ตอนที่ 20 สำนักงานฮันเตอร์
เหนือภพเดินสำรวจเมืองไปเรื่อย ๆ จนถึงสำนักงานฮันเตอร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทุ่งนาข้าวหลายร้อยไร่ที่ปลูกไว้ภายในเขตเกษตรกรรมของเมืองสินธุ ด้วยความตั้งใจอยากสำรวจเรื่องราวต่าง ๆ ของฮันเตอร์ในเมืองนี้ ถ้าหากมีภารกิจที่เกี่ยวกับเหมืองโชคไพศาลก็ยิ่งดี นั่นจะเท่ากับว่าเขาขุดครั้งเดียวแต่ได้เงินสองต่อ
ตัวอาคารสำนักงานเป็นอาคารไม้สามชั้นยกสูงเหนือพื้น จนสามารถมองเห็นใต้ถุนอาคารที่เรียงรายไปด้วยร้านรับฝาก/แลกเงินของทางสำนักงาน ร้านค้าขายอาวุธ ชุดเกราะ ยา และอาหาร นอกจากนี้ก็ยังมีแพทย์ฉุกเฉินประจำการคอยรักษาฮันเตอร์บาดเจ็บ
เหนือภพเดินขึ้นบันไดชั้น 1 ชั้นนี้เป็นชั้นประกาศภารกิจทุกชนิด ภายในเป็นห้องโถงกว้าง ตามผนังมีป้ายขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษอาคมจำนวนมากแปะติดเอาไว้ โดยแบ่งเป็นโซน ๆ กำหนดระดับแรงค์ที่สามารถรับภารกิจไว้ชัดเจน
เขามองไปที่ป้ายขนาดใหญ่ที่มีควรจะมีภารกิจสำหรับแรงค์ F แปะอยู่ แต่มันกลับว่างเปล่า ส่วนป้ายของแรงค์ E ก็มีกระดาษแปะอยู่ไม่กี่แผ่น ส่วนของแรงค์ D และแรงค์ C นั้น แม้ป้ายจะใหญ่โตเทียบไม่ได้กับป้ายแรงค์ F กับ E แต่บนป้ายกลับเต็มไปด้วยกระดาษอาคมหนาแน่นจนแทบจะไม่มีที่ว่างที่จะแปะกระดาษได้ต่อไป
เหนือภพดึงกระดาษจากป้ายของแรงค์ E มาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ถือมันไปยังโต๊ะบริการตัวยาวด้านในสุดของโถงห้อง ที่นั่นมีพนักงานคอยบริการถึงสิบคน โดยนั่งอยู่คนละจุดของโต๊ะโดยไม่อึดอัด
เหนือภพวางกระดาษลงตรงหน้าพนักงานสาวคนหนึ่ง
“ถ้าข้าจะรับภารกิจนี้ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง”
เขาถามขณะที่พนักงานดึงกระดาษไปดูพร้อมกับอ่านออกเสียง
“ตามหาแมวของลูกสาวพันเพชร ลักษณะของแมวมีขนสีดำ ที่เท้าทั้งสี่ข้างมีขนสีขาว เหมือนสวมถุงเท้า ตัวยาวถึงหางประมาณห้าเมตร แมวหายตัวไปเมื่อ 3 วันก่อน จุดที่หายไปคือไร่ข้าวโพดของพันศรีวะรา ค่าจ้าง 300 เหรียญทอง ไม่จำกัดค่าความน่าเชื่อถือ”
พนักงานสาวเงยหน้าสำรวจเหนือภพอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเหนือภพเป็นเพียงฮันเตอร์แรงค์ F เท่านั้น เธอจึงย้ำถามว่า
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำงานนี้ เจ้าคงเป็นหน้าใหม่สินะ พันศรีวะราน่ะเป็นพวกบ้าอำนาจและก็เกลียดสัตว์เป็นที่สุด ทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับพันเพชรมาตลอด เงินตอบแทนนี่มากพอ ๆ กับภารกิจแรงค์ D ระดับต่ำก็จริง แต่ข้าคิดว่าถ้าเจ้ารับงานนี้ไปก็มีแต่ล้มเหลว ไม่แน่ว่าแมวตัวนั้นอาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้”
“ข้าขอลองได้หรือเปล่า”
“ถ้าอยากลองมันก็ลองได้ แต่เจ้าต้องยอมรับกฎของสำนักงานฮันเตอร์เสียก่อน หากทำภารกิจล้มเหลว 1 ครั้ง เจ้าจะถูกหักคะแนนความน่าเชื่อถือ และความน่าเชื่อถือของมือใหม่อย่างเจ้า คือ 0 แค่นี้ก็หางานทำยากแล้ว แต่ถ้าเจ้าทำภารกิจแรกพลาด ค่าความน่าเชื่อถือของเจ้าจะติดลบ เป็น -1 และเจ้าคงหางานทำอีกไม่ได้แน่ อาจต้องไปทนรับงานจากหอโลหิตเลยนะ”
พนักงานสาวเตือนด้วยความหวังดี พวกฮันเตอร์หน้าใหม่มักไม่ประมาณตนแบบนี้แหละ คิดแต่จะกอบโกยเงินทองด้วยภารกิจง่าย ๆ แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ ความยากก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น แต่เมื่อพนักงานสาวเห็นสีหน้าเชื่อมั่นของเหนือภพก็ไม่อยากห้าม ในเมื่อมันอยากลองของเองก็เอาเถอะ
“ถ้าตกลงก็ยื่นตราฮันเตอร์มาค่ะ”
เหนือภพยื่นแขนขวาออกไปขณะที่พนักงานสาวเอากระดาษอาคมแผ่นหนึ่งมาแปะที่ตราสัญลักษณ์ของเขาพร้อมกับ ใช้หินตราประทับสีดำสนิทคล้ายกับหินแท่นจ้าวอาคมที่เขาเคยเห็นที่หมู่บ้าน ทับลงไปบนกระดาษอาคมแล้วเธอก็ลูบไล้มันไปมา
กระดาษอาคมเรืองแสงขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏอักขระสีแดงขึ้นเต็มใบกระดาษอาคม มันเป็นข้อมูลที่บ่งบอกข้อมูลบางอย่างของฮันเตอร์ให้เห็น
พนักงานสาวถึงกับตาเบิกกว้างเมื่อมองไปยังข้อมูลที่เกี่ยวกับสัตว์อสูร
--สังหารสัตว์อสูรแรงค์ F จำนวน 201 ตัว สังหารสัตว์อสูรแรงค์ E จำนวน 554 ตัว--
“เจ้าทำได้ขนาดนี้ทำไมไม่ไปเลื่อนระดับแรงค์”
การสังหารสัตว์อสูรได้มากขนาดนี้ ฮันเตอร์แรงค์ F ไม่น่าทำได้ นี่ควรจะเป็นผลงานของฮันเตอร์แรงค์ E ช่วงท้าย ไม่ก็ฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงต้นถึงจะทำได้ขนาดนี้
“ก็อยากอยู่นะ แต่ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น”
เหนือภพตอบด้วยท่าทางปกติ แต่มุมมองของพนักงานสาวที่มีต่อเหนือภพได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการดูถูกเปลี่ยนเป็นความเคารพนับถือ เป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F แต่มีปริมาณการฆ่าสัตว์อสูรระดับนี้ มันบ่งบอกว่าเขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้คนมากกว่าระดับแรงค์ พวกที่ชอบเลื่อนขึ้นไปแรงค์สูง ๆ มักใช้มันเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ รักษาอำนาจ หรือไม่ก็อวดเบ่งรังแกผู้คนไปวัน ๆ แทบจะสร้างประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
หากฮันเตอร์แรงค์ D ในเมืองนี้เป็นอย่างเหนือภพ ป้ายประกาศภารกิจคงว่างเปล่าไปตั้งนานแล้ว
