ตอนที่ 26 ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอก
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านเจ้าตึกที่ข้าแต่งตัวไม่เหมาะสม ทั้งยังเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นโจรปล้นสวาท ท่านคงเป็นเจ้าตึกลำธาร ท่าน ทานธรรม ถูกไหมเจ้าคะ”
ผมสีแดงสดสยายเต็มแผ่นหลังเมื่อเธอมายืนประจันหน้ากับเหนือภพ
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจ
‘นั่นเป็นชื่อศิษย์พี่ใหญ่นี่นาไม่รู้ว่าศิษย์พี่อยู่ไหน แต่ก็ช่างเถอะ เล่นละครสักหน่อยก็ดี’
“หูตาเจ้าช่างกว้างไกลนัก”
ตอนแรกหญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้มั่นใจ 100% เพราะเหนือภพดูหนุ่มเกินไป แม้เธอจะไม่เคยเจอเจ้าตึกคนอื่นมาก่อน แต่พวกเธอก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าตึกลำธารมามาก ว่าเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญที่ทำอะไรตามใจ แต่งตัวมอซอ ติดเหล้าน้ำผึ้งงอมแงม ไปไหนไร้ร่องรอย ทั้งยังมีกำลังดุจช้างสาร ทุกกำปั้นส่งผลให้ฟ้าเปลี่ยนสีแผ่นดินสะเทือน
ทั้งสามสาวยกมือไหว้เสมออก ค้อมหัวลงพร้อมย่อเข่าลงเล็กน้อย แลดูงดงามแช่มช้อย
“พวกข้าขอไหว้เจ้าตึกเจ้าค่ะ”
พวกเธอพูดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน นี่เป็นธรรมเนียมการทำความเคารพของกลุ่มภารดา ไม่เหมือนราชวงศ์ที่เอะอะก็คุกเข่า เอะอะก็ก้มหัว
เมื่อเหนือภพได้ใช้เวลาคุยกับพวกเธอ เขาก็รู้จักพวกเธอมากขึ้น สาวผมแดงในชุดทรวงอกทะลักที่เขาเจอครั้งแรกชื่อ กลิ่นแก้ว ส่วนหญิงสาวอีกสองคนที่เพิ่งรอดพ้นมาจากห้องใต้ดินคือ ใบหลิว กับ แตงทอง พวกเธอทั้งสามคนเป็นคนจากตึกบุปผาแห่งกลุ่มภราดา แน่นอนว่าเขาเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มภราดามาไม่น้อยจากพระอาจารย์
กลุ่มภารดาประกอบไปด้วยขุมอำนาจทั้งห้าที่กระจายออกไปตามทิศต่าง ๆ บนแผ่นดินเงาสุริยันห้าทิศ ได้แก่ตึกภูเขา ตึกลำธาร ตึกบุปผา ตึกป่า และตึกสัตว์ ความรู้ของเขามีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับตึกแค่ 2 ตึกเท่านั้น
ตึกบุปผามีหน้าที่สืบหาและรวบรวมข่าวสารจากทั่วสารทิศ พวกเขาเป็นเจ้าแห่งข่าวสาร ที่แม้แต่สำนักข่าวหลวงก็ยังต้องขอซื้อข่าวบางเรื่องจากพวกเขา
ส่วนตึกลำธารมีหน้าที่ชะล้างสิ่งสกปรกที่แปดเปื้อนให้สายน้ำ หรืออีกความหมายก็คือการเก็บกวาดนั่นเอง
ส่วนอีกสามตึกนั้นพระอาจารย์เองก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขามีหน้าที่อะไร รู้เพียงคร่าว ๆ ว่า ตึกป่า คือจ้าวแห่งสรรพยา ตึกภูเขาคือผู้เป็นอมตะ ส่วนตึกสัตว์คือผู้วิปลาส ทั้งสามตึกล้วนเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเพียงพอที่จะเขย่าทั้งแผ่นดินให้สั่นคลอน แต่กลับมีตัวตนเร้นลับยิ่ง
ไม่นานนักพวกเธอก็ชวนเหนือภพไปที่แห่งหนึ่ง ก็ไม่รู้ไปทำไม แต่เขาก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย พวกเขาเดินเข้าไปในตัวเมือง ซึ่งจุดศูนย์กลางของเมืองสินธุในยามกลางคืนนี้ก็สว่างไสว ผู้คนหนาแน่น คึกคักไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย
พวกเขามากันมาหยุดยืนอยู่หน้าตึกหินผสมไม้สูงใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าประดับโคมไฟไว้มากมาย เรียงรายเป็นทางยาวเข้าไปถึงข้างใน เหนือภพแหงนหน้ามองป้าย
‘หอร้อยบุปผา’
“ซ่อง ?”
