ตอนที่ 30 ปิดระบบชั่วคราว
เหนือภพกลับมานั่งคนเดียวอีกครั้ง เขานั่งขบคิดทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ พ่อเคยสอนอะไรเขาบ้างนะ บางที่พ่ออาจจะสอนวิธีเข้าไปตำหนักเทพแบบปลอดภัยให้เขาก็ได้ เขาไม่เชื่อว่าพ่อเขาจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำหนักเทพให้เขาฟังเล่น ๆ เพียงอย่างเดียว พ่อเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องตำนานให้เขาฟัง ทั้งยังแฝงข้อคิดไว้ในเนื้อเรื่องเหล่านั้นเสมอ
‘เมื่อใดที่ลูกเข้าไปในตำหนักเทพ สิ่งที่ลูกควรมีไม่ใช่พลังหรือสหาย แต่จงมีสติ จำไว้อย่าให้อีเตอร์สืบทอดนี้ห่างจากตัวเจ้า’
เหนือภพทบทวนคำพูดของพ่อ แต่มันจะช่วยอะไรเขาได้ ถึงอีเตอร์สืบทอดนี้จะแข็งแรงมาก ผิดกับสภาพที่เห็นภายนอก แต่เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่ของวิเศษอะไรแน่นอน
ส่วนคำว่า สติ เป็นสิ่งที่ควรมีในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำใบ้ที่ง่ายนัก
เหนือภพเปิดแท็บแล็ตขึ้นมาค้นหาสินค้าดี ๆ ที่อาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็น
-*-*- ระบบปิดปรับปรุงชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ-*-*-
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เหนือภพงง ผู้ชี้นำของเขาก็หายตัวไปเลย ไม่เคยติดต่อกลับมา แม้เขาจะส่งข้อความติดต่อไปหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องได้คำตอบจากผู้ชี้นำ
เหนือภพส่งข้อความรัว ๆ ถึงผู้ชี้นำของเขา
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง อยู่ไหม >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง ข้าเข้าระบบไม่ได้ >
ข้าคือเหนือภพ : < ยู้ฮู >
เต็งหนึ่ง No.1 : < ผมจำเป็นต้องปิดระบบชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ตอนนี้พวกเขาคิดว่าคุณโกง ความจริงมันก็ไม่ถือว่าโกงหรอก แต่คุณพัฒนาเร็วมากจนพวกขี้อิจฉาเริ่มเห็นว่าคุณโดดเด่นเกินไป พวกเขายืนยันให้ปรับเปลี่ยนระบบ คุณรอหน่อยนะครับ ขอให้โชคดี >
ข้าคือเหนือภพ : < …. >
เหนือภพหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่รู้จะแย้งผู้ชี้นำยังไง เวลาสำคัญเช่นนี้อยู่ ๆ ก็จำเป็นต้องปิดระบบเฉยเลย
เหนือภพได้แต่นั่งหลับตารอจนกระทั่งคนอื่น ๆ เริ่มตื่น พวกเขากินข้าวและเก็บของค่อนข้างไว เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ทยอยกันดำน้ำลึกลงไป
แม้เหนือภพจะเกลียดน้ำอันเนื่องมาจากประสบการณ์อันเลวร้ายของเขา แต่เขาก็รู้สึกสบายสุด ๆ เพียงก้าวขาลงไปน้ำหนักตัวของเขาก็ช่วยถ่วงทำให้เขาไม่ต้องออกแรงดำน้ำเลย แถมเขายังมีความสามารถหายใจในน้ำได้อีก เขาจึงปล่อยให้ตัวเองดิ่งลึกลงไปสู่ปากถ้ำใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
เมื่อผ่านเข้ามาถึงจุดที่มืดที่สุดเป็นคนแรก เหนือภพก็บีบหินเรืองแสงที่ได้รับแจกมา จนผิวเนื้อพิเศษบางส่วนของแร่เรืองแสงแตกออก เกิดแสงสว่างส่องประกายจ้าเป็นรัศมีกว่าสองเมตร
‘เห้ย !’
