บทที่ 41 เธอควรจะเชื่อในตัวเย่โม่
ณ หนิงไห่ เวลา 2 วันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้หนิงชิงเชวี่ยจะกวาดสายตาเฝ้ารอเย่โม่อยู่ตรงประตูสวนอยู่ทุกวัน อย่าว่าแต่ตัวเย่โม่เลย…แม้แต่เงาของเขาเธอก็ไม่เห็น ผ่านมา 2 วันในที่สุดหนิงชิงเชวี่ยก็เข้าใจ…เย่โม่ได้จากเธอไปแล้ว จากไปเงียบๆ โดยไปบอกลาเธอสักคำ แม้แต่ข้าวของๆ เขาก็ไม่เอาไปด้วย ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีเรื่องด่วนก็คงเป็นเพราะในสายตาของเขาตัวเธอไม่มีค่าอะไรเลย บางทีในสายตาของเขา...เธอคงจะเป็นคนไร้มารยาท ไร้หัวใจ หรือไม่ก็เป็นพวกที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ เขาคงจะคิดแบบนี้แน่นอน
หลี่มู่เหมยมองท่าทีราวกับไร้วิญญาณของหนิงชิงเชวี่ยแล้วเตือนสติอีกครั้ง “ชิงเชวี่ย…นี่ก็ผ่านมา 2 วันแล้ว คุณลุงกับคุณป้าโทรหาฉันว่าพวกท่านจะมาที่นี่ ฉันบอกไปว่าพวกเราจะตรงไปหยูโจวกันเลย”
2 วันที่ผ่านมาท่าทีของหนิงชิงเชวี่ยแปลกไปจากเดิมมาก กระทั่งดูราวกับจะไร้วิญญาณ เหมือนเธอจะใส่ใจเอามากว่าเย่โม่จะกลับมาหรือเปล่า หลี่มู่เหมยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่เธอก็เข้าใจอยู่บ้างว่าหนิงชิงเชวี่ยกับเย่โม่คงจะมีเรื่องราวบางอย่างต่อกัน เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้น
แต่ถ้าจะพูดว่าหนิงชิงเชวี่ยชอบเย่โม่ล่ะก็ หลี่มู่เหมยจะไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“2 วันแล้วหรือ?” หนิงชิงเชวี่ยตอบกลับมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนิงชิงเชวี่ยจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “มู่เหมย… ฉันอยากจะซื้อสวนแห่งนี้ ใช่แล้ว ซื้อสวนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเท่าไหร่ก็ตาม”
“ชิงเชวี่ย เธอเป็นอะไรไปกันแน่เนี่ย?” หลี่มู่เหมยรู้สึกว่าการกระทำของหนิงชิงเชวี่ยดูจะตามใจตัวเองอยู่บ้าง ซื้อสวนนี้ อย่าพึ่งพูดถึงว่าอีกฝ่ายจะขายหรือเปล่าเลย สวนนี้ซื้อมาจะให้ใครอยู่กันล่ะ?
“มู่เหมย...เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ซื้อสวนนี้ให้ฉันหน่อย บอกเจ้าของไปว่าอย่าย้ายแปลงดอกไม้นี้” หนิงชิงเชวี่ยตัดสินใจแล้ว
“ทำไมล่ะ? ชิงเชวี่ย เธออยากจะซื้อสวนแห่งนี้อย่างน้อยก็ควรมีเหตุผลสักหน่อยหรือเปล่า อีกอย่างคุณลุงกับคุณป้าต้องถามเรื่องนี้แน่ๆ” หลี่มู่เหมยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่มีเหตุผลหรอก มู่เหมย...ฉันก็แค่รู้สึกว่าที่สวนแห่งนี้ฉันได้ทำบางอย่างหายไป ฉันคิดว่าบางทีถ้าซื้อที่นี่ล่ะก็ อาจจะมีโอกาสหามันคืนมาก็ได้ ถ้าไม่ซื้อสวนแห่งนี้ล่ะก็ บางทีทั้งชีวิตนี้ฉันอาจจะไม่มีทางหามันคืนได้อีกแล้ว มู่เหมย...เรื่องนี้ฉันตัดสินใจไปแล้ว ถ้าพ่อของฉันไม่เห็นด้วยล่ะก็ ฉันจะไปพูดกับท่านด้วยตัวเอง” เสียงของหนิงชิงเชวี่ยแผ่วเบาราวกับดังมาจากที่อันแสนไกล
..........
