คาถาที่ 35 : Go back to hell 1
ไหว้พระกันเสร็จ ผมกับเพื่อน ๆ ก็เดินออกมาด้านนอกตัวโบสถ์เพื่อจุดธูปเทียนตามธรรมเนียม
ผมมองหาไอ้อิฐที่ตอนแรกมายืนรออยู่แถวนี้แต่ก็ไม่เจอ ไหนมันบอกว่าจะยืนรอตรงนี้ไง นี่เข้าไปกันแป๊บเดียวเองออกมามันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มองหาแถวใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ ที่บอกให้ไปนั่งรอก็ไม่มี รอจนเกือบสิบนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ไอ้คีย์เลยบอกผมว่าให้ลองโทรหามันดูเพราะจะเริ่มถ่ายคลิปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติแล้ว จังหวะที่ผมกำลังยกมือถือขึ้นแนบหูตัวเองเพื่อโทรหามัน มือของใครบางคนก็มาแตะที่ไหล่พอดี ทำให้ผมหันไปมอง
“กูไปล้างหน้ามาน่ะ มีใครจะกินน้ำไหม กูซื้อมาเผื่อ”
เป็นไอ้อิฐเองที่เดินมาทางด้านหลังของผมแล้วแตะไหล่ หน้าตามันดูเหมือนจะสดชื่นขึ้นนิดหน่อย ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ที่บริเวณใบหน้าอยู่เลย ไอ้อิฐยื่นถุงที่ใส่ขวดน้ำไว้สามสี่ขวดให้ไอ้คีย์ ส่วนไอ้คีย์ก็หยิบมาหนึ่งขวดก่อนส่งให้คนอื่นต่อ
“โอเคถ้ามากันพร้อมแล้วก็ไปถ่ายเลย”
พวกผมเดินหากลุ่มชาวต่างชาติไม่นานก็เข้าไปสัมภาษณ์ มีมายมายเลยทีเดียวเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ด้วย คนค่อนข้างจะเยอะเป็นพิเศษ พวกเราพยายามจะหาให้หลากหลายกลุ่มเชื้อชาติเพราะต้องการสัมภาษณ์ถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของประเทศเขาและประเทศเรา สัมภาษณ์ไปได้หกเจ็ดคนพวกเราก็คิดว่าเพียงพอต่อการนำไปตัดต่อได้แล้ว ส่วนรายละเอียดในตัวรายงานค่อยไปคุยกันนอกรอบทีหลัง ดูเหมือนว่าจะสัมภาษณ์ไปเพียงไม่กี่คน แต่กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปนานพอสมควร รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว พวกเรามากันตั้งแต่แปดโมงเช้า นี่ก็ปาไป 3 ชั่วโมงพอดี
“อิฐไปถ่ายรูปรอบ ๆ วัดกันไหม ไหน ๆ ก็มาแล้ว กูอยากได้รูปบ้าง มึงถ่ายโคตรสวย แวะไปถ่ายแถวหลังวัดกัน น่าจะได้มุมที่มีรูปอาร์ต ๆ เท่ ๆ อยู่ เสร็จแล้วค่อยไปหาข้าวกิน” คนพูดเป็นไอ้แมทที่หันมาชวนไอ้อิฐเอง
“เอาดิ เดี๋ยวกูถ่ายให้” อิฐพูดขึ้นมาเรียบ ๆ ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ผมหันไปมองหน้าไอ้คีย์เป็นเชิงถามว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม เพราะตอนนี้มีแค่ผมกับไอ้คีย์ที่รู้ว่าตอนนี้ไอ้อิฐมันเป็นยังไง ไอ้คีย์ยักไหล่พร้อมส่ายหัวเบา ๆ แล้วเดินต่อ เห็นนิ่ง ๆ เหมือนทะเลสงบแบบนี้ ผมล่ะกลัวว่าจะเกิดพายุลูกใหญ่เข้าซะจริง แต่เอาเถอะ คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง ว่าแล้วผมกับคนอื่น ๆ ก็เดินตามหลังไอ้แมทไป
บริเวณด้านหลังวัดค่อนข้างร่มรื่น มีโบราณสถานประปรายให้เดินดูรอบ ๆ กำแพงอิฐที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ พังบ้างไม่พังบ้าง บางคนก็เข้าไปถ่ายรูปอาร์ต ๆ แถวนั้นกัน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะนักหรอก มันคือวัดนี่ครับ แต่ผมก็เห็นพวกวัยรุ่นอยู่แถวนั้นเยอะอยู่ดี เพราะเลยออกไปด้านนอกของวัดหน่อยจะมีร้านกาแฟเล็ก ๆ ตกแต่งให้คนเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้ด้วย คนที่มาเที่ยววัดนี้ส่วนใหญ่เลยชอบเดินมาหลังวัดถ่ายรูปแล้วไปแวะร้านกาแฟด้านหลังกัน
ผลัดกันถ่ายรูปเล่นไปสักพักก็เริ่มร้อน แดดช่วงใกล้เที่ยงนี่มันโคตรเผาผลาญเลย เห็นแบบนี้ไอ้แมทโคตรจะบ้ากล้อง ไม่รู้ได้ไปกี่รูป แต่จากที่ดูนี่คือเยอะมาก ไอ้อิฐก็ไม่มีบ่นสักคำ เป็นตากล้องไปเงียบ ๆ มีใยไหมกับผมที่เข้าไปแย่งเป็นนายแบบ นางแบบแข่งกับไอ้แมทเป็นระยะ ส่วนไอ้คีย์ก็คุยกับเร็นเรื่องเนื้อหาในรายงานกันไประหว่างรอพวกเรา พวกนั้นดูไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร
“อิฐ มึงยังไม่มีรูปเลย เดี๋ยวกูถ่ายให้ เอากล้องมา” ผมบอกไอ้อิฐไป เห็นมันถ่ายรูปให้แต่คนอื่น ตัวเองยังไม่มีรูปเลย
“ไม่เป็นไรอะ กูไม่อยากถ่าย” อิฐตอบผมกลับมา เออไอ้นี่ก็แปลกคน เห็นมันชอบถ่ายแต่ต้นไม้ใบหญ้าท้องฟ้า ถ่ายคนอื่น ชอบถ่ายรูปแต่กลับไม่ชอบถ่ายตัวเองซะงั้น โอเคไม่ถ่ายก็ไม่ถ่าย งั้นมาถ่ายหมู่ละกัน ว่าแล้วผมก็เดินไปหาไอ้คีย์พร้อมควักมือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“พวกมึง ! มาเซลฟีกัน ไอ้คีย์มึงถือกล้อง” ผมพูดพร้อมยื่นมือถือตัวเองส่งให้ไอ้คีย์
“กูอีกละ เออ ๆ มา ๆ” ไอ้คีย์บ่นแต่ก็รับมือถือขึ้นไปยกหามุมถ่าย
“หรือมึงจะให้ไหมถือล่ะ เดี๋ยวหน้าได้บานเต็มกล้องพอดี อีกอย่างอยู่หน้ากล้องนี่ขาวขึ้นสองเท่าเลยนะ” ผมพูดออกไปขำ ๆ แกล้งแซวไหมกับไอ้คีย์เล่น
พูดจบเสียงตะโกนก็ดังเข้ามาในรูหูทั้งสองข้างของผมเอง
“เชี้ยชา !” ดังมาจากไอ้คีย์
“ไอ้บ้าชา !” ตามมาด้วยใยไหม
ไอ้คีย์ไม่เท่าไร มาแต่เสียง แต่ของไหมนี่ซิ มาพร้อมกับคนพูดฟาดหลังผมมาดังบึก คนบ้าไร แซวนิดเดียวตีซะหลังแทบหัก สร้างเสียงหัวเราะให้กับรอบ ๆ แต่คงจะไม่ได้ผลเลยกับไอ้อิฐ ที่ผมคอยสังเกตท่าทีมัน ดูไม่สนใจโลกเลย เห็นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้จะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน คนหนึ่งก็เพื่อน อีกคนก็เพื่อนและอีกคนก็น้อง ผมไม่รู้จะพูดยังไงเลย
หลังจากถ่ายรูปเล่นกันเสร็จ พวกผมก็เดินเลาะมาทางด้านหลังของวัดไปเรื่อย ๆ เพื่อออกไปหาอะไรกินกันเป็นมื้อเที่ยง ไม่อยากขับรถออกมาเพราะแถวนี้เป็นซอยแคบ รถยิ่งติด ๆ อยู่ เห็นไหมบอกว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสเด็ดจะแนะนำ พวกเราเลยเดินตามไหมไป เดินไปประมาณห้านาทีก็ถึงร้านที่ไหมบอก คนเยอะเลยแฮะ เลยต้องยืนรอกันพักหนึ่งถึงจะมีที่นั่ง
พอจดเมนูลงในกระดาษเสร็จ ต่างคนก็หยิบมือถือของตัวเองออกมาเล่น ผมเองก็หมดแรงเหมือนกัน ไม่รู้จะพูดอะไร เหงื่อชุ่มไปทั้งหลังแล้วเนี่ย เดินไปเดินมาทั่วทั้งวัด แดดก็แรง อากาศก็ร้อนอีกต่างหาก ระหว่างที่ต่างคนต่างเล่นมือถือกันไปแบบเพลิน ๆ เสียงใสก็ดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าจากจอมือถือตัวเองขึ้นไปมอง
“เฮีย”
สำหรับผม คำเรียกนั้นมันกลายเป็นคำอุทานในใจของผมเอง โดยมีหอหีบอยู่ตรงกลางแทน แล้วมีไม้โทเพิ่มขึ้นด้านบน ...
ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยกี้ ! นั่นไง พายุที่จะทำให้ทะเลสงบกลายเป็นทะเลเดือด
ใช่แล้ว ! เป็นกี้น้องสาวผมเองที่เรียก เจ้าตัวเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ผมเห็นบ่อย ๆ ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมอยากจะบ้าตาย อะไรมันจะเหมาะเจาะแม่นยำเหมือนจับวางได้ขนาดนั้น ผมยิ่งไม่อยากให้ไอ้อิฐเจอกี้บ่อย ๆ พักนี้มันยิ่งบ้า ๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวเกิดทำอะไรยิ่งกว่าวันนั้นขึ้นมาจะเป็นยังไง
“กี้กับเพื่อนขอนั่งด้วยคนดิเฮีย เดี๋ยวไปหยิบเก้าอี้มานั่งแทรกนะ” กี้พูดพร้อมยิ้มทักทายพวกเรา ช่วงนั้นเหมือนมีคนเพิ่งลุกออกไปจากร้านด้วย ร้านเลยมีเก้าอี้เหลือสองสามตัว แต่กี้คงอยากจะมานั่งกับคนรู้จักเลยลากเก้าอี้มานั่งโต๊ะเดียวกันกับผมที่เป็นโต๊ะใหญ่ ผมว่าเสร็จจากวันนี้ผมควรจะคุยกับกี้เรื่องไอ้อิฐสักที ที่ผ่านมาผมเห็นไอ้อิฐไม่เป็นอะไร แต่หลังจากวันที่ไปกินชาบูด้วยกันวันนั้น ผมก็รู้ว่ามันไม่โอเคเอามาก ๆ ที่เห็นกี้กับไอ้แมทอยู่ด้วยกัน
“เอาดิ ๆ กี้มาเลย” ใยไหมเป็นคนตอบกลับไป
ผมอยากจะเอามือกุมขมับเลยตอนนี้ หันหน้าเหลือบไปมองไอ้อิฐนี่โคตรน่ากลัวอะตอนนี้ ผมไม่เข้าใจมันเลย ตอนแรกที่มันรู้เรื่องกี้กับไอ้แมทหลายเดือนก่อนมันยังดูไม่อินขนาดนี้ แต่วันนี้ทั้งสายตา ทั้งสีหน้ามัน ต่อให้คนที่ไม่รู้จักมันมาก่อนก็ดูออกว่ามันเหมือนกำลังโกรธใครสักคนอยู่
“นี่มึงชวนกี้มาด้วยเหรอไอ้ชา” เสียงไอ้อิฐดังขึ้นมาข้างตัวผมเบา ๆ
