ตอนที่แล้วเติมเงินซะ ! แล้วเจ้าจะได้ของขวัญ (ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 32 แก้วจันทรกาล

ตอนที่ 31 เดิมทีมันจำศีลอยู่นี่นา


“หากข้ามองไม่ผิด นั่นคือพลังยันต์อาคมสินะ”

ใต้ศิลาเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังนอนหงายเพื่อพักเหนื่อย เขาอยู่ใกล้กับเหนือภพมาก ถ้าไม่นับใต้หล้าที่นอนคั่นกลางทั้งคู่อยู่

เหนือภพเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน เขาจึงตอบสั้น ๆ

“ครับ”

เขามีแรงแค่นี้แหละ ถึงแม้แววตาของเขาจะยังดูสดใส แต่การสำแดงพลังยักษ์สหัสเดชะนั้น กินแรงเอาเรื่อง ถ้าหากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากใช้

“ท่านอา ข้าว่ากลับกันก่อนไหม แค่ปากประตูยังโหดขนาดนี้ แล้วข้างในจะโหดขนาดไหน”

ใต้หล้าพูดขณะลุกขึ้นมาขัดถูแสงเงิน อีเตอร์คู่กายอย่างทะนุถนอม พอเห็นเหนือภพมองมาที่ใต้หล้าก็ไม่ได้พูดหาเรื่องอย่างเคย แต่เขากลับยื่นผ้ากับน้ำยาทำความสะอาดให้เหนือภพ

“เอาไหม ?”

อีเตอร์คู่กายของเหนือภพที่ทั้งเก่าและดำขนาดนั้น แต่เหนือภพก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“เอาน่า ทนอีกหน่อย พวกเรามาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยต้องได้อะไรติดไม้ติดมือไปสักหน่อย”

ใต้ศิลาตอบกลับขณะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย

“หัวหน้า ถ้าลงไปพวกเราจะต้องตายอีกเท่าไหร่ ถ้าขุดแค่ในโถงนี้ พวกเราก็จะมีเงินใช้ไปอีกนาน แล้วทำไมต้องลงไปเสี่ยงข้างล่างอีก”

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรจำนวนมากเช่นนี้ ขนาดมีเหนือภพช่วย พวกเขายังสูญเสียพี่น้องไปแล้วสิบกว่าคน ถ้าหากยังฝืนไปต่อพี่น้องที่รอดกลับออกไปจะเหลือสักกี่คนกัน

“มันไม่พอหรอก แต่ใครไม่อยากไปต่อข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ ตัดสินใจกันเอาเอง แต่ถ้าพวกเจ้าไปก็จะถือว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนตระกูลใต้อีกต่อไป”

กฎตระกูลใต้นั้นเข้มงวด ทุกคนรู้ดีและนั่นทำให้พวกเขายำเกรง หากใครไม่ใช่คนในตระกูล จะเป็นจะตายตระกูลใต้ไม่สนใจทั้งนั้น ในทางกลับกันหากมีคนตระกูลใต้ตายในหน้าที่ ตระกูลใต้ก็ไม่เคยไร้น้ำใจกับพี่น้อง ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังรับรองว่าอยู่สบาย

แต่ความอันตรายเบื้องหน้าก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัว

‘ทว่าพี่น้องที่ตายไปแล้วล่ะ จะให้พวกเขาตายเปล่างั้นหรือ’

และแล้วใจที่ฝ่อแฟบก็เริ่มฮึดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความตายนี้เปล่าประโยชน์

พวกเขาตัดสินใจพักรักษาตัวกันอีกหนึ่งคืนแล้วค่อยลงไปในน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเพียงเหนือภพ ใต้ศิลา ใต้หล้าและนักขุดกล้ามโตอีกสองคนที่ขออาสาลงไปสำรวจดูเส้นทางใต้น้ำก่อนเพื่อความปลอดภัย ยังไงคนน้อยก็คล่องตัวกว่าคนหมู่มาก

หินเรืองแสงจำนวนมากถูกทิ้งกระจายลงใต้น้ำเป็นจำนวนกว่าร้อยก้อน บึงน้ำส่วนที่ลึกสุดเริ่มสว่างไสว มีสัตว์อสูรจระเข้และสัตว์อสูรงูเหลือเพียงไม่กี่สิบตัว เมื่อพวกมันเห็นผู้บุกรุกมันก็พุ่งเข้าใส่ทันที แต่สุดท้ายก็ถูกคนทั้งห้าจัดการจดหมดอย่างง่ายดาย

