอน
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับสูงแต่อย่างน้อยก็น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้บ้าง แต่ตลอดทางเขากลับไม่พบอะไรเลย
“เป็นไปได้ไหมว่าข้าจะมาผิดทาง?”
สีหน้าของเจียงอี้หมองลงอย่างเห็นได้ชัดและตัดสินใจมุ่งหน้าต่อ แต่หลังจากที่เดินทางต่อไปอีกสักระยะ สีหน้าของเขาก็เผยความยินดีออกมา
เจอแล้ว! เจอร่องรอยบางอย่างแล้ว!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็มองเห็นร่องรอยการต่อสู้ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นเขาก็เรียกเจ้าเหลืองใหญ่ออกมาและใช้มันเป็นพาหนะ เพราะในเวลานี้ เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากจนแทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
ความเร็วของเจ้าเหลืองใหญ่อาจจะถูกจำกัดไว้บางส่วนเมื่อเดินทางบนบก แต่อย่างน้อย มันก็เร็วกว่าหยุนลู่ที่เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตเสินโหยวขั้นแรกอย่างแน่นอน
สภาพแวดล้อมโดยรอบคือผืนป่าที่เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นวิสัยทัศน์ของเจียงอี้ก็ไม่ธรรมดา เขาสามารถมองเห็นร่องรอยบางอย่างได้ตลอดทาง
หลังจากที่ไล่ล่ามาได้ระยะหนึ่ง เขาก็พบเจอกับซากศพของสัตว์สอสูรระดับสองและโลหิตของมนุษย์ สิ่งนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
“มอ มอ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจ้าเหลืองใหญ่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดตลอดสามสิบนาที จนในที่สุดเจียงอี้ก็พบเห็นร่างของคนผู้หนึ่งที่กำลังหนีอย่างหัวซุกหัวซุน จากนั้นเขาก็ตะโกน
“หยุนลู่ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหน?! บริเวณนี้มีสัตว์อสูรอยู่มากมาย แทนที่จะตายอยู่ในปากมัน ทำไมถึงไม่ให้ข้าช่วยให้เจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมานเสียล่ะ?”
“เจียงอี้!!”
ร่างของหยุนลู่หยุดชะงัก แต่ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
“หากว่าเข้าแน่จริงก็จงไล่ตามข้ามาให้ทันสิ… แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะตาย!”
“เหลืองใหญ่! ตามมันไป!” เจียงอี้หาได้สนใจคำยั่วยุของอีกฝ่ายไม่ เขาสั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดและหวังที่จะสังหารอีกฝ่ายทันที
“เอ๊ะ?”
แต่หลังจากที่ตามมาได้เพียงแค่ชั่วครู่ เขาก็ต้องพบกับหมอกสีขาวเบื้องหน้า ในตอนแรกเจียงอี้ก็ไม่ได้สนใจมันนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป หมอกเหล่านั้นก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆซึ่งทำให้ทัศนวิสัยของเขาหดเหลือเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
สภาพแวดล้อมรอบข้างเองก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นที่ราบซึ่งไม่มีต้นไม้แม้กระทั่งต้นเดียวและดูแห้งแล้ง
เจียงอี้เข้าใกล้หยุนลู่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากหมอกหนา เขาจึงมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างเลือนราง
“เจ้าเหลืองใหญ่ กลับมา!”
เจียงอี้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกพิกล เขาเรียกเจ้าเหลืองใหญ่กลับเข้ามาในเครื่องรางสัตว์วิญญาณ ในตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหยุนลู่เพียงแค่หนึ่งร้อยเมตร ในเวลาเดียวกันเขาก็ปลดปล่อยเจตจำจงสังหารออกมาเพื่อที่จะปลิดชีพอีกฝ่าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายยังคงยิ้มออกมาได้และเอ่ยวาจาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เจียงอี้ เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน? ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์แล้ว! ตอนนี้ แม้กระทั่งจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ยังไม่อาจที่จะช่วยเจ้าได้!”