“กูเปล่า มันบังเอิญไอ้อิฐ” ผมตอบมันไป
ผมจะชวนมาทำไมพร้อมกันสามคนแบบนี้ล่ะ ก็รู้ ๆ อยู่ว่ามันจะเป็นยังไง
“อืม บังเอิญจังเนอะ” ไอ้อิฐพูดพร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เสียงมันน่ากลัวแบบบอกไม่ถูก รวมถึงแววตามันด้วย ผมรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย เหมือนอะไรแย่ ๆ มันกำลังจะเกิดขึ้น
“แล้วเรามาทำไรเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยเข้าวัด” ผมถามกี้ออกไป
“เฮียก็เหมือนกันนั่นแหละ เพื่อนกี้มันอยากมาไหว้พระเลยชวนกี้มาเป็นเพื่อน ไหว้เสร็จอยากหาไรกินเลยเดินมาเจอพวกเฮียพอดี” กี้ตอบ
“อ่อ”
“เดี๋ยวพี่ไปหยิบน้ำมาให้เพื่อนกับกี้นะ” ไอ้แมทพูด ยิ้มกว้างพร้อมกับลุกขึ้นยืนเดินไปตักน้ำให้กี้ ไอ้นี่ก็สุภาพบุรุษจัง แล้วดูนั่น ดูน้องผมยิ้มตอบมัน เอาให้ละลายกันไปทั้งคู่เลยดีไหม เรื่องของไอ้แมทกับไอ้อิฐเคยคุยกันเคลียร์ไปตั้งนานแล้ว ช่วงนั้นผมก็เห็นมันเข้ากันดีมาเล่นเกมด้วยกันบ่อย ๆ จนสนิทกัน ไอ้แมทมันเลยไม่ได้สังเกต หรือติดใจอะไรไอ้อิฐอีก แต่ว่าตอนนี้ถ้ามันมองมายังไอ้อิฐ ไอ้อิฐดูเจ็บแค้นเอามาก ๆ มากจนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ มันผิดปกติจนเกินไป ถ้าคนมันจะเกลียด มันจะแค้น มันน่าจะเป็นตั้งนานแล้ว ทำไมมาเป็นเอาป่านนี้
ทานก๋วยเตี๋ยวกันเสร็จ พวกเราก็ต้องเดินย้อนกลับไปทางวัดเพราะจอดรถไว้แถวบริเวณด้านหน้าของตัววัด กี้เองก็เดินตามมาด้วย เพราะจะขอให้ไอ้แมทไปส่งตัวเองกับเพื่อนที่บ้าน ขามาเห็นว่านั่งรถประจำทางกันมา ส่วนรถไอ้คีย์เหลือแค่ที่เดียว จะให้เพื่อนตัวเองนั่งรถไปกับคนที่เพิ่งรู้จักคนเดียวก็แปลก ๆ เจ้าตัวเลยขอผมให้ไอ้แมทพาไปส่งที่บ้าน ผมเลยตกลงตามนั้น พวกเราเลยเดินย้อนกลับมาด้วยกันเป็นกลุ่ม
ระหว่างทาง ไอ้แมทก็เดินนำชวนกี้คุยไปเรื่อย ๆ สองคน ผมเห็นภาพแบบนี้มาสักพักแล้วล่ะ ดูทั้งสองสนิทกันมาก ตัวผมเองก็ไม่ได้ไปคอยจับตาดูน้องตลอดเวลาขนาดนั้น แต่ก็พอรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันก้าวไปได้ไวกว่าตอนไอ้อิฐจีบกี้เยอะ เห็นน้องกับเพื่อนมีความสุขผมก็โอเค แต่ถ้ามันทำให้เพื่อนอีกคนรู้สึกแย่ ผมก็อึดอัดเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ
ผมหันไปกอดคอไอ้อิฐเดินตามหลังพวกนั้นไป ตอนนี้มีผม ไอ้คีย์ ไอ้อิฐเดินอยู่ท้ายสุด ทิ้งระยะห่างไว้ระยะหนึ่ง พวกใยไหม ไอ้เร็น เพื่อนกี้เดินนำไปก่อนแล้ว ตอนนี้ไอ้อิฐมันเงียบจนผมกลัว สีหน้ามันยิ่งหนักเลยผมไม่เคยเห็นหน้ามันดูโกรธเกลียดอะไรขนาดนี้มาก่อน
“มึงพูดอะไรบ้างก็ได้นะอิฐ มึงเงียบตั้งแต่อยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว” ผมพูดกับมัน
“มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ” ไอ้อิฐหันมาพูดพร้อมกับดึงมือผมออกจากลำคอมัน
“ไอ้ชาเล่าเรื่องที่มึงทำให้กูฟังแล้วนะ” ไอ้คีย์ที่ยืนอยู่ด้านขวามือของไอ้อิฐพูดขึ้นมา
“แล้วยังไง มึงจะว่ากูผิดแล้วไปเข้าข้างไอ้แมทอีกคนงั้นเหรอ”
“ไอ้อิฐ ฟังกูนะ มีสติ ทบทวนดี ๆ มึงดูไม่ปกติเอามาก ๆ เลย มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับมึงตอนกูไม่อยู่หรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ”
พูดจบไอ้อิฐก็เดินนำหน้าผมกับไอ้คีย์ออกไป นี่มันยิ่งกว่าไม่ปกติ ต่อให้มันหัวร้อนแค่ไหน ไอ้คีย์ปรามมันได้ผลเสมอแต่ครั้งนี้มันกลับไม่ฟังใครทั้งนั้น ผิดก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดอีก ผมกับไอ้คีย์มองหน้ากันก่อนเดินตามไอ้อิฐไป พวกเราเดินมาถึงบริเวณหนึ่งที่ทางวัดกำลังบูรณะเจดีย์อยู่ แถวนั้นเลยมีทั้งไม้ ทั้งเหล็กเส้นเต็มไปหมด
แล้วอยู่ ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฟันก็เกิดขึ้น
แท่งเหล็กที่อยู่ด้านบนบริเวณเจดีย์ที่บูรณะ อยู่ ๆ ก็หลุดร่วงลงมา ผมมองภาพนั้นอย่างตกใจ ร่างของแมทกับกี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างพอดิบพอดี เหล็กแท่งนั้นร่วงผ่านหน้าของแมทกับกี้ไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เสียงดังโครมจนแต่ละคนตกใจ ผมได้ยินเสียงคนแถวนั้นกรีดร้องขึ้นมาด้วย ก่อนวิ่งหนีออกห่างจากบริเวณนั้นกัน ไม่มีใครรู้ว่ามันร่วงมาไกลขนาดนั้นได้ยังไง วินาทีนั้นผมตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ถ้าไอ้แมทกับกี้ก้าวเท้าไวไปเพียงเสี้ยววินาทีไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า คือคำพูดของคนที่ผมเดินตามมันมาข้างหน้า แม้จะพูดไม่ดังมากแต่ผมก็ได้ยิน
“ทำไมไม่ร่วงมาทับให้ตาย ๆ ไปเลยวะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้อิฐอย่างโมโห ไม่คิดว่าไอ้อิฐจะกล้าพูดออกมาขนาดนี้ มันคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ไง นั่นน้องผม นั่นเพื่อนมันนะ ผมพุ่งตัวเข้าไปหามันอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชากคอเสื้อ นี่มันจะมากเกินไปแล้ว มันควรมีสติมากกว่านี้
“ไอ้ชา ! นี่ในวัด” ไอ้คีย์รีบมาดึงผมออกจากตัวไอ้อิฐ ระหว่างที่ทุกคนชุลมุนเรื่องเหล็กที่ร่วงลงมา ไม่มีใครสนใจผมกับไอ้อิฐที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
“มึงเป็นเหี้ยไรของมึงนักหนา ! นั่นน้องกู นั่นเพื่อนมึง มึงไม่ห่วงเลยไง !”
“กูเกลียดมันไง กูอิจฉามัน กูไม่อยากให้มันสมหวัง มึงได้ยินไหม ! มึงได้ยินไหม !” ไอ้อิฐตะโกนออกมาเหมือนคนบ้า จนคนที่สนใจเรื่องที่เห็นแท่งเหล็กหล่นลงมา หันมาสนใจที่พวกเราแทน พวกเพื่อนผมที่เดินนำหน้าไปก็เริ่มเดินกลับมาดูแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดอะไรแปลก ๆ ขึ้นกับตัวไอ้อิฐ มันล้มลงไปกองกับพื้นจนผมเองตกใจรีบเข้าไปพยุง ไอ้คีย์ก็ดูงง ๆ เหมือนกัน จับต้นสายปลายเหตุไม่ถูก
“ไอ้อิฐ ! มึงเป็นไร ไอ้อิฐ !”
“ไอ้อิฐ !”
ดวงตาของอิฐกรอกขึ้นจนเห็นแต่ตาสีขาว ผมเห็นบริเวณคอของมันมีจุดสองจุดตอนแรกที่เป็นเหมือนปาน ตอนนี้กลับกลายเป็นสีม่วงคล้ำเหมือนโดนพิษของอะไรสักอย่าง เส้นเลือดบริเวณนั้นม่วงช้ำจนกลายเป็นสีดำ มันแตกระแหงกระจายตัวไปทั่วจนดูน่ากลัว ผิวมันที่ผมสัมผัสหยาบกระด้าง เหมือนมีเกล็ดหรืออะไรปกคลุมไว้ มันเหมือนผมไม่ได้สัมผัสกับผิวมนุษย์
อยู่ ๆ ใบหน้าของอิฐก็หันมามองผมทั้ง ๆ ที่มีแต่ตาสีขาว เสียงแหบแห้งดังมาจากริมฝีปากของอิฐ พูดภาษาอะไรที่ผมไม่เข้าใจ
“שלום חבר שלי”
พูดจบมันก็หัวเราะออกมา สักพักมันก็หลับไปพร้อมกับสำลักของเหลวบางอย่างออกมา เลือดสีดำเลอะบริเวณเสื้อของมันเต็มไปหมด ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ไอ้คีย์รีบถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาคลุมตัวไอ้อิฐไว้แล้วเรียกผมให้พยุงตัวมันขึ้นมาตอนนี้หลายคนแห่มามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้อิฐ
“พาไอ้อิฐไปที่คอนโดกูด่วน เรามีปัญหาแล้ว !” ไอ้แมทพูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งเครียด มันคงเดินมาเห็นเหตุการณ์ตอนที่ไอ้อิฐเป็นพอดี
“ขอโทษนะครับ เพื่อนผมเป็นลมขอทางด้วยครับ” ผมบอกคนที่มาขวางทางให้ออกไปให้พ้นทาง คงมีบางคนเห็นแล้วต้องคิดว่าไอ้อิฐโดนผีเข้าในวัดแน่ ๆ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่แค่ผี เพราะถ้าเป็นผีวิญญาณทั่วไปไอ้คีย์มันต้องรู้ได้ตั้งนานแล้ว
“โทษนะครับ ขอทางด้วย”
ผมอยากจะบ้าตายกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกแม่มดดำอีกแน่ ๆ ไม่รู้จะจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน ชีวิตผมกับเพื่อนจะอยู่กันอย่างสงบสุขบ้างไม่ได้หรือไง นี่สินะที่เป็นสาเหตุให้ไอ้อิฐทำตัวบ้า ๆ แบบนั้นออกไป
เวรเอ้ย !