พวกเขาดำดิ่งลงลึกไปเรื่อย ๆ ก็เห็นโพรงถ้ำใต้น้ำ เมื่อว่ายลึกเข้าไปในโพรงถ้ำเพียงไม่กี่สิบเมตร พวกเขาก็เจอเข้ากับทางตันต่อ มีเพียงทางเดียวคือว่ายขึ้นสู่ผนังโพรงด้านบน มันมีช่องกว้างขนาดใหญ่ให้พวกเขาลอดผ่านได้สะดวก พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จึงพากันพุ่งเข้าไปในทางลอดนั้น

อากาศในปอดของใต้ศิลา ใต้หล้า และนักขุดเหมืองอีกสองคนเริ่มหมด การเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มช้าลงจนเห็นได้ชัด เหนือภพจึงส่งสัญญาณแล้วเข้าไปคว้าพวกเขาให้จับกันและกัน จากนั้นเหนือภพก็ลากพวกเขากลับขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว แม้ระยะทางจะไกลมากก็ตาม

เหนือภพลากพวกเขาทั้งสี่ทะลุขึ้นมาโผล่บนผิวน้ำในโพรงถ้ำมืดอีกแห่ง เขาสุ่มลากทุกคนไปในทิศทางหนึ่งโดยไม่รอช้า ด้วยหวังว่ามันจะไปสุดทางที่ริมฝั่งสักแห่ง และเหนือภพก็คิดถูกจริง ๆ เขาพาทุกคนมาถึงฝั่งภายในเวลาไม่นาน

พวกเขาล้วนหน้าซีด สำลักน้ำออกมา พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง แม้อากาศที่นี่จะไม่บริสุทธิ์มากนักราวกับมีกลิ่นอับของบางสิ่งบางอย่าง แต่พวกเขาก็สูดมันเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย บรรยากาศเย็นยะเยือกมากกว่าโถงข้างนอกทำให้พวกเขาบางคนถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว

เหนือภพโยนหินเรืองแสงกระจายออกไปรอบทิศ จุดที่เขาอยู่คือโพรงถ้ำขนาดเล็กที่มีรัศมีความกว้างเพียงไม่กี่สิบเมตร มันเป็นโพรงถ้ำรูปร่างคล้ายหน้าตัดลำไผ่ที่ทอดยาวเข้าไปสู่พื้นที่มืดมิด ผนังหินรอบด้านดูเกลี้ยงเกลา เงาวับ ราวกับหินขัดมันธรรมชาติ มันเรียบลื่นน่าสัมผัส

“เป็นไงบ้าง”

เหนือภพถามทุกคนอย่างเป็นห่วง ขณะบิดยืดร่างกายด้วยท่านักบวชดัดตนเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย

“ขอบใจมาก ดีขึ้นเยอะเลย ไม่คิดว่าจะไกลและลึกขนาดนี้ ขนาดพวกข้าถูกฝึกมาให้กลั้นลมหายใจให้ได้ 10 นาที ก็แทบแย่ ดีนะที่มีเจ้าช่วย ว่าแต่เจ้าสามารถกลั้นหายใจในน้ำได้นานเท่าไหร่กัน”

นักขุดคนหนึ่งหันมาพูดกับเหนือภพอย่างเป็นกันเอง

“อย่าเรียกว่ากลั้นลมหายใจเลย เรียกว่าเก็บลมหายใจมากกว่า ข้าสามารถเก็บอากาศเพื่อใช้ได้นาน 20 นาที”

เหนือภพตอบความจริงไปเพียงบางส่วน โดยไม่ได้บอกว่าเขาสามารถหายใจใต้น้ำได้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครพุ่งความสนใจมาที่เขา

“โอ้ สุดยอด”

“โห”

พวกเขาแทบจะอุทานพร้อมกันอย่างนับถือ

เมื่อใต้ศิลาอาการดีขึ้น เขาก็เริ่มถือหินเรืองแสงสำรวจลูบไล้ไปตามผนังหิน หินที่นี่เย็นยิ่งกว่าอากาศเสียอีก คงเป็นเพราะความอับชื้น ไม่เคยได้รับแสงแดด และแสงไฟจากมนุษย์เลย ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เขาหยุดชะงัก สีหน้าเริ่มไม่ค่อยจะสู้ดี ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า

“พวกเรากลับเถอะ”