“รีบมาดูเร็ว! สาวสวยที่มาหาเย่โม่ครั้งก่อนเธอมาอีกแล้ว”
“เย่โม่คนนี้ดวงดีจริงๆ ถึงกับรู้จักสาวสวยแบบนี้ด้วย อีกอย่างเขาก็ไม่มาเข้าเรียนอีก เธอคนนี้ถึงได้หาเขาไม่เจอแบบนี้”
“สุดยอดเลย! ตั้งแต่เข้าเรียนจนถึงตอนนี้ฉันเห็นเขาแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นเอง”
“ฮึ!...”
เสียงพูดคุยภายในห้องเรียนดังเซ็งแซ่ ส่วนเสียงไม่พอใจดัง ‘ฮึ’ นั้นเป็นของเยี่ยนเยี่ยนนั่นเอง เธอรู้สึกไม่ชอบใจหญิงสาวที่สวยกว่าเธอไม่รู้ตั้งกี่เท่าคนนี้เป็นอย่างมาก อีกอย่างครั้งที่แล้วก็ทำให้เธอต้องอับอายด้วย ซูจิ้งเหวินมาที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่ 2-3 ครั้งแล้วแต่ก็ไม่เจอเย่โม่เลย เธอรู้ว่าหลี่มู่เหมยรู้ที่อยู่ของเย่โม่ แต่ซูจิ้งเหวินก็ไม่อยากให้หลี่มู่เหมยรู้เรื่องที่ตัวเธอเองตามหาเย่โม่อยู่ ส่วนเรื่องที่ว่าตัวเธอคิดอะไรอยู่ ซูจิ้งเหวินรู้ตัวเองดี...ว่าที่เธอต้องการตามหาเย่โม่ก็เพราะรู้สึกว่าอยู่กับเย่โม่แล้วสบายใจและรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ไม่รู้สึกกดดันอึดอัดแม้แต่น้อย
ตั้งแต่วันนั้นที่ซูจิ้งเหวินเต้นรำกับเย่โม่ในงานวันเกิดของเธอ ซูจิ้งเหวินก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย วันนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เธอมาหาเย่โม่ที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่แห่งนี้ เธอตัดสินใจแล้วว่าถ้าครั้งนี้เธอไม่เจอเย่โม่ในห้องเรียนล่ะก็ เธอคงต้องถามใครสักคนแล้ว
ขณะที่ซูจิ้งเหวินเพิ่งจะตัดสินใจได้นั่นเอง ตรงหน้าก็มีหญิงสาวหน้าตาเย็นชาเดินเข้ามา
ซูจิ้งเหวินรู้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นใคร ครั้งที่แล้วตอนที่เธอกับเย่โม่เดินออกมาแล้วเจอกับอาจารย์คนหนึ่ง เธอจึงรีบเข้าไปถามด้วยความดีใจ “สวัสดีค่ะอาจารย์ ขอโทษนะแต่คุณรู้ไหมว่า 2-3 วันมานี้เย่โม่ไปไหน?”