เหนือภพอุทานในใจ เขาตกใจจนทำหินเรืองแสงหลุดมือ เมื่อเห็นสัตว์อสูรจระเข้ตัวใหญ่ก็อ้าปากกว้างหมายจะงับเขาเข้าไปทั้งตัว
เหนือภพใช้มือปัดหัวจระเข้ออก ก่อนจะชักมีดหมอข้างเอวแทงเข้าไปที่ลำคอของมันซ้ำ ๆ จนเลือดสีม่วงฟุ้งกระจาย แล้วมันก็ค่อย ๆ แน่นิ่งไป
เขาก้มมองตามหินเรืองแสงก้อนนั้นค่อย ๆ ตกลงไปข้างล่าง แล้วก็ได้เห็นภาพที่ทำเขารู้สึกขนหัวลุก ผิวกายรู้สึกร้อนวาบด้วยเลือดที่สูบฉีดด้วยความตกใจ ความสยองที่รออยู่ข้างใต้คือฝูงสัตว์อสูรจระเข้นับร้อย ไม่สินับพันต่างหาก ไม่เพียงเท่านั้นมันยังมีอสรพิษอีกจำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
และเมื่อหินเรืองแสงตกลงไปถึงก้นบึงน้ำ เหนือภพก็พอจะมองเห็นว่าที่นั่นมีแต่เศษซากโครงกระดูกทั้งคนและก็สัตว์อสูรรวมกันอย่างหนาแน่น
เหนือภพเงยหน้ามองด้านบน คนอื่น ๆ กำลังตามลงมา เขาจึงรีบบีบหินเรืองแสงหลายก้อนแล้วโยนกระจายไปรอบทิศเพื่อให้คนข้างบนได้เห็นว่าข้างล่างอันตรายแค่ไหน เมื่อกลุ่มนักขุดทั้งสามสิบคนที่กำลังดำน้ำตามลงมาเห็นภาพดังกล่าวก็ถึงกับสำลักน้ำ พ่นฟองอากาศ จากท่าดำน้ำเท่ ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นท่าหมาตกน้ำซะอย่างนั้น
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อระดับ 3 ต่อยลงไปข้างล่าง แม้แรงอัดของหมัดจะถูกลดทอนไปบ้าง แต่มันก็มากพอที่จะสร้างแรงต้านจากน้ำ แรงต้านนี้รุนแรงมากพอที่จะผลักพวกเขาทั้งหมดขึ้นไปข้างบน เหนือภพต่อยซ้ำอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดก็กลับขึ้นมาถึงผิวน้ำ
ต่างคนต่างหอบหายใจรุนแรง ขมวดคิ้ว หนังหัวตึง เอนตัวนอนหงายกับพื้นริมบึง
“ขอบใจเจ้ามาก เหนือภพ”
ทุกคนต่างหันมาขอบคุณเขา หากไม่เป็นเพราะเหนือภพ พวกเขาคงถูกฝูงไอ้เข้ข้างล่างแทะเป็นอาหารว่างแน่
“พวกเรากลับกันเถอะลูกพี่ เรามีคนน้อยเกินไป ทำอะไรมากไม่ได้”
“ข้าก็เห็นด้วยนะท่านอา ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเทพแล้ว มันตำหนักอสูรชัด ๆ เกือบแล้วไงอยู่ดี ๆ ไม่ว่าดีจะลงไปเป็นอาหารให้มัน”
แม้แต่ใต้หล้าก็ยังต้องคิดหนัก พวกเขาเป็นนักขุดแร่ ไม่ใช่ฮันเตอร์ที่จะถนัดในด้านการต่อกรกับสัตว์อสูร
“ถึงเรากลับไป ก็ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน ตอนนี้ราชวงศ์และขุนนางกดดันพวกเราอย่างหนัก หากพวกเราไม่อยากกลับไปเป็นทาสของราชวงศ์แบบในอดีต พวกเราก็ต้องมีแร่ 5 สีเป็นสิ่งต่อรอง”
ใต้ศิลาพูดอย่างตรงไปตรงมา คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงไป เมื่อไม่มีใครเห็นแย้ง ใต้ศิลาจึงเริ่มคิดหาวิธีการ
“เหนือภพเจ้ามีความคิดดี ๆ ที่จะทำให้พวกเราลงไปได้ไหม”
เหนือภพส่ายหน้า ต่อให้เขาหายใจใต้น้ำได้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้คล่องตัวเท่าบนบก แถมพละกำลังยังถูกลดทอนลงเพราะมวลของน้ำอีกด้วย เขาครุ่นคิดชั่วครู่แล้วก็เสนอความเห็นออกมา
“นอกจากเราจะล่อให้ตัวที่อยู่ข้างล่างทยอยขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ฆ่าพวกมันจนกว่าจะหมด นอกจากวิธีนี้ ข้าก็คิดไม่ออกแล้ว”
ใต้หล้าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแห้ง แล้วก็ตาเบิกค้าง
“ข้าว่าไม่ต้องไปล่อมันหรอก พวกมันมาโน่นแล้ว”
พวกเขาทั้งกลุ่มหันกลับมองไปอีกทีก็เห็นฝูงจระเข้และฝูงอสรพิษที่มีความยาวไม่น้อยกว่า 5 เมตรโผล่หัวขึ้นมา ลอยเป็นแพเต็มบึงน้ำที่กว้างกว่า 500 เมตรนั้น
ในที่สุดเหนือภพก็ได้คำตอบว่าเพราะอะไรถ้ำลึกสุดของเหมืองแห่งนี้จึงไม่ถูกแตะต้อง ก็ฝูงสัตว์อสูรแรงค์ E พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ไร้พรสวรรค์จะจัดการได้ ส่วนพวกผู้มีพรสวรรค์ก็ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะปราณอาคมภายในร่างกายพวกเขาจะเป็นปัญหากับสถานที่ที่มีแร่ 3 สี ขึ้นไป หากได้เจอกันก็เหมือนน้ำกับไฟ เมื่อมีสิ่งหนึ่งอยู่อีกสิ่งก็ต้องอยู่ไม่ได้
เรื่องนี้อาจมีสาเหตุมาจากผู้มีพรสวรรค์ส่วนใหญ่ที่ซึมซับพลังงานจากแร่ 3 สีขึ้นไปเพื่อเพิ่มระดับปราณอาคมให้ตัวเอง ทำให้พวกแร่ 3 สีขึ้นไปที่มีความคิดและจิตวิญญาณเกิดตื่นกลัว มันก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือมันไม่อยากตาย
ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์จึงไม่สามารถเข้าใกล้สายแร่ที่มีสีมากกว่าสามสีได้เลย ต่างจากผู้ไร้พรสวรรค์ที่จะไม่ได้รับภัยคุกคามใด อย่างน้อยจุดอ่อนเรื่องไร้ปราณอาคมก็สามารถแลกกับการขุดแร่เอาไปขายหรือเอาไปเป็นวัตถุดิบประกอบในการผลิตสิ่งต่าง ๆ
พวกเขาทั้งหมดเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน ความมุ่งมั่นนั้นฉายชัดในแววตา
“ลุยมันเลย !”
เมื่อใต้ศิลาเปิดฉากโจมตีสัตว์อสูรที่กำลังคืบคลานขึ้นมาบนบก ทุกคนก็พุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยท่วงท่าห้าวหาญ พวกเขาไม่ใช่นักขุดแร่ธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขาได้รับการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ แถมยังได้รับการบำรุงด้วยเนื้อส่วนพิเศษเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายอีกด้วย
โดยรวมแล้วค่าความแข็งแรงและพละกำลังของร่างกายก็ไม่ได้แตกต่างจากเหนือภพสักเท่าไหร่ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีเหล็กไหลผสานรวมในกายก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็นับเป็นผู้มีประสบการณ์โดยแท้ แต่ละคนล้วนมีอาวุธประจำกาย อาวุธที่ถูกสั่งทำพิเศษที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลและเคลือบทับด้วยแร่ 4 สี อานุภาพและความคมของมันจึงเพียงพอที่จะเฉือนหนังแข็ง ๆ ของจระเข้ได้ไม่ยาก
ด้วยพละกำลังที่มากล้นของทีมนักขุดชั้นเลิศ ทั้งจระเข้และงูต่างถูกเหวี่ยงออกไปไกล บ้างถูกเหยียบจนแบน บ้างถูกรุมแทง ฉากการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าสวยงาม ไม่มีแสงสีเจิดจรัสเฉกเช่นการต่อสู้ของผู้มีพรสวรรค์ มีเพียงเลือดที่สาดกระเซ็น เสียงกรีดร้อง เสียงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่น และเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งของกลุ่มชายกล้ามโต
เหนือภพตวัดมีดหมอตัดหัวงูนับสิบที่พุ่งเข้ามาอย่างช่ำชอง หากเขาตกอยู่ในวงล้อมเขาก็จะกระโดดฝ่าวงล้อมพุ่งขึ้นฟ้าไป แล้วใช้กระบวนท่าดับเครื่องชนอย่างถุงเงินร่วงหล่นผสานกับอาคมของเหล็กไหล แถมด้วยพลังจากการเกร็งกล้ามเนื้อขาระดับ 3 แล้วค่อยพุ่งตกลงมา
บรึ้ม !!