ใต้ศิลาพูดยังไม่ทันขาดคำ ใต้หล้าก็ดึงบางอย่างออกมาจากผนังที่เรียบลื่นนั้น ลักษณะมันเหมือนเกล็ดปลาสีนิล มันเงาและแข็งมาก มันมีความกว้างและความยาวโดยประมาณถึง 16 นิ้ว

“นี่ท่านอา แผ่นเกล็ดที่ดูเหมือนเกล็ดปลานี่มันเป็นของตัวอะไร”

ใต้ศิลาตะลึงมองเกล็ดปริศนา สิ่งที่เขาคิดเริ่มชัดเจนขึ้นมาแล้ว

‘ตำนานมีจริงหรือนี่’

เหนือภพก็กำลังสำรวจอยู่เช่นกัน แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นจิตของเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวมาทางน้ำที่พวกเขาเพิ่งว่ายขึ้นมา มันไม่ใช่คนแน่ ๆ และก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กด้วย แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ใหญ่มาก…

เหนือภพหน้าตาตื่น เขาร้องตะโกนออกมาพร้อม ๆ กับเสียงของใต้ศิลา

“วิ่ง !”

“วิ่ง !”

พวกเขาเลือกวิ่งไปทางโพรงถ้ำข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ไม่มีใครอิดออด ไม่มีใครถามหาเหตุผล แค่ได้เห็นสีหน้าของใต้ศิลาและเหนือภพที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้อันตรายแค่ไหน

พวกเขาวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่เจอซอกหินที่เกิดจากการแตกร้าว พวกเขาทั้งห้าคนจึงรีบเข้าไปแอบในนั้นแล้วเก็บซ่อนลมหายใจ

เวลาผ่านไปไม่นาน ผนังหินทั้งหมดสั่นสะเทือนเล็กน้อย แล้วสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเจอก็เลื้อยเข้ามาในโพรงที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็ว ผิวของมันเต็มไปด้วยเกล็ดสีนิลเงางาม ขนาดลำตัวของมันพอดีกับโพรงยาวรูปวงกลมที่กว้างถึง 8 เมตร มันช่างพอดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่วนลำตัวมันยาวมาก ยาวจนทำให้พื้นที่ซอกถ้ำกลายเป็นที่สถานที่ไร้อากาศหายใจไปนานถึง 7 นาที สิ่งมีชีวิตชนิดถึงจะเคลื่อนตัวพ้นไป

“นั่นตัวบ้าอะไรนี่”

ใต้หล้ากระซิบถามเสียงเบา ส่วนใต้ศิลาก็กระซิบตอบอย่างผู้มีประสบการณ์มากกว่า

“บางกลุ่มเรียกงูใหญ่ หรือพญางู แต่ความจริงแล้วมันคือพญานาค ข้าไม่คิดว่าเรื่องที่ท่านตาทวดเล่าให้ฟังจะเป็นความจริงนะนี่ สาเหตุที่ท่านตาทวดไม่เคยส่งใครเข้ามาขุดที่เหมืองนี้ ก็เพราะมันนี่แหละ พญานาคตัวนี้คือเทพพิทักษ์ภูเขาลูกนี้ ถ้าเรื่องเล่าทั้งหมดเป็นความจริง แล้วทำไมมันถึงออกมาได้ เดิมทีมันจำศีลอยู่นี่นา”

“ไม่จริงมั้ง”

เหนือภพพยายามปฏิเสธสิ่งที่เขาได้ยิน มันไม่ควรบังเอิญขนาดนี้

“แล้วทำไมอยู่ ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาตอนนี้”

นักขุดตระกูลใต้ถามอย่างเป็นกังวล

“อาจจะเป็นเพราะ….”

ใต้ศิลาหยุดพูดกะทันหันแล้วก็หันหน้ามองหน้าเหนือภพ นี่เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะขอบคุณดี เพราะหมัดพลังสะท้านสะเทือนของเหนือภพช่วยพวกเขาไว้ แต่ก็ดันปลุกเจ้าตัวอันตรายให้ตื่นขึ้นมาด้วย

“เรื่องนี้โทษเหนือภพไม่ได้หรอก ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณนี้มีอยู่จริง”

ใต้ศิลาเอ่ยอย่างปลงตก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องหนึ่งให้ทุกคนฟัง โดยเฉพาะเหนือภพที่น่าจะไม่เคยฟังเรื่องนี้ โดยมีเนื้อหาอยู่ว่า….

ในอดีตเมืองสินธุเคยมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคยักษ์ตัวหนึ่งที่ถูกสาปให้กลายเป็นภูเขาเพื่อเฝ้าสมบัติของเทพเจ้า มันเป็นเรื่องราวที่คล้องจ้องกับภูมิประเทศทางเหนือของเมืองสินธุที่มีเทือกเขาทอดยาวคดเคี้ยวคล้ายกับลำตัวของพญานาค แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น

“แล้วสรุป พญานาคเฝ้าสมบัติอะไรไว้หรอครับ”

เหนือภพสนใจเพราะคำคำเดียวเท่านั้น ‘สมบัติของเทพเจ้า’ หากพญานาคมีจริง สมบัติก็ต้องมีอยู่จริงเช่นกัน

“ตำนานที่เล่าต่อกันมานานนั้น สุดท้ายเรื่องก็มีผิดเพี้ยนไปบ้าง บางคนก็เล่าว่ามันคือแก้วมณีพญานาคที่มีอำนาจดลบันดาลอำนาจและเงินทอง บางคนก็เล่าว่ามีภูเขาเงินภูเขาทองซ่อนอยู่ข้างใต้ บางคนก็เล่าว่ามีเคล็ดวิชานาคราชที่มีอานุภาพร้ายกาจ แต่ตระกูลข้าเล่าต่อกันมาว่ามีสายแร่ 6 สีที่บริสุทธิ์ มันอยู่ในส่วนลึกสุดของรังของพญานาค ทั้งยังมีขนาดใหญ่ขนาดกำมือ”

เมื่อทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เรื่องไหนคือความจริงกันแน่

“มันจะเป็นอะไรนั้น พวกเราก็แค่ไปพิสูจน์ดูให้รู้แล้วรู้รอดไปซะก็สิ้นเรื่อง”

ใต้ศิลาเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม แต่พอเห็นสายตาของคนอื่นๆ เขาก็เริ่มถอนหายใจ แค่จะออกจากตรงนี้ก็ยังไม่ได้เลย

เหนือภพใช้จิตเพ่งฟังเสียงอยู่ตลอดเวลา จนเขาแน่ใจแล้วว่าพญานาคตัวนั้นไม่ได้อยู่ในละแวกนี้ เขาส่งสัญญาณว่าปลอดภัยให้ทุกคนทยอยออกมา ทุกคนเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม ขืนเดินหน้าต่อไปก็เท่ากับว่าเดินตามพญานาคตัวนั้นน่ะสิ

ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็กลั้นหายใจกันไปตาม ๆ กัน เพราะสิ่งที่เห็นคือหางของพญานาคที่โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำค้างอยู่อย่างนั้น

‘เห้ย !’

‘บ้าเอ๊ย !’

‘อะไรวะ !’

พวกเขาต่างลอบสบถในใจ สรุปแล้วมีพญานาคอยู่กี่ตัวกันแน่

พวกเขาไม่มีทางเลือกแล้ว ในเมื่อไม่อาจเดินหน้าก็ต้องย้อนกลับเข้าไปส่วนลึกของโพรงถ้ำแทน เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็เหมือนหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง ที่นี่เหมาะสมจะเรียกว่าตำหนักเทพอย่างแท้จริง

ที่นี่สว่างเรืองรองด้วยแสงจากหินเรืองแสง เพชรนิลจินดา และแร่หลายสีที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก มันมากจนน่าตกใจ นอกจากนี้ยังมีบึงน้ำใสสะอาดและป่าไม้ที่วิจิตรงดงามที่สุด สวยยิ่งกว่าป่าไม้ที่เหนือภพเคยอยู่กับพระอาจารย์เสียอีก เมื่อมองดูโดยรอบแล้วเหนือภพก็สรุปได้ว่าที่นี่ช่างสวยและดูแพงยิ่งนัก แถมบรรยากาศก็อุ่นขึ้นอีกด้วย

ในขณะที่ทุกคนกำลังกวาดตามองรอบด้านอย่างตื่นตะลึง แต่จู่ ๆ สายตาทุกคู่ก็มาหยุดที่จุด ๆ หนึ่งโดยมิได้นัดหมาย

‘โอ้’

นั่นคือฝูงงูใหญ่มีหงอนกายสีดำสนิท ที่กำลังนอนขดตัวคล้ายจำศีลอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของพื้นที่ ที่รวมแล้วน่าจะมีศมีกว้างกว่า 20 กิโลเมตร

เหนือภพอ้าปากค้างคิดในใจ

‘นี่ไม่ใช่ตำหนักเทพแล้ว แต่มันเป็นมิติรังกำเนิดที่อยู่ภายในรังสัตว์อสูร’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด