ตอนที่ 25 เจ้าหลอกข้า
“บอกมาสิ ข้าฟังอยู่”
หลวงภามตอบกลับไปขณะดึงถุงหนังที่บรรจุน้ำออกมาดื่ม เหนือภพเห็นแบบนั้นก็ส่ายหัว
‘เจ้านี่ มันจริง ๆ เลย แม้ข้าจะเลียนแบบท่าทางผ่อนคลายของมัน แต่ก็ยังนิ่งไม่เท่ามัน’
หลวงภามเห็นสายตาของเหนือมองมา เขาก็ยื่นถุงหนังให้พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาเริ่มอารมณ์ดีแล้ว
“เอาไหม”
เหนือภพส่ายหน้า
“ขืนกินของเจ้า ข้าได้ตายพอดี ใส่อะไรลงไปบ้างก็ไม่รู้”
“รีบ ๆ บอกมาสักที ว่าเกราะนั่นเจ้าได้มาจากที่ไหน”
เหนือภพเขาไม่ได้รีบตอบ เขาแค่ต้องการอดทนรอเพียงแค่ 32 วินาทีเท่านั้น เขาก็สามารถใช้พละกำลังระดับ 6 ได้
“ชื่อของมันก็คือ มัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร”
เหนือภพพูดรัวเร็ว จนหลวงภามฟังไม่ทัน
“ห่ะ ? เจ้าว่าอะไรนะ”
“โธ่ เจ้านี่โง่หรือเปล่าเนี่ย ข้าจะพูดให้ฟังครั้งสุดท้ายนะ ฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดี ข้าไม่พูดด้วยแล้ว พร้อมรึยัง”
หลวงภามพยักหน้าราวกับเด็กน้อยที่กำลังตั้งใจฟังครูสอน
“ชื่อของมันก็คือ มัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร”
พอหลวงภามได้ฟังชื่ออีกครั้ง เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แม้ชื่อจะยาวเกินไป แต่ก็รู้สึกถึงเอกลักษณ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียว
ความแข็งแกร่งของมันน่าจะเทียบได้กับเกราะป้องกันตัวของรัชทายาท มันน่าจะสร้างมาจากชิ้นส่วนของสัตว์อสูรแรงค์ D ขั้นสูง ที่ต่อให้ฮันเตอร์แรงค์ C ก็ยังไม่สามารถทำลายลงได้โดยง่าย
“ฟังรู้เรื่องแล้วนะ”
เหนือภพถามย้ำพร้อมกับอมยิ้ม ตอนนี้กำลังกล้ามเนื้อของเขาเพิ่มมาถึงระดับ 6 แล้ว เมื่อเห็นว่าหลวงภามพยักหน้าหงึกหงัก เขาก็กล่าวต่อไปในทันที
“มาต่อกันเถอะ”
รอยยิ้มกว้างที่แฝงไปด้วยความอันตรายของเหนือภพทำเอาหลวงภามเริ่มเอะใจ ลางสังหรณ์เลวร้ายปรากฏขึ้นเป็นภาพในหัวของเขา สิ่งที่เขาเห็นในจิตคือภาพร่างกายของเขาถูกระเบิดฉีกขาด ทุกชิ้นส่วนล้วนแหลกเหลว มันช่างน่าอนาถถึงที่สุด
ด้วยความตื่นกลัว เขารีบเอ่ยปากในทันที
“เจ้าหลอกข้า”
เจ้าเด็กนี่กำลังเตรียมใช้วิชาโจมตีรุนแรงแน่ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ชวนเขาคุยนานแบบนี้
“สหัสเดชะ”
คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของเหนือภพทำให้หลวงภามเปลี่ยนใจที่จะตอบโต้ เมื่อภาพลางสังหรณ์ที่เขาเห็นนั้นมันชัดเจนมากขึ้น
หลวงภามเปลี่ยนใจเคลื่อนตัวหนีออกห่าง เป็นโชคดีของเขาแล้วที่เลือกฝึกวิชาสัมผัสลางร้ายมาจากอาจารย์ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะเดินเข้าไปหาความตายด้วยตัวเองก็เป็นได้
ผิวหนังของเหนือภพกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ขณะที่แขนซ้ายของเขานั้นมีอักขระสีทองรูปยักษ์ถือตะบองปรากฏทะลุเสื้อผ้า ทะลุเกราะเจ็ดสีออกมา ผมสีม่วงเข้มที่เคยสั้นเกรียนก็งอกยาวสยายเป็นแพผมขาว ส่วนใบหน้าของเขาก็ปรากฏเป็นภาพยักษ์ดุร้ายนัยน์ตาแดงก่ำ ปากแสยะกว้าง มันคือรูปลักษณ์เช่นเดียวกับยักษ์อาคมที่ปรากฏค้ำอยู่เบื้องหลังของเขา
ยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ สร้างความหวาดกลัว ความน่าเกรงขาม และแผ่พลังอำนาจออกมา จนทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ท่าทางของเหนือภพเปลี่ยนไป มือขวาที่เกร็งไว้เหวี่ยงชกออกไปด้านหน้า โถมกำลังทั้งหมดภายในร่างกายใส่เข้าไปในหมัดนี้ ทิศทางที่เล็งไปคือทิศที่หลวงภามเคลื่อนตัวหนีด้วยอาคมย่นระยะทาง เพียงแค่ไม่กี่ก้าว มันก็ไปไกลกว่าห้าสิบเมตรแล้ว
ทันทีที่เหนือภพออกหมัด พื้นที่เบื้องหน้าเขาก็ถูกแทนด้วยกระแสลมกรรโชกผสมไปด้วยแสงส้มทองจากปราณอาคมที่บิดเป็นเกลียวผสานไปกับสายลมหมุน กระแทกไถหน้าดินเป็นร่องกว้าง เริ่มจากหนึ่งเมตรขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เป็นรูปกรวยที่เปิดกว้างออก ระยะทางที่มันขยายออกไปนั้นกว้างจนทำให้ไร่ข้าวโพดถูกความร้อนเผาไหม้เสียหาย เสียงอากาศแตกร้าวราวกับแผ่นฟ้าจะแยกออกจากกันด้วยหมัดนี้ สรรพสิ่งในรัศมีสิบเมตรสะเทือนเลื่อนลั่นสั่นไหวรุนแรง กรวดทรายแตกร้าวดีดเด้งขึ้นมาราวกับฝุ่นผงบนหนังกลอง พื้นดินถูกแรงอากาศไถเพียงพริบตาเดียวร่างของหลวงภามก็ไม่อาจหลบหนีได้พ้น
แสงสีทองหมุนเกลียวไล่ตามหลังหลวงภามไปได้ทันเวลา แต่หลวงภามไหวตัว ชักดาบประจุพรายออกมาต้านรับพร้อมถอยหนี ควันดำก่อตัวเป็นกำแพงหนาซ้อนหลายสิบชั้น ต่อต้านไว้อย่าเหนียวแน่น แต่สุดท้ายควันดำที่เป็นเพียงความเย็นยะเยือกก็ไม่อาจต้านปราณอาคมที่เปรียบเสมือนความร้อนของดวงตะวัน มันต้านไว้ได้เพียงไม่กี่สิบวินาที ก็ถูกแสงอาคมสีส้มทองเผาไหม้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ดาบประจุพรายที่คู่กายหลวงภามมานาน มันหักสะบั้นเป็นสองท่อน
ร่างกายของหลวงภามไม่เพียงถูกความร้อนจากปราณอาคมของเหนือภพเผาไหม้ ยังถูกแรงดีดสะท้อนจากวิญญาณร้ายที่เขากักขังไว้ภายในดาบย้อนกลับมาทำร้าย ปราณอาคมคุ้มกายของหลวงภามรวมถึงของขลังคุ้มกายคล้ายสิ้นฤทธิ์ไปชั่วขณะ อาการที่สาหัสอยู่แล้วก็ยิ่งสาหัสมากขึ้นไปอีก
เหนือภพถือคติที่ว่า ‘ตีงูถ้าตีไม่ตายก็ต้องเอาให้เละ เอาให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้อีกเลย’
เหนือภพดีดตัวขึ้นฟ้า เตรียมพร้อมใช้กระบวนท่าถุงเงินหล่นฟ้าปิดฉากการต่อสู้อันยาวนานนี้
แต่จู่ ๆ ก็มีฮันเตอร์แรงค์ D ปลดปราณอาคมแข็งกร้าวห้าคนปรากฏตัวออกมาพร้อมกันสกัดการโจมตีของเขา หมายพาร่างหลวงภามจากไป พร้อมทิ้งข้อความเอาไว้ว่า
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือคนของกลุ่มภราดาหรอก”
