บทที่ 40 หาเงินเหมือนจะง่ายดายนะ
เย่โม่ลากศพเข้าไปในป่า เขาสำรวจศพทั้ง 2 แต่ก็ไม่เจอของดีๆ อะไรเลย…รวมกันแล้วได้เงินสดมาเพียงหนึ่งพันกว่าๆ เท่านั้น พวกบัตรต่างๆ เย่โม่ไม่ต้องการตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนมีดเล่มนั้นดูเหมือนจะคมใช้ได้ มันจึงกลายเป็นสินสงครามของเย่โม่ทันที
ด้วยทักษะบอลเพลิงของเย่โม่ไม่กี่ลูกก็สามารถเผาร่างทั้ง 2 จนไหม้เกรียม แต่ก็ไม่อาจเผาจนเป็นเถ้าถ่านได้ เย่โม่ถอนหายใจ...ทักษะบอลเพลิงของเขาจะเกรดต่ำเกินไปแล้ว ถ้าปราณของเขาถึงระดับ 3 ล่ะก็ เพียงบอลเพลิงลูกเดียวก็เผาศพพวกนี้ให้สลายหายไปได้แล้ว
ด้วยการกระแทกฝ่ามือง่ายๆ ไปครั้งหนึ่งก็ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้น เย่โม่ถีบร่างทั้ง 2 ลงไปในหลุมแล้วใช้ฝ่ามือผลักเศษดินเพื่อกลบหลุมอีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาฆ่าคนไม่เคยต้องฝังเองแบบนี้มาก่อน แต่ในเมื่อครั้งนี้ได้เงินมาหลายพันหยวนเขาจึงจำต้องกลายเป็นคนงานรับจ้างแบบนี้
เมื่อเย่โม่จัดการกับศพของโจรทั้ง 2 เสร็จแล้วเขาก็เดินจากไปทันทีโดยไม่ได้กลับไปหาหญิงสาวคนนั้น
“นาย! รอเดี๋ยว...” หญิงสาวคนนั้นรอเย่โม่ตรงข้างทางสักพักก็ยังไม่เห็นเขาเดินออกมา เธอรีบวิ่งเข้ามาในเขตป่าจึงได้พบว่าเย่โม่นั้นเดินเข้าไปในภูเขาแล้ว เธอเห็นแต่แผ่นหลังของเย่โม่อยู่ไกลๆ ถ้าเธอมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อยล่ะก็ ไม่แน่ว่าเย่โม่อาจจากไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วก็ได้
เมื่อเย่โม่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของหญิงสาวคนนั้นเขาก็หยุดเดิน หญิงสาวคนนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เย่โม่หยุดตามที่เธอเรียกจริงๆ จากที่เธอคิดไว้นั้นเย่โม่คงจะกลัวเธอถึงได้รีบหนี เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเธอก็ควรจะรีบหนีไปให้ไกลสิถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าเขาจะหยุดเดินจริงๆ ถึงใจหนึ่งอยากจะคิดว่าที่เย่โม่หยุดเพราะกลัวเธอ แต่เธอรู้ดีว่าเรื่องจริงไม่ใช่แบบนั้น เย่โม่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“นายไม่กลัวฉันหรือไง?” หญิงสาวเดินมาหยุดตรงหน้าเย่โม่แล้วถามขึ้นอย่างมีนัยยะ
เย่โม่ดึงกระเป๋าสะพายตรงบ่า เขายิ้มบางๆ “เธอจะฆ่าผมหรือเปล่า?”
“ไม่ นายไม่ได้หาเรื่องฉัน ฉันไม่ชอบฆ่าคน” หญิงสาวส่ายหัวโดยอัตโนมัติ
“อืม...ในเมื่อเธอไม่ได้จะฆ่าผม แล้วทำไมถึงจะต้องกลัวด้วย” เย่โม่ถามขึ้นเหมือนกับว่าเขากำลังรู้สึกประหลาดใจ
หญิงสาวคนนั้นมองพิจารณาเย่โม่อีกครั้ง ชายหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง หน้าตาไม่น่าเกลียดแถมยังดูสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง เสื้อผ้าทั้งตัวดูเรียบร้อยดูไปแล้วคล้ายว่าเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง คาดว่าคงเพิ่งจะอายุ 22 ปีเศษ แถมบนร่างกายของเขายังไม่มีสัญญาณที่ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายอีกด้วย เธอรอดพ้นจากอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วนก็เพราะสัญชาติญาณของเธอ หากพบเจอคนที่เก่งกว่าเธอก็จะรู้สึกได้ทันที เห็นได้ชัดว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่
“นายกล้าหาญมาก… แต่ถ้านายไม่กลัวฉันจริงๆ แล้วนายจะหนีเข้าภูเขาไปทำไม”
“ภูเขาลูกนี้เป็นบ้านเธอหรือไงผมถึงจะเข้าไปไม่ได้?”
“…”
หญิงสาวหมดคำพูดทันที ถึงแม้คำพูดของเย่โม่จะดูก้าวร้าวไปบ้างแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เธอพูดต่อ “เอาเถอะ… ถือว่านายพูดถูกก็แล้วกัน แนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า ฉันชื่อเหวินตง เหวินที่แปลว่าความรู้ ตงที่แปลว่าฤดูหนาว”
“เย่โม่” โย่เม่พูดแนะนำชื่อตัวเองอย่างง่ายๆ เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้จะตามเขามาเพื่ออะไร
“นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเรียกนายไว้แล้วยังอยากทำความรู้จักกับนายอีก?” เหวินตงถามขึ้นมา แต่เธอก็ไม่ได้รอคำตอบอะไร “นั่นเพราะฉันชื่นชมนายนะ เมื่อกี้นายก็เห็นแล้วว่าฉันไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ถ้านายสนใจล่ะก็ฉันแนะนำอาจารย์ให้นายได้นะ”
เย่โม่โบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ในเมื่อเธอชื่นชมจนพอแล้ว...ถ้าไม่มีธุระอื่นอีกงั้นผมไปล่ะ”
หญิงสาวไม่ได้ว่าอะไรที่เย่โม่ปฏิเสธความหวังดีของเธอ เธอพูดต่อช้าๆ “ไม่ต้องรีบร้อนไป ดูเหมือนนายจะยังไม่เข้าใจนะว่ายอดฝีมือบนโลกนี้แข็งแกร่งถึงขั้นไหน ในเมื่อเป็นแบบนี้เรื่องรับนายเป็นศิษย์เอาไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้ฉันมีธุระที่ต้องไปทำอีก นายสนใจจะไปกับฉันไหมล่ะ? แน่นอนว่าค่าตอบแทนดีกว่าการฝังศพพวกนั้นเยอะ”
ค่าตอบแทน? เย่โม่คิดในใจว่าแค่ช่วยจัดการศพพวกนั้นก็ได้มาแล้วหลายพันหยวน ตอนนี้เขากำลังต้องการเงินพอดี ถ้าหญิงสาวคนนี้ให้เงินเขาได้มากกว่านี้ล่ะก็ ช่วยเธออีกสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร อีกอย่างตอนนี้เขาก็ถึงระดับ 2 แล้ว เขาไม่กลัวว่าหญิงสาวคนนี้จะวางแผนลับหลังเขาอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากเขาเริ่มฝึกฝนแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้ต่อสู้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง
“พูดมาสิว่าเรื่องอะไร แล้วเธอยังมีเงินค่าตอบแทนเหลือเท่าไหร่กัน?” ที่เย่โม่สนใจที่สุดก็คือเรื่องเงินค่าจ้าง ถ้ามีเงินเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีก
เหวินตงไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรงๆ แต่กลับพูดขึ้นว่า “เดินจากตรงนี้ไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตรจะมีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่นำไปยังเขตภูเขาเซียงชาน แถวๆ จุดท่องเที่ยวตรงนั้นจะมีโฮสเทลเล็กๆ อยู่ที่หนึ่ง ข้างในมีกระเป๋าของฉันอยู่ 2 ใบ พอถึงเวลานายก็ช่วยถือกระเป๋าพวกนั้นไปทำธุรกิจแลกเปลี่ยนสินค้ากับฉันเท่านั้นก็พอแล้ว วางใจเถอะ...มีฉันอยู่นายปลอดภัยแน่นอน พอถึงเวลานายก็แค่รับผิดชอบส่งกระเป๋าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ส่วนเรื่องค่าจ้าง...ห้าหมื่นหยวนเป็นยังไง?”
แค่แบกกระเป๋าไปก็ได้ห้าหมื่นหยวน มันจะได้เงินง่ายเกินไปแล้ว เย่โม่รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาขายยันต์ด้วยความยากลำบาก ช่วยรักษาคนรวมกับโชคลาภที่เขาพบเจอแล้ว ยังทำเงินได้แค่ไม่กี่หมื่นหยวนเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าหญิงสาวที่ชื่อเหวินตงคนนี้จะหลอกลวงหรือไม่นั้นเย่โม่ไม่กลัวอยู่แล้ว อีกอย่าง...เขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนสามารถฆ่าเขาได้ ถ้าเจอคนที่เก่งกว่าก็แค่หนีเท่านั้นเอง หากเย่โม่ต้องการจะหนีย่อมไม่มีใครหน้าไหนขวางเขาได้
“ดี! ผมทำ แต่ผมไปไหนไกลไม่ได้เพราะยังต้องไปที่อื่นต่ออีก” เย่โม่พยักหน้า เขายอมรับข้อเสนอโดยไม่พูดอะไรอีก
เหวินตงเห็นเย่โม่ตอบรับอย่างง่ายดายขนาดนี้ เธอก็พยักหน้าแล้วพูด “ไม่เลว… นายตัดสินใจเร็วดีเหมาะจะทำการใหญ่จริงๆ ฉันชอบคนแบบนี้ ไม่ว่านายอยากจะไปที่ไหนก็ไม่ส่งผลอะไรหรอก ที่ๆ พวกเราจะไปกันนั้นใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วโมง บางที...ถ้าทำการแลกเปลี่ยนเสร็จแล้วก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบกับแผนการเดินทางของนายเลยสักนาทีก็ได้”
เมื่อเห็นเย่โม่ไม่ได้พูดอะไรอีก เหวินตงก็ไม่พูดให้มากความ พวกเขาเริ่มออกเดินทางทันที ถึงแม้จะอยู่ในเขตภูเขา แต่เหวินตงก็ยังเดินเหินได้อย่างสบายๆ ดูแล้วไม่กินแรงแม้แต่น้อย เธอกลัวว่าเย่โม่จะตามไม่ทันเลยจงใจเดินช้าๆ ทว่าภายหลังเธอถึงได้พบว่าแรงกายของเย่โม่นั้นดีมาก เขาไม่มีท่าทีว่าจะตามเธอไม่ทันแม้แต่น้อยจนเหวินตงแอบรู้สึกประหลาดใจ
ถ้าไม่ใช่มืออันผอมบางเนียนละเอียดคู่นั้นรวมถึงท่าทางที่ดูไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธของเขาล่ะก็ เหวินตงคงสงสัยว่าเย่โม่อยู่บนเส้นทางผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกันกับเธอไปแล้ว
เหมือนที่เหวินตงพูดเอาไว้ไม่ผิด ทั้ง 2 คนเดินทางในเขตภูเขามาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็พบกับถนนเส้นหนึ่งพาดผ่านอยู่ตรงหน้า ถนนเส้นนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนเยอะกว่าถนนเส้นที่พวกเขาลงจากรถตอนนั้นอยู่มาก อย่างน้อยๆ หลังจากผ่านไปไม่นานก็มีรถคันหนึ่งผ่านมาแล้ว
เหวินตงและเย่โม่รอไม่นานนักก็ได้ขึ้นรถบัสที่ขับผ่านไปทางภูเขาเซียงชาน
ภูเขาเซียงชานถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศจีน เทียบได้กับห้าขุนเขาของจีนเลยทีเดียว (ไท่ชาน ซงชาน หวาชาน และเหิงชานทั้ง 2) แต่เพราะที่ภูเขาเซียงชานแห่งนี้ทุกๆ ปีมักจะมีข่าวเรื่องนักท่องเที่ยวหายตัวไปอยู่เสมอๆ อีกทั้งถนนหนทางของที่นี่ก็มีรสบัสเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวของที่นี่น้อยกว่าห้าขุนเขา ภูเขาหวงชาน หรือภูเขาลูกอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง
เมื่อเย่โม่มาถึงเขตภูเขาเซียงชานก็รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่นั้นดีกว่าที่หนิงไห่มากนัก ถ้าไม่ใช่ว่าที่เซียงชานนี้ห่างจากหนิงไห่เพียงเล็กน้อยล่ะก็ เขาก็คงเลือกจะฝึกฝนที่นี่ไปแล้ว
รถบัสจอดลงตรงจุดจอดรถแถวๆ ริมเขาเซียงชาน เหวินตงบอกว่าเธอจะไปเอาของ ให้เขารอตรงนี้
เย่โม่รอไม่นานเหวินตงก็ขับรถบิวอิคก์ (Buick รถระดับหรูของอเมริกา) ธรรมดาๆ เข้ามา
เหวินตงจอดรถตรงหน้าเย่โม่แล้วพูดขึ้นสบายๆ “ได้ของมาแล้ว ขึ้นรถไปกันเถอะ”
เย่โม่เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เขาแผ่จิตสัมผัสเข้าไปในกระเป๋าของเหวินตง กระเป๋าใบหนึ่งบรรจุปืนไรเฟิลอยู่ 1 กระบอก เย่โม่ไม่เข้าใจเรื่องปืนมากนักจึงไม่รู้ว่าเป็นปืนโมเดลไหนกันแน่ ดูแล้วคล้ายกับพวกซีรี่ส์ปืนเอเค (AK) ส่วนกระเป๋าอีกใบนั้นมีเอกสารข้อมูลและแบบแปลนรูปทรงแปลกประหลาดอยู่อันหนึ่ง
เมื่อเหวินตงเห็นว่าเย่โม่ขึ้นมานั่งเบาะหลังโดยไม่ได้พูดอะไร เธอก็รู้สึกพอใจในท่าทีของเขามาก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเย่โม่คนนี้ใจกล้าคับฟ้า…หรือแค่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกกันแน่?
ถ้าไม่เคยเห็นโลกภายนอกล่ะก็ พอถึงเวลาจริงแล้วคงไม่อาจปล่อยให้ทำตัวขายหน้าได้ คิดถึงตรงนี้เหวินตงก็พูดขึ้น “เย่โม่… ตอนที่พวกเราเข้าไป ถ้ามีคนจ้องมองพวกเราก็ไม่ต้องกังวลไป แค่ฟังคำสั่งฉันเท่านั้น หลังจากนั้นแค่แลกเปลี่ยนของกับอีกฝ่ายก็พอแล้ว”
“ผมรู้” เย่โม่คาดว่าสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนคงเป็นกระเป๋าที่มีเอกสารข้อมูลและแบบแปลนแปลกๆ ใบนั้น ในเมื่อเหวินตงใจเย็นขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าไม่มีอันตราย หรือต่อให้มีอันตรายจริงๆ เขาก็ไม่กลัว ทำธุรกิจครั้งนี้เสร็จเขาจะได้ฝึกฝนอย่างสบายใจเสียที