ตอนที่ 8 : เมื่อคุณหนูสี่เสาะหาทางเลือก
ในขณะที่ฮุ่ยเอ๋อหายไป ยูเจี๋ยเดินไปรอบ ๆ ห้องของเธอ บางครั้งเปิดลิ้นชักและตู้เล็ก ๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่นี้ เธอสังเกตเห็นว่าลานบ้านที่เธออยู่นั้นไม่ใหญ่กว่าอพาร์ตเมนต์ของเธอในโลกสมัยใหม่ บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นเพราะสถานะของเธอในครอบครัวนี้
มีอะไรในครอบครองไม่มากนักของคุณหนูสี่ ดูเหมือนว่ายูเจี๋ยคนก่อนจะไม่สนใจเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอาง หลังจากค้นหาสิบนาทีเต็ม ยูเจี๋ยพบเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ๆ ที่เรียงเป็นระเบียบคล้ายกับเสื้อคลุมที่เธอสวมไว้ – ซีดมากในแสงแดดมันดูเกือบเป็นสีขาว ในทางกลับกันเครื่องสำอางแทบจะไม่มีเลย ไม่มีผงแป้งหรือดินแดงทาปาก แม้แต่อุปกรณ์เสริมก็ถูกตัดแทบจะไม่มีเลย กำไลและกิ๊บติดผมเล็กน้อยเป็นเพียงสิ่งเดียวในลิ้นชักมากมายนั้น
ในขณะที่เธอผลักลิ้นชักว่างเปล่าปิดไปอีกอัน ยูเจี๋ยถอนหายใจ เธอพึ่งพาความคิดที่จะขายอัญมณีสักสองสามชิ้นที่คุณหนูสี่เป็นเจ้าของเพื่อจะใช้เป็นทุนสำรองนั้นคงไม่ได้แล้ว กลับมาคิดอีกทีมันเป็นความคิดที่งี่เง่าพอสมควร แม้แต่กำไลหยกที่เธอพบเพียงสองสามชิ้นนั้นก็เป็นเหมือนหยกราคาถูก
สายตาของเธอกลับไปที่วัสดุการวาดภาพที่ฮุ่ยเอ๋อเอามาไว้ให้เธอบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้เธอสามารถวาดภาพได้อย่างดี แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะขายได้เงินห้าสิบตำลึงเงินหรือไม่ เมื่อการแต่งงานกำลังจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ เธอจะหาเงินได้เท่าไหร่? แผนของเธอมีเหตุผลพอหรือไม่?
ยูเจี๋ยคร่ำครวญ นั่งลงที่โต๊ะและหมุนแปรงพู่กันในมืออย่างเหม่อลอย วัสดุเหล่านี้ต่างจากของที่เธอใช้ ทำให้มันยากยิ่งขึ้นสำหรับเธอที่จะแสดงออกถึงคุณค่าของฝีมือทางศิลปะของเธอ เธอคุ้นเคยกับการร่างภาพตามความคิดด้วยดินสอหรือกราไฟต์และนอกจากการวาดด้วยสีน้ำมันและอะครีลิคแล้วเธอยังสนุกกับการสเก็ตช์ภาพ ดูเหมือนว่าราชวงศ์เซียงจะไม่ได้มีการคิดค้นดินสอ แต่ถ้าราชวงศ์ถัง ... ไม่ใช่ว่าเธอรู้มากเกี่ยวกับการพัฒนาศิลปะในแต่ละราชวงศ์ แต่ยูเจี๋ยก็ค่อนข้างแน่ใจว่าการวาดภาพและศิลปะมีความเจริญรุ่งเรืองในราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซุย ไม่ได้อยู่ก่อนหน้าพวกเขา
ด้วยความคิดในใจ ยูเจี๋ยคิดได้ว่ายังไงเธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสื่อที่มีอยู่ในขณะนี้ หรือหาวิธีใหม่ในการประดิษฐ์ดินสอด้วยตัวเอง
เมื่อมองจากหินฝนหมึกและแท่งหมึก ยูเจี๋ยก็รีบหยิบแท่งหมึกที่วางอยู่ข้างๆแล้วเช็ดให้แห้ง ดึงแผ่นกระดาษที่สะอาดออกมา เธอค่อยๆลากแท่งหมึกลงบนกระดาษเบาๆ ดูแล้วมันยังทำให้ไม่น่าพอใจ แต่สีดำให้ผิวขรุขระ การลากเส้นเป็นเรื่องยากต่อความต่อเนื่องบนกระดาษ แต่ถ้าเธอกดแรงเพียงพอ เม็ดสีจะหลุดออกจากแท่งหมึกแน่นอน
ดังนั้นแม้ความจริงที่ว่าเธอสามารถทำเครื่องหมายลงบนกระดาษด้วยเครื่องมือนี้ได้ มันเหมือนยังไม่สมบูรณ์และยากที่จะมองเป็นผู้เชี่ยวชาญ คิ้วของยูเจี๋ยขมวดคิดหนัก เธอตัดสินใจว่ามันจะเป็นความท้าทายที่จะหาสิ่งที่จะมาแทนดินสอ มีอะไรในดินสอ? ตะกั่วรึ? เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? สิ่งนั้นคงพัฒนามาหลายปีแล้ว ยูเจี๋ยมีช่วงเวลาที่น่าจดจำอย่างมากก่อนที่เธอจะจำได้ว่ามันต้องเป็นกราไฟท์
สายตาของเธอกลับไปที่แท่งหมึก ไตร่ตรองคำถามว่าแท่งหมึกนี้จะมีกราไฟท์อยู่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอไม่สามารถบดแท่งนี้ออกแล้วเติมน้ำและอะไรอย่างอื่น แล้วแปลงเป็นดินสอได้หรอ? มันค่อนข้างสมเหตุสมผล...ใช่ไหม?
ก่อนอื่นยูเจี๋ยต้องค้นพบให้ได้ว่าแม่พิมพ์ดินสอจะใช้อะไรทำ เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจำได้ว่าขณะที่เธอสำรวจรอบๆ มีต้นไม้ปลูกไว้ด้านหน้า หากเธอสามารถตัดกิ่งเล็กๆจากต้นนั้นและจัดการทำให้มันเป็นช่องด้านในได้ จากนั้นเธอจะไม่สามารถเติมผงกราไฟท์จากแท่งหมึกและน้ำและ....ทำเป็นดินสอได้เหรอ?
ความคิดดูเหมือนจะเป็นจินตนาการ แต่แล้วคิดอีกครั้ง นี่คือโลกใหม่ ชีวิตใหม่ ยูเจี๋ยต้องเสี่งอย่างไม่มีจุดหมายและลองทำสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่เธอจะได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม เพื่อการได้วาดภาพด้วยดินสอ ยูเจี๋ยยินดีที่จะทำมั้นทั้งหมด!
โชคดี ศิลปินหยาง!
........................
ในช่วงเวลาที่ยูเจี๋ยกำลังประสบความสำเร็จในการคิดค้นทำดินสอ ฮุ่ยเอ๋อก็ยังคงดิ้นรนเพื่อทำให้ฝูงชนสงบลง ปริมาณเสียงของพวกเขาดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ตลาดทั้งหมดถูกครอบงำโดยไม้ที่คนรอบตัวนางกำลังถืออยู่
และพวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นคนฉลาด มีความเป็นผู้ใหญ่! การคิดว่าคนที่มีความตลบแตลงเหล่านี้เรียกได้ว่าเถียงอย่างโกรธเคืองกับภาพวาดภาพเดียว! แม้ว่าฮุ่ยเอ๋อจะกลัวด้วยเสียงอึกทึก นางอดไม่ได้ที่จะยอมรับว่านางดูถูกคนเหล่านี้ที่ต้องการจะฉีกคนอื่นเมื่อพวกเขามีความคิดไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของตัวเอง
ทันใดนั้นท่ามกลางเสียงตะโกน เสียงใสของชายหนุ่มดังก้องเสียงดังก่อนหน้า
“ข้าจะจ่ายสามสิบตำลึงเงิน”
ฝูงชนชะงัก หันกลับมามองด้วยความประหลาดใจเพื่อดูว่าใครเป็นคนตะโกนวลีดังกล่าว สามสิบตำลึงรี? แม้ว่ามันจะน้อยกว่าราคาเดิมห้าสิบตำลึง สามสิบก็ยังถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ใครเป็นคนโง่เขลาคนนั้นที่จ่ายค่าเสียหายถึงสามสิบตำลึงกัน?
กลับกลายเป็นว่าผู้ซื้อเป็นคนที่มีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี ผมของเขาผูกไว้อย่างเรียบร้อยและสวมเสื้อคลุมมรกตที่สง่างาม ชายคนนั้นไม่หล่อที่สุด แต่คุณสมบัติของเขาสูงกว่าค่าเฉลี่ยและอยู่ในสัดส่วนที่ดี หนึ่งในใบหน้าเหล่านั้นทำให้คนอื่นเดาได้ทันทีว่าเขาเป็นคนที่เป็นมิตรที่ชอบคบค้ากับคนอื่น เขาถือพัดกระดาษในมือซ้าย แตะมันกับมือขวาขณะพยักหน้าอย่างรู้เท่าทันขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ภาพ
ฮุ่ยเอ๋อร์จ้องมาที่เขา แต่เขามีเพียงจ้องมองที่ภาพวาด จนกระทั่งเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนโกรธมากมายอยู่รอบตัวเขา การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเป็นความงงงวย
ทำไมพวกท่านโต้เถียงกันเรื่องภาพวาดที่ดี ทำไมละ สามสิบเงินน้อยเกินไป – ข้าว่าข้าจะจ่ายอย่างน้อยสี่สิบสำหรับภาพวาดเช่นนี้ "