แม้ฮันเตอร์ทั้งห้าจะมีฝีมือเทียบหลวงภามไม่ได้ แต่หากพวกเขาร่วมมือกันสู้โดยใช้วิชาปราณจำเพาะอย่าสุดฝีมือ คนเก่งที่หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเหนือภพก็ไม่ใช่คู่ต่อกร
กว่าเหนือภพจะสลัดหลุดจากการบุกโจมตีออกมาได้ หลวงภามก็ถูกพาตัวหายลับไปแล้ว
“พวกชั่วนี่ ตายยากจริง ๆ”
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่พอใจอย่างมาก หากปล่อยมันรอดไปครั้งนี้ การจะหาตัวมันพบอีกครั้งก็คงยาก แต่ก็ยังดีที่เขาคว้าเงื่อนงำบางอย่างมาได้
เหนือภพแบมือออก สิ่งนั้นคือเศษชุดเกราะของหนึ่งในฮันเตอร์พวกนั้น วัตถุดิบที่ใช้สร้างชุดเกราะนั้น แต่ละตระกูล แต่ละเมือง แต่ละร้านย่อมมีวิธีการทำที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการตามตัวพวกมันไม่น่าใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เหนือภพหันมองรอบกายก็เห็นสภาพไร่ข้าวโพดที่ย่อยยับจากการต่อสู้ ไร่ข้าวโพดกว่าร้อยไร่เละเทะ พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ส่วนคฤหาสน์ตระกูลศรีเหลือเพียงเศษซาก โชคดีที่ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นแอบซ่อนอยู่ที่ห้องใต้ดิน พวกเขาจึงยังคงปลอดภัยและยังคงอิ่มเอมกับการทรมานพันศรีวะรา
เหนือภพลงมาที่ห้องใต้ดิน มองเห็นร่างกายของพันศรีวะราที่เละเทะ น่าสยดสยอง โดยเฉพาะกล่องดวงใจที่ย้ายตำแหน่งไปอยู่ในปากเสียแล้ว และทุกครั้งที่มันถูกทรมาน มันก็ต้องขบกัดของรักของตัวเองแบบนั้น แค่คิดก็สยองแล้ว
เหนือภพเกร็งกำปั้น เขาไม่ควรทำให้คนดี ๆ อย่างขุนศรีไชยะต้องผิดหวัง ในเมื่อเขาใช้ชีวิตแลกกับความตายอย่างสงบของพี่ชาย เขาก็ไม่ควรปฏิเสธ
“ท่านคิดจะทำอะไร”
จู่ ๆ หญิงสาวหน้าสวยคนเดียวกับที่เขาเจอบนห้องนอนก็มาปรากฏกายอยู่ข้าง ๆ
‘นี่เธอไม่คิดจะสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดหน่อยเหรอ’
เหนือภพมองไปที่ทรวงอกของเธอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นก็เบนสายตาไปยังร่างสุดอนาถนั้น เขายังคงแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะปลิดชีวิตมัน
“ท่านผู้มีพระคุณ พวกข้าเป็นหนี้ท่าน แต่ท่านจะให้คนอย่างมันตายไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้ ไม่สาสมกับมันทำกับพวกเราไว้”
หญิงสาวร่างผอมแห้งอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น หน้าตาของเธอเสียโฉมจากการถูกเหล็กร้อนนาบ แล้วเธอก็ปลดเสื้อผ้าออกเผยให้เห็นรอยการถูกทรมาน จนไม่เหลือพื้นผิวหนังเรียบเนียนแม้แต่ตำแหน่งเดียว
แล้วเธอก็ชี้ไปที่คนอื่น ๆ พวกเขาปลดเสื้อผ้าทีละคน ทีละคน ทั้งหญิง ชาย เด็ก และคนแก่ เขามองพวกเธอ ก่อนจะหันมองไปทางพันศรีวะรา เขาเข้าใจแล้วว่าความแค้นของอิสตรีนั้น ร้อยปีค่อยเอาคืนก็ไม่สาย
เหนือภพคลายมือที่เกร็ง พ่นลมหายใจออกมา ไม่ว่าเขาจะเรียนพระธรรมมามากแค่ไหน แต่เขาก็หาเหตุผลมาแย้งพวกเขาไม่ได้