แสงสีส้มทองระเบิดกลืนกินสัตว์อสูรที่อยู่ภายในรัศมีห้าเมตรจนหมดสิ้น น้อยครั้งที่จะมีตัวที่รอดชีวิต แต่ถึงแบบนั้นมันก็จะต้องถูกมีดหมอของเหนือภพเขวี้ยงใส่เพื่อปิดฉากความตาย
“เจ้าใช้อาคมได้ยังไง”
ใต้หล้าเอ่ยถามขณะใช้ ‘แสงเงิน’ อีเตอร์คู่กายของตัวเองจามหัวจระเข้จนเลือดสีม่วงกระฉูดพุ่งเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่ใต้หล้าไม่สนใจ เขาเพียงดึงอีเตอร์กลับมาแล้วก็ทำการเช็ดคราบเลือดออก แล้วก็ใช้มันทุบหัวจระเข้ตัวต่อไป
“อาจารย์สอน”
เหนือภพตอบเพียงสั้น ๆ ขณะเขวี้ยงมีดหมอออกไปพร้อมกันสี่เล่ม พวกมันปักเข้าไปในหัวงูใหญ่สี่ตัวอย่างแม่นยำ พวกมันคืองูที่กำลังพุ่งเข้ามาหมายโจมตีใต้หล้า เมื่อช่วยใต้หล้าได้สำเร็จแล้ว เหนือภพก็จากไปพร้อมกับเอ่ยทิ้งท้ายไว้
“ถ่วงเวลาให้หน่อย สักครึ่งนาที”
“ตกลง”
ใต้หล้าตอบกลับพร้อมกับเคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้เหนือภพเพื่อคอยป้องกันตัวก่อกวนทั้งหลาย ส่วนเหนือภพนั้นยืนนิ่งเกร็งกล้ามเนื้อแขนขวา หน่วงมันไว้เพื่อรีดเค้นกำลังมารวมอยู่ที่แขนข้างนี้ เมื่อครบเวลาที่กำหนด กำปั้นพละกำลังระดับสูงสุดของเขาก็เหวี่ยงออกไปพร้อมกับคำพูดหนึ่ง
“สหัสเดชะ”
ทิศทางที่เขาเหวี่ยงแขนออกไปคือจุดที่สัตว์อสูรจระเข้และสัตว์อสูรงูรวมตัวกันอยู่มากที่สุด
รูปลักษณ์ของเหนือภพกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ขณะที่แขนซ้ายของเขาปรากฏอักขระสีทองรูปยักษ์ถือตะบองปรากฏทะลุเสื้อผ้า ทะลุเกราะเจ็ดสีออกมา ยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของเขา สร้างความน่าเกรงขามและพลังอำนาจที่แผ่ออกมา ทำให้นักขุดเหมืองตระกูลใต้ต้องสั่นสะท้านจนเกิดเป็นความยำเกรงอย่างประหลาด
เสียงอากาศแตกร้าวราว โถงถ้ำธรรมชาติสั่นสะเทือนจนนักขุดเหมืองตระกูลใต้แทบยืนหยัดไม่อยู่ สรรพสิ่งในรัศมีสิบเมตรสะเทือนเลื่อนลั่น มันสั่นไหวรุนแรงจนพื้นดินแตกร้าวดีดเด้งราวกับฝุ่นผงบนหนังกลอง
ทันทีที่เหนือภพออกหมัด พื้นที่เบื้องหน้าเหนือภพถูกแทนด้วยกระแสลมกรรโชกผสมผสานไปด้วยแสงส้มเหลืองจากปราณอาคมที่บิดเป็นเกลียวผสมผสานไปกับสายลมหมุน กระแทกจนไถหน้าดินเป็นร่องกว้างเริ่มจากหนึ่งเมตรขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เป็นรูปกรวย กวาดล้างสัตว์อสูรจระเข้และสัตว์งูที่อยู่เบื้องหน้าภายในรัศมีจนสิ้น พื้นผิวบึงน้ำถูกไถจนเกิด เป็นกระแสคลื่นยักษ์พาพวกมันไปกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอีกฝั่งดังสะเทือน ตัวโถงถ้ำสั่นคลอนคล้ายจะถล่ม เศษหินใหญ่หินเล็ก ก้อนแร่ หินเรืองแสงที่เกราะตามผนังหลุดร่วงกราวลงมา
มวลน้ำที่ถูกกระแทกโน้มไปอีกฝั่งก็เริ่มตีไหลย้อนกลับมาจนล้นตลิ่ง พร้อมกับเศษซากสัตว์อสูรและสัตว์อสูรที่ยังมีชีวิตไหลทะลักท่วมทีมนักขุด จนร่างกายพวกเขากลับมาเปียกโชกอีกครั้ง
พวกเขาใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่งจึงจัดการพวกมันเสร็จ ก่อนจะล้มตัวนอนหงายกับพื้นไปโดยไม่สนใจเศษซากสัตว์อสูรและพื้นชุ่มแฉะไปด้วยน้ำและเลือด
พวกเขาเหนื่อยล้าจนสุดทนแล้ว
---------------------------------------------
คุยกันท้ายบท
ตอนต่อไปเป็นตอนยาวพิเศษที่มีเนื้อหากล่าวถึงเรื่องวุ่น ๆ ของเหล่าเทพทั้งสองฝ่ายครับ เรื่องราวความหลังของสัตว์อสูร ซึ่งไม่ใช่เนื้อเรื่องหลักจะไม่อ่านก็ได้ แต่ถ้าอ่านก็จะดีเยี่ยมเลย ^-^
ติดตามได้ใน
เติมเงินซะ ! แล้วเจ้าจะได้ของขวัญ (ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น)