แต่ในความคิดของเหนือภพ เขากลับมองต่างออกไป การเลื่อนระดับแรงค์นั้นจำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 5,000 เหรียญเงิน เรื่องอะไรเขาจะจ่าย ถึงเขาจะมีระดับแรงค์น้อยทำให้โดนดูถูก แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ถ้าเขาเสียเงินมันจะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา
หลังจากที่เหนือภพจัดการรับงานเรียบร้อย เขาก็เดินออกมาจากสำนักงานฮันเตอร์ในทันที ขณะที่ยังคงบ่นพึมพำออกมาอย่างหัวเสีย
“บ้าเอ๊ย มันเกินไปแล้ว”
คำพูดของพนักงานคนนั้นยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัวของเขา
“โดยปกติแล้วฮันเตอร์จะไม่สามารถรับงานข้ามแรงค์ได้นะคะ แต่เห็นว่าเจ้าเพิ่งมารับงานที่สำนักงานฮันเตอร์ที่สาขาของเราเป็นครั้งแรก จึงยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ แต่เจ้าจะได้ผลตอบแทนแค่ 100 เหรียญทองเท่านั้น”
เหนือภพยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสียเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ได้รับเงินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ฮันเตอร์แรงค์ E ได้รับ แต่เขาก็ยังเดินมุ่งไปในทิศทางที่พนักงานสาวแนะนำ เส้นทางนี้มีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะเจอแมว
ณ คฤหาสน์ของพันศรีวะรา
เสียงหอบกระเส่าของหญิงสาวผมสีแดงเพลิงและชายวัยกลางคนผสมปนเปกันอย่างดุเดือด ขณะที่อารมณ์ของทั้งสองกำลังจะถึงจุดที่ระเบิด ก็พลันมีเสียงร้องของแมวก็ดังขึ้น
เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว
เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์ ทำลายบรรยากาศของคู่ชายหญิงเสียหมด จนชายวัยกลางคนผลักสาวอวบอึ๋มออกจากอ้อมกอด
แต่ไหนแต่ไรมาเสียงสัตว์ร้องมักทำให้เขารู้สึกคลั่ง
“ไอ้ห่าดำ มึงช่วยหุบปากไอ้แมวนรกนั่นสักที หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างสิโว้ย ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก”
ศรีวะราตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย ขณะหันไปมองสาวงามกับเสื้อผ้าน้อยชิ้นบนเตียง เธอตกใจหน้าซีดเผือดในขณะที่แววตายังคงยั่วยวนเขาอยู่ แต่ลึก ๆ แล้วก็กลับซ่อนความรังเกียจอยู่ไม่น้อย
ศรีวะราหันมาจับแก้มของหญิงสาวโน้มเข้ามาจูบหน้าผาก แล้วกระซิบเบาๆ
“รอผัวสักครู่นะแม่คนงาม ข้าขอไปทำธุระสักครู่ เดี๋ยวจะรีบมาเชยชมเจ้า”
“อื้อ นายท่าน”
คำตอบรับจากริมฝีปากอวบอิ่มเต็มไปด้วยเสียงเย้ายวนทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกกระชุ่มกระชวยแท่งเนื้อลุกชูชัน แทบไม่อยากผละจากสาวงามไป แต่เจ้าแมวบ้าที่เขาเอามันมาขังไว้ กลับชอบร้องเสียงดังน่ารำคาญขัดจังหวะสนุกของเขาทุกที