“เย่โม่? ฉันไม่รู้จักไอ้คนไร้ยางอายแบบนั้น” พูดจบหญิงสาวคนนั้นก็หันหลังเดินจากไป
แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้ก็คือหยุนปิงนั่นเอง ตอนนี้คนที่เธอเกลียดที่สุดก็คือเย่โม่ ถ้าเย่โม่มาโผล่ตรงหน้าเธออีกครั้งล่ะก็ ตัวหยุนปิงเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอเองจะเอาหนังสือในมือทุ่มใส่หน้าเขาทันทีที่เจอหรือไม่
คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนมาถามเธอว่าเย่โม่ไปไหน รวมถึงยังเป็นสาวสวยระดับนี้เสียด้วย หยุนปิงจำได้ว่าเธอคนนี้คือคนที่อยู่กับเย่โม่ครั้งที่แล้วนั่นเอง คนที่อยู่กับเย่โม่ได้แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนดีเด่อะไร แน่นอนว่าหยุนปิงไม่มีแก่ใจจะไปแสดงท่าทีดีๆ ต่อซูจิ้งเหวิน
ซูจิ้งเหวินมองอาจารย์สาวที่เดินจากไปด้วยอาการตกตะลึง คิดในใจว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสมัยนี้ทำไมมารยาทถึงได้แย่ขนาดนี้ บอกว่าไม่รู้จักแถมยังบอกว่าไร้ยางอายอีกด้วย เย่โม่ไปทำอะไรเธอไว้กัน? ต่อให้คนอื่นไม่รู้อาการของเย่โม่ แต่เหตุใดตัวเธอซูจิ้งเหวินจะไม่รู้เล่า? ชายไร้ค่าที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลเย่แห่งปักกิ่ง อีกทั้งยังเสื่อมสมรรถภาพอีกด้วย
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเกลียดผู้ชายได้ก็ต้องเป็นเรื่องนั้นใช่ไหม? เดิมทีด้วยร่างกายของเย่โม่ก็ทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แล้วผู้หญิงคนนี้เอาอะไรมาเกลียดเย่โม่กัน? ความประทับใจของซูจิ้งเหวินที่มีต่อหยุนปิงหมดลงทันที
“พี่ซูจิ้งเหวิน! พี่มาที่นี่ได้ยังไง?” เสียงของซูเหมยดังขึ้น
“อ่า...ซูเหมยนี่เอง อาจารย์ข้างหน้านี่เป็นใครกันทำไมมารยาทถึงได้แย่ขนาดนี้ ฉันถามคำถามไปแต่เธอกลับด่าคนอื่นเสียนี่” ซูจิ้งเหวินชี้ไปทางหยุนปิงที่ตอนนี้เห็นได้เพียงด้านหลังของเธอเท่านั้น
ซูเหมยมองตามไปแล้วพูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “เธอเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษชื่อว่าหยุนปิง ถึงเธอจะมีนิสัยเย็นชาไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณสมบัติอะไรนะ มีอะไรหรือเปล่า? หรือว่าหยุนปิงพูดอะไรไม่ดีเอาไว้?”
“ไม่ใช่หรอก ฉันแค่ถามว่าทำไมเย่โม่ถึงไม่อยู่ที่นี่แล้วเขาไปไหนกัน เธอกลับด่าเย่โม่ว่าไร้ยางอาย คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีอาจารย์แบบนี้อยู่” เห็นได้ชัดว่าซูจิ้งเหวินไม่พอใจเอามากๆ ที่หยุนปิงด่าเย่โม่
“พูดถึงเย่โม่… อ้อ! ไม่แปลกหรอก เพราะเย่โม่ไปลวนลามอาจารย์หยุนปิงไว้ ฉันเห็นกับตาเลยนะว่าวันนั้นเย่โม่ทำอะไรอาจารย์หยุนปิงเอาไว้ เธอจะตบเย่โม่แต่ถูกเขาจับมือได้เสียก่อน สุดท้ายอาจารย์หยุนปิงยังด่าเย่โม่ว่าอันตพาล ไร้ยางอาย พี่จิ้งเหวิน…ต่อไปพี่ไม่ต้องมาหาเย่โม่แล้ว เขาก็เป็นแค่ผู้ชายหน้าด้านคนหนึ่ง ที่เขารู้จักกับพี่ก็คงเพราะเงินเท่านั้นแหละ” แน่นอนว่าซูเหมยไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่โม่เลยแม้แต่น้อย เธอจึงยิ่งสุมไฟให้เย่โม่ดูเป็นคนไร้ค่า
ซูจิ้งเหวินฟังคำพูดของซูเหมยอย่างสับสนมึนงง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เย่โม่ไม่ใช่คนแบบนั้น ฉันเชื่อในความรู้สึกครั้งแรกของตัวเอง อีกอย่างฉันกับเขาก็เจอกันมาหลายครั้งแล้ว เขาไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ฉันเกลียดเลย ซูเหมย...ไม่ใช่ว่าเธอมองผิดไปหรอกนะ? ฉันว่าบางครั้งเธอก็ไม่ควรตัดสินคนด้วยความลำเอียงแบบนี้นะ”
“อะไร? พี่จิ้งเหวิน...ฉันจะดูผิดไปได้อย่างไร วันนั้นภายในป่าริมทะเลสาบมหาลัยหนิงไห่ ฉันเห็นกับตาว่าเย่โม่กับอาจารย์หยุนปิงทำอะไรกัน อีกอย่าง...ถ้าฉันมองผิดไปจริงๆ ล่ะก็ หรือว่าอาจารย์หยุนปิงที่เพิ่งด่าเย่โม่ไปเมื่อกี้ก็เสแสร้งอีก?” ซูเหมยรีบร้อนพูดอธิบายด้วยอาการโอเวอร์
ซูจิ้งเหวินเองก็รู้สึกว่าคำถามของตัวเองที่ถามออกไปดูจะมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ ถ้าหากซูเหมยดูผิดไปแล้วทำไมหญิงสาวคนนั้นถึงได้ด่าเย่โม่โดยไร้สาเหตุแบบนั้น? หรือว่าเป็นตัวเธอเองที่คิดผิดไป? แต่เย่โม่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีหรืออะไรเลยนะ ถึงแม้เขาจะจนไปบ้างแต่เย่โม่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอตลอดมาก็ไม่ได้เป็นคนที่หยิ่งยโสหรือถ่อมตัวเลยสักนิด ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
‘รู้หน้าไม่รู้ใจ’ หรือว่าเย่โม่จะเป็นคนแบบนั้นจริงๆ? หรือเขาแค่ซ่อนมันเอาไว้ลึกมากกัน? หรือจะบอกว่าที่เขาพูดคุยกับเธอก็เพราะมีจุดประสงค์? แต่ความจริงแล้วเป็นเธอต่างหากที่ตามหาเย่โม่มาตั้งแต่ต้น เขาไม่เคยมาหาเธอด้วยตัวเองเลยสักครั้ง ต่อให้เขารู้เบอร์โทรศัพท์ของเธอผลลัพธ์ก็เหมือนๆ กัน
ซูจิ้งเหวินลูบสร้อยข้อมือไปมา ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนอยู่บ้าง มันไม่ใช่ว่าเธอจะรู้สึกชอบพอเย่โม่หรืออะไรหรอก แต่เป็นเพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยมีเพื่อนเพศตรงข้ามที่เข้ากันได้ดีแบบเย่โม่เลย ความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีต่อเย่โม่นั้นเกิดขึ้นมาโดยที่เธอเองก็ไม่รู้สึกตัว มาตอนนี้กลับพบว่าในสายตาคนอื่นๆ นั้นมองเย่โม่ต่างจากที่เธอมองอยู่มาก นั่นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดในหัวใจอยู่บ้าง และยังมีบางสิ่งที่เธอได้เห็นกับตาตัวเองด้วย
ไม่ถูกสิ เธอต้องไปที่ๆ เขาอยู่เพื่อดูให้เห็นกับตา ไม่ใช่ว่าหลี่มู่เหมยรู้หรือไง ตอนนี้ไปถามหลี่มู่เหมยก่อน เธอไม่เชื่อว่าเย่โม่จะเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ทั้งซูเหมยและอาจารย์หยุนปิงต้องเข้าใจเย่โม่ผิดไปแน่ๆ เธอควรจะเชื่อในตัวเย่โม่