เหนือภพพึมพำออกไปโดยไม่ทันคิด แต่พอหันมาเห็นสีหน้าของสามสาว เขาก็ยิ้มแห้ง ๆ ดูเหมือนพวกเธอจะอ่อนไหวกับคำคำนี้ ‘ซ่อง’
“ตึกรามบ้านช่องแถวนี้สวยดี ดูเจริญกว่าที่บ้านข้าเยอะเลย”
เหนือภพพลิกลิ้นอย่างว่องไว แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ติดใจอะไร เหนือภพรู้สึกโล่งใจแต่ลึก ๆ ก็รู้สึกผิดอึดอัดในใจไม่น้อย เขาไม่ได้เจตนาดูถูกใคร แต่ที่หมู่บ้านของเขาเรียกสถานที่แบบนี้ว่าซ่องจริง ๆ
เหนือภพเดินตามสาว ๆ เข้าไปด้วยรอยยิ้ม พลางแสร้งโบกมือทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง แล้วเขาก็ได้พักในห้องรับรองที่ดีที่สุดบนชั้น 4 ภายใต้ชื่อ ‘ทานธรรม’ ชื่อของศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเอง
ณ ศาลาสงบใจ
ศาลาสงบใจเป็นศาลาพักผ่อนแห่งหนึ่งในพระราชวังอมตะนคร มันตั้งอยู่กลางสระผักตบชวาที่ชูช่อดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่งเต็มสระ ท่ามกลางความมืดที่มีแสงจันทร์ส่องลงมาเพียงบางเบา มีร่างคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง จากนั้นก็มีชายปริศนาเดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หัวสะพาน ทางเดินทอดสู่ศาลาอยู่ตรงหน้าแต่เขากลับหยุดยืน ไม่ก้าวเดินต่อไป
“พันศรีวะราและขุนศรีไชยะถูกกลุ่มภารดาฆ่าตายแล้วครับ ส่วนหลวงภามก็ตกอยู่ในมือของพวกเราตามแผน”
ชายปริศนาเอ่ยรายงาน แต่เงาร่างผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไร ชายปริศนาจึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในศาลาเป็นใคร ชายหรือหญิง และมีฐานะอะไรในพระราชวัง
“ท่านต้องการให้พวกเราเริ่มลงมือตามแผนขั้นต่อไปหรือเปล่าครับ”
เงาร่างนั้นไม่ได้ตอบกลับด้วยเสียง แต่มีม้วนกระดาษอาคมถูกคว้างออกมา ชายปริศนารับสารไว้แล้วก็ถอยกายออกไปด้วยอาคมย่นระยะทาง เพียงพริบตาเขาก็หายไปจากจุดนี้ ทิ้งไว้เพียงเสียงไอแค่ก ๆ ที่ดังลอดออกมาจากศาลากลางบึงน้ำ
ข่าวด่วนเช่นนี้ไม่เพียงไปถึงพระราชวังเท่านั้น มันยังถูกกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว แม้แต่จ้าวตึกลำธารอย่างทานธรรมก็ยังต้องตกใจเมื่ออังกาบปากระดาษข่าวสารใส่หน้าเขา
“อะไรของเจ้าอังกาบ”
ท่าทางงัวเงียแบบคนขี้เมาของทานธรรมนั้นยังคงเหมือนเดิม เขาไม่แตกต่างไปจากข่าวลือที่ว่านัก แต่งตัวสมถะ ชอบตกปลา ยามว่างก็เป็นต้องเมามาย นี่คืองานอดิเรกของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหอกของกลุ่มภารดา แต่ผู้บริหารตึกลำธารจริง ๆ คงเป็นสาวอวบอั๋นหน้าหมวย ที่กำลังยกดาบพาดคอทานธรรมเสียมากกว่า
“มันหมายความว่าไง”
อังกาบเขี่ยกระดาษอาคมที่ตึกบุปผาเพิ่งส่งมา เธอตกใจมากเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุดังกล่าว เธอกับทานธรรมไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ทานธรรมคว้ากระดาษขึ้นมาก่อนจะดึงเข้าดึงออกห่างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มแห้ง อังกาบรู้ว่าทานธรรมจะพูดอะไร เธอดันใบดาบกดลงไปที่คอของทานธรรมมากขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม
“อ่านมันซะ ถ้าอ่านไม่ได้ ข้าเชือดท่านแน่”
ทานธรรมอ่านออกเสียงตะกุกตะกัก มีหลายครั้งที่อ่านออกเสียงผิด จนความหมายเพี้ยนไป แต่ทานธรรมก็ไม่ได้ใช้เวลาสี่ปีไปโดยสูญเปล่า ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจเนื้อหาในจดหมายได้ แม้จะใช้เวลาอ่านตัวอักษรเพียงไม่กี่สิบบรรทัดเป็นชั่วโมงก็เถอะ
“ข้าเนี่ยนะ ไปเมืองสินธุ”
ทานธรรมครุ่นคิด เขาเองก็จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ไปไหนมา รู้แค่ว่าเขาเดินทางออกจากตึกไปหาเหล้าน้ำผึ้งที่ร้าน พลน้ำผึ้งเว้ยเฮ้ย ! หลังจากนั้น…
“เอ๋ ? ไปไหนอีกที่น้า...” ทานธรรมนึกไม่ออกเสียแล้ว
“เป็นฝีมือท่านหรือเปล่าที่ช่วยคนของตึกบุปผา ฆ่าขุนนางหลวง แถมยังทำลายคฤหาสน์และไร่ข้าวโพดไปครึ่งหนึ่ง”
อังกาบมั่นใจว่าเป็นฝีมือของทานธรรม มีเพียงเขาที่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ หากไม่ใช่เขาก็คงมีแต่ วัฏจักร ศิษย์น้องของทานธรรมเพียงเท่านั้น วัฏจักรเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอโลหิต ทว่าวัฏจักรไม่ใช่พวกแอบอ้างชื่อใคร แต่เขาจะอวดอ้างชื่อตัวเองทุกครั้งที่ก่อเรื่อง ดังนั้นอังกาบจึงเทใจมาทางทานธรรม
ทานธรรมสร่างเมาในทันทีราวกับว่าเขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจ ท่าทางไร้ความสามารถเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม อังกาบเห็นเช่นนั้นก็หน้าแดงเรื่อ เธอไม่เคยเห็นบุคลิกแบบนี้ของทานธรรมมานานแล้ว
ทานธรรมจ้องมองจดหมายก่อนจะมองอังกาบด้วยแววตาจริงจัง
“ลักษณะการต่อสู้เป็นยังไง สภาพแวดล้อมเสียหายกว้างแค่ไหน เจ้าพอจะอธิบายให้ข้าได้ฟังได้หรือเปล่า”
อังกาบเล่าสิ่งที่รู้ออกไปอย่างเต็มใจ ท่าทีผิดกับก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เมื่ออังกาบเล่าจบ ทานธรรมก็ยิ้มออกมา ก่อนล้วงเข้าไปในอกเสื้อดึงจดหมายอาคมที่ถูกพับไว้เป็นอย่างดีออกมา
“ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอกอังกาบ ไม่คิดว่าศิษย์น้องสามจะใช้วิธีนี้ตามหาข้า ไม่แปลกใจเลยทำไมอาจารย์ถึงอยากให้พวกข้าช่วยดูแลเจ้าเด็กนี่นัก ออกจากวัดไม่ทันไรก็ก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้”
อังกาบมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอยังคงจำได้ช่วงที่ทานธรรมและวัฏจักรปรากฏตัวครั้งแรกนั้น หัวเมืองแต่ละแห่งโกลาหลน่าดู ทานธรรมใช้กำลังปกป้องคนดีจากเหล่าคนชั่วสุดท้ายเขาก็ถูกราชวงศ์ตามล่าทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งฝีมือไปเข้าตาพ่อของเธอ ทานธรรมจึงได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มภารดา
ส่วนวัฏจักรนั้น ชีวิตเขาไม่ราบรื่นนัก เขาได้พบรักกับหญิงขายกล้วยแขกหน้าตลาด สุดท้ายเธอก็ถูกฆ่าตายโดยขุนนางที่เธอปฏิเสธที่จะมอบกายให้ ซึ่งวัฏจักรนั้นแตกต่างจากทานธรรม เขาทั้งฉลาดและโหดเหี้ยม เพียงคืนเดียวตระกูลขุนนางนั้นก็ถูกฆ่าจนสิ้น แล้วพื้นที่ของตระกูลก็กลายเป็นที่ฝังศพคนรักของเขา มันเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ทำเพื่อสตรีนางเดียว
อังกาบไม่รู้ว่าศิษย์น้องสามของทานธรรมคนนี้จะก่อเรื่องอะไรอีก เพียงแค่เขาสำแดงฝีมือในครั้งแรก ขุนนางหลวงมากฝีมืออย่างขุนศรีไชยะถึงกับยอมฆ่าตัวตาย ส่วนพันศรีวะราที่แม้เขาจะเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ E ช่วงปลาย ที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรเลย แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นผู้ควบคุมดูแลการเกษตรของเมืองสินธุ ที่คอยบริหารการเกษตรและรวบรวมเสบียง เขาจึงเป็นหนึ่งในคนสำคัญของทางการที่ขาดไม่ได้เลย แม้แต่สายข่าวของกลุ่มบุปผายังสืบหาหลักฐานเอาผิดไม่ได้ นั่นหมายความว่าพันศรีวะราก็มีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน
อังกาบรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ เกรงว่าเรื่องนี้คงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่ หรือว่าศิษย์น้องสามของทานธรรมจะรับใช้ราชสำนัก ถ้าเป็นแบบนั้นคงแย่หน่อย เพราะฝีมือของเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย
“ไปเถอะ”
“ไปไหน” อังกาบงุนงงเล็กน้อย
“ไปเมืองสินธุกัน”
“อ๊าก !!”
เหนือภพร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ในสภาพเปลือยเปล่าที่กำลังแช่อยู่ในถังน้ำว่านสมุนไพร สตรีงามสามนางที่มีฝีมือด้านการแพทย์จากตึกป่ากำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเขา เนื่องจากร่างกายของเขาถูกพิษกัดกร่อนอยู่ใต้เกราะโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย หากไม่เป็นเพราะเหล้าน้ำผึ้งที่สตรีเหล่านั้นนำมาให้ดื่มเพื่อฟื้นฟูกำลังและผ่อนคลายร่างกายแล้วละก็ เขาก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้
เหนือภพอยากจะบ้าตาย เขาไม่น่ากินใบหญ้าฝาดเฝื่อนบ้านั่นเลย มันช่วยกดความรู้สึกเจ็บได้ดี ดีจนเขาอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังดีที่ประสิทธิภาพของมันมีช่องโหว่อยู่บ้าง เมื่อเขาได้รับของหวานเข้าไปในร่างกาย ประสาทการรับรู้ความเจ็บปวดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมชั่วคราว
เขาต้องปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า สักวันเขาต้องหาทางแก้ฤทธิ์ใบหญ้าฝาดเฝื่อนนี้ให้ได้
“อ๊าก !!”
เมื่อตัวยาอีกชนิดหนึ่งถูกโรยใส่รอยแผลกัดกร่อน เขาก็เดือดพล่านราวกับหมูถูกทอดในกระทะร้อนทั้งเป็น มันมีเสียงซ่าออกมาพร้อมกับควันดำเหม็น เขาเกร็งร่างกายนิ้วมือจับเกาะขอบถังน้ำหนากว่าห้านิ้ว จนนิ้วมือทะลุแผ่นไม้อีกด้าน เขากัดฟันทน แต่ก็มีหลายครั้งที่เขากรีดร้องออกมา
“มันคือพิษอะไร” เหนือภพถามด้วยเสียงกระเส่า
“พิษว่านพรายทมิฬเจ้าค่ะ”
“ว่านพรายทมิฬ มันเป็นว่านชนิดเดียวกับว่านที่ใช้เพิ่มพลังให้ผู้มีพรสวรรค์รึเปล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ ชนิดเดียวกัน แต่ว่านพรายทมิฬตัวนี้น่าจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดมนุษย์แทนน้ำ ใช้ปราณอาคมฟูมฝักเป็นเวลานาน แล้วนำปรุงด้วยศาสตร์เฉพาะจนทำให้เกิดควันพิษชนิดหนึ่งที่ทะลุผ่านได้แม้แต่โล่อาคม คนที่ทำเช่นนี้ได้มีเพียงศิษย์ของอาศรมป่าช้าพันปีเท่านั้น ไม่ทราบว่านายท่านไปประมือกับใครมาเจ้าคะ ถึงได้ถูกพิษปริมาณมากเช่นนี้”
“หลวงภาม”
เหนือภพตอบอย่างไม่ปิดบัง และนั่นดูเหมือนว่าจะเพิ่มอรรถรสในการสนทนาได้ดี พวกเธอดูจะชื่นชอบวีรบุรุษ โดยเฉพาะวีรบุรุษที่อัดขุนนางหลวง
การคุยกับพวกเธอทำให้เหนือภพรู้สึกผ่อนคลาย และการถอนพิษก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ดังนั้นเพียงแค่คืนเดียวเหนือภพก็กลับมาเป็นปกติ
ช่วงสายของวันต่อมา เหนือภพก็ขอลาจากหอร้อยบุปผาเมืองสินธุ เขาออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก ใช้เวลาไม่ถึงสองวันดีก็มาถึงบริเวณเขตแดนป่าสินธุ ป่าที่มีเทือกเขาขนาดใหญ่เทียมฟ้าทอดตัวยาวราวกับพญานาคราชที่กำลังนอนคดเลี้ยวสุดลูกหูลูกตา ที่นั่นมีเหมืองแร่แห่งหนึ่งมันคือเหมืองโชคไพศาล