ศรีวะราลากดาบยาวลงมายังชั้นใต้ดิน ที่นี่เต็มไปกรงขังของสิ่งมีชีวิตมากมายเฉพาะมนุษย์ เขามองกวาดไปรอบด้าน เห็นกรงที่มีซากมนุษย์ผอมแห้งจากถูกอดน้ำอดอาหารจนตาย และกรงที่มีแมวใหญ่สีดำสนิทตัวหนึ่ง ดวงตาของมันแดงก่ำ ขาคู่หน้าที่เหมือนสวมใส่ถุงเท้าสีขาวของมันกระแทกเข้ากับกรงเหล็กรุนแรงดังปัง จนทำให้ศรีวะราถึงกับสะดุ้ง
“มึงอยากตายมากใช้ไหมไอ้แมวชั่ว”
ร่างกายและดาบของศรีวะราเปล่งแสงสีทองอ่อน ดาบถูกยกขึ้นพร้อมกับที่เขาเดินตรงเข้าไปใกล้ประตู หวังเปิดเข้าไปแล้วฆ่ามันให้ตาย จะได้จบ ๆ เรื่องไป
แต่ในขณะนั้นเอง ไอ้ดำพ่อบ้านของคฤหาสน์ก็วิ่งลงมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“นายท่านศร ท่านอย่าได้ทำแบบนั้น ท่านทำแบบนั้นไม่ได้”
“ไอ้ดำ มึงมาก็ดี กูจะฆ่ามึงให้ตายด้วย”
ศรีวะราโมโหสุด ๆ แล้ว เขาเกลียดเสียงแมว และเขาก็เกลียดเวลาที่พวกลูกน้องทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ
เจ้าดำรู้จักนิสัยของเจ้านายเป็นอย่างดี เขารีบคุกเข่าพร้อมกับพูดเตือนสติเจ้านายอย่างรวดเร็ว
“ท่านฆ่าบ่าวคนนี้ได้ แต่ท่านจะฆ่าแมวพระราชทานตัวนั้นไม่ได้นะขอรับ”
เมื่อเห็นว่าเจ้านายชะงักไปนิดหนึ่ง เขาจึงมีโอกาสได้พูดต่อ
“นายท่านอย่าลืมสิขอรับ แมวราตรีตัวนี้พันเพชรได้รับพระราชทานมาจากองค์เจ้าแคว้นเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาวของเขา”
“บัดซบเอ๊ย ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ โธ่โว๊ย”
ศรีวะราเขวี้ยงดาบปักพื้นหินลงไปเกือบครึ่งเล่มอย่างต้องการระบายอารมณ์ เขาพยายามสงบใจตัวเอง ขณะที่แมวราตรียังคงร้อง เมี้ยว เมี้ยว มันจ้องมองศรีวะราราวกับกำลังยิ้มเยาะกวนประสาท
ศรีวะราได้แต่อดทน หากไม่มีพ่อบ้านดำคอยให้ความช่วยเหลือและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เข้าใจ และช่วยย้ำเตือนเขาว่านี่คือแผนร้ายของพันเพชรเขาคงตกหลุมพรางที่มันขุดไว้นานแล้ว
เจ้าพันเพชรมันวางแผนนี้มาเพื่อกำจัดเขาโดยเฉพาะ มันตั้งใจส่งแมวราตรีตัวนี้เข้ามาในเขตคฤหาสน์ของเขา ทั้งยังสร้างเรื่องให้สำนักงานฮันเตอร์ช่วยออกตามหาแมวตัวนี้
ด้วยฐานะและความขัดแย้งตลอดครึ่งค่อนชีวิตของเขาและพันเพชร ผู้คนจะมองเขายังไงถ้าเขาเอาแมวตัวนี้ไปคืน มันก็เหมือนเป็นการบอกว่า เขาขโมยแมวพระราชทานของมันมา แต่ถ้าไม่ยอมคืนตรง ๆ แล้วแอบปล่อยแมวออกไปก็เป็นไปไม่ได้อีก พวกมันก็คงลงทุนฆ่าแมวนั้นและหาวิธีป้ายความผิดมาให้แก่เขาจนได้
สถานการณ์มาถึงตอนนี้ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เขาก็หลบหนีเภทภัยครั้งนี้ไม่พ้น ได้แต่หวังว่าน้องชายของเขาจะกลับมาช่วยได้ทันเวลา