เมตตาแล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรมงั้นหรือ หากเวรกรรมมีจริง คนชั่วก็คงหมดไปนานแล้ว แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม คนดีอายุสั้น คนชั่วกลับอายุยืนยาว ดูอย่างเจ้าศรีวะรานี่ มันโดนมากขนาดนี้มันยังไม่ตายเลย ท้ายที่สุดแล้วเหนือภพก็ยังไม่อาจเข้าใจถึงหลักธรรมลึกซึ้งที่พระอาจารย์พร่ำสอน
เหนือภพหันหลังให้คนเหล่านั้น แล้วก็กระโดดกลับขึ้นไป ทว่ากลับมีคนหนึ่งกระโดดสวนทางกับเขา ลงมาสะบั้นหัวของพันศรีวะราจนขาด
“ตามหาเสียนานในที่สุดก็เจอตัวเสียที”
ชายผู้มาใหม่ยืนนิ่งมองศีรษะของพันศรีวะราที่อยู่ในมืออย่างพอใจ
เหนือภพหันขวับเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคย
‘เจ้าคนไร้ชื่อที่เจอกันในป่านี่ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้’
เหนือภพไม่คิดจะทักทาย เขารีบหลบหน้าหนีทันที
‘เจ้าบ้านั่นดันไปปลิดชีวิตเหยื่อของสตรีคลั่งเหล่านั้น ขืนข้าแสดงออกว่ารู้จักกัน ข้าได้ติดร่างแหไปด้วยแน่’
แต่เหนือภพก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก เพราะผู้ไร้ชื่อคนนั้นหิ้วศีรษะจากไปในทันที
เหนือภพมุ่งตรงมาที่ศพของขุนศรีไชยะ เขาอุ้มร่างไร้ชีวิตนั้นไปฝังที่กลางไร่ข้าวโพด เขายังไม่ได้ตัดสินใจจากไปไหน รออยู่ที่นั่นจนกระทั่งผู้เคราะห์จากตระกูลศรีแยกย้ายกันจากไปหมด หวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
“เอ๊ะ แมวล่ะ”
เหนือภพไล่ตามหาแมวดำแต่ก็คว้าน้ำเหลว จากนั้นก็เข้าไปหาทรัพย์สมบัติในคฤหาสน์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อหาอะไรไม่เจอเขาก็กลับมาห้องใต้ดินอีกครั้ง เพื่อนำร่างของพันศรีวะราไปฝังใกล้กับหลุมศพน้องชายเขา ตอนมีชีวิตไม่ต่างจากพิษร้ายกัดกินโลก อย่างน้อยตอนตายก็ได้เป็นปุ๋ยทำประโยชน์ให้แก่ไร้ข้าวโพด
เหนือภพพนมมือขึ้นเอ่ยบทสวดส่งคนตาย ก่อนจะเอ่ยปิดท้ายว่า
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำเพื่อพวกเจ้าได้”
พูดจบเหนือภพก็เดินไปเด็ดฝักข้าวโพดฝักโต ๆ จำนวนมากใส่ถุงหนัง
“อย่ามาหลอกหลอนข้านะ คิดว่าเป็นค่าฝังศพพวกเจ้าก็ได้”
เหนือภพพูดติดตลกกับหลุมศพ ก่อนจะมองไปทิศทางหนึ่ง เสียงแหวกทุ่งข้าวโพดเข้ามาทางเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปรากฏร่างยั่วยวนของหญิงสาวคนเดิมโผล่ออกมา พร้อมกับเพื่อนสายลับสาวอีกสองคน
เหนือภพทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม
“นี่เจ้าไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยหรอ ?”
เธอก็ช่างยั่วยวนผู้คนได้เก่งจริง ๆ เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อย ถ้าไม่ติดว่าผู้ชายต้องเสียเงินเลี้ยงดูเมียนะ เขาจะจับเธอทำเมียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย