คาถาที่ 34 : Leviathan
ผมกลับมาอยู่หอในหลังจากหงุดหงิดเรื่องของไอ้อิฐไปสองสามวันเต็ม ๆ
ตอนนี้ใยไหมก็หายดีเป็นปกติไม่ต้องมีคนคอยมาดูแลแล้ว เจ้าตัวเลยกลับไปพักที่หอของตัวเองตามเดิม ผมได้ยินจากไอ้คีย์มาว่า วันนั้นหลังจากผมทะเลาะกับมันเรื่องไอ้แมท มันก็ไปเมาเละเทะจนไอ้คีย์ที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจพิเศษของมันถึงกับต้องตามไปรับ แถมไปอ้วกทิ้งไว้บนรถใครก็ไม่รู้ให้เขาด่าเล่นอีก ไอ้คีย์ก็ถามผมเหมือนกันว่าไอ้อิฐเป็นอะไรถึงดื่มหนักขนาดนั้น ผมก็ได้แต่ตอบไปว่ามันเฮิร์ตเรื่องกี้ แผลเก่ากำเริบ ยังทำใจไม่ได้ ไม่ได้เล่าเรื่องที่มันเอาน้ำซุปอุ่น ๆ ไปเทราดหลังไอ้แมท จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันก็ยังไม่ยอมคุยกับผมเลย ผมเองก็ไม่อยากพูดเหมือนกัน เดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่า ๆ
ตอนนี้ผมกำลังนั่งเรียนอยู่ในคาบวิชาศึกษาทั่วไปหรือที่นักศึกษาเรียกกันสั้น ๆ ว่าวิชามอ ถ้ายังนึกไม่ออกก็เช่นพวกวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ฯลฯ วิชามอเป็นวิชาที่ถูกจัดให้เรียนตอนปีหนึ่ง เทอมนี้ผมเจอวิชามอหนึ่งตัว ซึ่งวิชาพวกนี้เราจะมีโอกาสได้เจอ ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่อยู่ต่างคณะเพราะถือว่าเป็นวิชาทั่วไปบังคับเรียนกันทุกคน ส่วนใหญ่ก็จะมาเรียนรวมกันในห้องสโลปใหญ่ ๆ นั่งหลับกันเป็นแถวยาวโดยเฉพาะในช่วงตอนบ่าย ๆ
“นี่มึงสองคนจะไม่คุยกันอีกกี่วันวะ”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นของไอ้คีย์ที่นั่งต่อจากผมและถัดจากมันคือไอ้อิฐ ไอ้คีย์หันมองหน้าผมสลับกับไอ้อิฐ ขณะที่ผมกำลังนั่งเขี่ยหน้าจอมือถือเล่นไปมาอย่างเซ็ง ๆ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาท้ายคาบ ดูเหมือนว่าอาจารย์จะให้จับกลุ่มทำโครงงานอะไรสักอย่างเป็นคะแนนเก็บ นักศึกษาแต่ละคนเลยเดินกันให้วุ่นรอบห้องเพื่อหากลุ่มของตัวเอง
“กูไม่รู้นะ ว่ามึงทะเลาะอะไรกัน แต่ขอเถอะ สนใจงานกลุ่มหน่อย จะเอาไหมคะแนนอะ คนก็ไม่ครบเนี่ย ขาดไปสองคน ช่วยหาคนมาดิ” ไอ้คีย์พูดต่อ
อ้าว ... มันใช่ความผิดผมไหมล่ะ ผมไม่ได้เป็นคนเริ่ม หลังจากตอนเกิดเรื่อง วันต่อมาผมก็ไปคุยกับมันดี ๆ แต่มันเดินหนีแถมไม่คุยกับผมซะงั้น แล้วจะให้ผมทำยังไง เดี๋ยวก็พาลเอามือไปฟาดปากมันให้เกิดเรื่องอีก
“นั่นซิ ตั้งแต่วันที่ไปฉลองกี้สอบติด ออกไปคุยกันแล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้” ไหมที่นั่งข้างผมพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่มีอะไร พวกมึงก็คิดมากไปเอง” ไอ้อิฐเป็นคนพูด
“หึ”
ผมแค่นหัวเราะออกมา ยังมีหน้าไปบอกคนอื่นว่าคิดมากไปเองอีก มันแม่งจงใจไม่คุยกับผมคนเดียว โคตรจะพาลเป็นเด็ก ๆ ผิดหวังแต่ไปลงกับคนอื่นไปทั่ว
“ส้นตีนติดปากเหรอ”
อ้าว มันพูดกับผมได้แล้วหนิ ...
“คงงั้นมั้ง” ผมสวนมันไป
“ไอ้ชา !”
“พอเลย ๆ ถ้าพวกมึงไม่อยากเล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็อยู่เงียบ ๆ ไปทั้งคู่เลย” ไอ้คีย์เป็นคนห้ามไอ้อิฐที่กำลังจะลุกขึ้นมาหาผม มันก็เป็นแบบนี้แหละ ยั่วโมโหมันง่ายมาก ใจร้อนอย่างกับอะไร ส่วนไหมที่นั่งอยู่ด้านขวาก็เอามือขึ้นมาตบหัวผมเบา ๆ
“นี่ก็อีกคน เป็นบ้าอะไร ชอบกวนตีนคนอื่น”
“ก็มันเริ่มก่อน โอ๊ย ! … เจ็บนะไหม ดึงหูทำไมเนี่ย”
ระหว่างผมกำลังเถียงกับไหมอยู่ ร่างของไอ้แมทกับเพื่อนอีกคนของมันก็เดินมาทางกลุ่มของพวกเรา ลืมไปเลยว่าวิชานี้พวกเราเรียนรวมกับพวกคณะนิติศาสตร์ด้วย ดี ๆ สงสัยจะมารวมกลุ่มทำโครงงานด้วย พวกผมจะได้ไม่ต้องไปหาคนมาเพิ่มอีก น่าจะครบคนพอดีตามที่ไอ้คีย์บอก
“เฮ้ย พวกมึง กูกับเพื่อนขออยู่กลุ่มด้วยคน กลุ่มมึงคนครบยั้ง” ไอ้แมทพูด
“ยังเลย ๆ มาดิวะ ขาดคนพอดี แต่มึงต้องถามคนแถวนี้ก่อนนะ ว่าเขายินดีรับมึงเข้ากลุ่มหรือเปล่า แต่สำหรับกู กูโอเค” ผมพูดออกไป ไม่ลืมที่จะแขวะไอ้อิฐ เพื่อยั่วโมโหมันเล่น
“พูดเชี้ยไรของมึงแปลก ๆ เนี่ย” ไอ้แมทพูด
“มึงไม่ต้องสนใจหรอกแมท ไอ้พวกนี้มันบ้า ๆ บอ ๆ”
ไอ้คีย์พูดจบก็เอื้อมมือมาตบกะโหลกผมหนึ่งที ข้อหาเสี้ยมไม่เข้าเรื่อง ก็ดูไอ้อิฐมันทำตัวดิ มันน่าไหมล่ะ ผมไม่ได้รักเพื่อนไม่เท่ากันนะ แต่มันแม่งเริ่มก่อน ตอนนี้หน้ามันยังตึงอยู่เลยตั้งแต่ไอ้แมทเดินมา แล้วดูสายตามัน เห็นแล้วผมขนลุก อย่างกับจะฆ่าจะแกงกัน อะไรจะขนาดนั้น ส่วนไอ้แมทก็ยังคงไม่รู้สึกตัวอะไรเลย จริง ๆ ก็ไม่มีใครสังเกตอะไรหรอก เพราะผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ได้อิฐทำในวันนั้นให้ใครฟัง คงจะมีแต่ผมที่คอยสังเกตอาการมันไปเงียบ ๆ
“นี่เพื่อนสนิทกู ชื่อเร็น”
ไอ้แมทแนะนำเพื่อนของมันให้พวกเราได้รู้จัก ผมเคยเห็นหน้าเร็นมาบ้างแล้วสองสามครั้ง เพราะช่วงหลังไปสนิทกับไอ้แมท ไปฝึกควบคุมพลังที่คอนโดมันบ่อย จะมีบางครั้งที่เร็นเข้ามาหาบ้างเรื่องงานนู่นนี่นั่น แต่ก็ยังไม่เคยรู้จักกันอย่างเป็นทางการสักที ได้แต่ทักทายนิดหน่อย ๆ ก่อนมันจะกลับออกไป ไอ้เร็นดูเป็นคนอัธยาศัยดี นิสัยคล้าย ๆ ไอ้แมท ตัวมันสูงน้อยกว่าพวกผมนิดหน่อย หน้าตาก็ตี๋ ๆ ใส่แว่น จัดฟัน ดูเนิร์ด ๆ แต่ก็เรียกได้ว่าเบ้าหน้าแบบพิมพ์นิยมเลย
“โอเค ๆ ยินดีที่ได้รู้จัก”
พวกผมทักทายทำความรู้จักกับเร็นกันพอประมาณก่อนพูดถึงเรื่องงานกลุ่มที่จะต้องไปทำกัน โดยคิดว่าจะไปทำช่วงเสาร์อาทิตย์นี้เลย เพราะช่วงเวลาว่างของคณะผมกับคณะไอ้แมทไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไร เสาร์อาทิตย์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะทุกคนน่าจะว่าง อีกอย่างเรื่องวันจันทรุปราคาที่จะเกิดขึ้นก็ใกล้เข้ามาทุกที ไม่รู้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มพวกเราอีกหรือเปล่า ถึงยังไงพวกเราก็ยังอยากดำเนินชีวิตไปอย่างปกติที่สุด เรื่องเรียนยังไงก็ต้องไม่ให้เสีย
วันที่พวกเรานัดหมายจะทำงานเป็นวันเสาร์ พวกผมนัดกันไปเจอกันที่วัดแห่งหนึ่งที่มักจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากันเยอะเป็นประจำ โครงงานที่ทำขึ้นพวกเราจะไปช่วยกันสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่มาเที่ยววัดในตัวจังหวัดพร้อมกับทำวีดีโอพูดถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมตามคอนเซปที่อาจารย์ได้วางเอาไว้ โดยวันนี้ผม ไอ้คีย์ ไอ้อิฐ ใยไหมรวมตัวนั่งรถไอ้คีย์พากันไปที่วัด ส่วนไอ้แมทกับเร็นแยกกันไปเจอที่นั่นเลย
พอมาถึงที่วัดก็พบว่าแมทกับเร็นมารออยู่ก่อนแล้ว ผมพวกจึงเดินเข้าไปทักทายพวกมันตามปกติ ก่อนช่วยกันขนของที่จะใช้สัมภาษณ์ออกมานอกรถ วันนี้ไอ้อิฐดูแปลกกว่าเดิมมาก นับวันผมว่ามันยิ่งแปลก มันพูดน้อยลงจนผมกับไอ้คีย์แทบนับคำได้ ชวนมันคุยมันก็ไม่ค่อยจะคุยเท่าไร นี่ยังนั่งอยู่ในรถอยู่เลยไม่ยอมออกมาสักที
“อิฐ มึงโอเคหรือเปล่าวะ ไม่สบายเหรอ” ผมเปิดประตูรถเข้าไปถามมันที่ยังไม่ยอมออกมาจากรถสักทีด้วยความเป็นห่วง เหงื่อมันไหลออกมาเต็มหน้าทั้งที่ในรถไอ้คีย์แอร์ออกจะเย็น มันสะบัดคอไปมาแปลก ๆ ผมเรียกมันสองสามครั้งมันก็ยังนิ่งเมื่อเห็นมันไม่หือไม่อือเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด ผมเลยเอื้อมมือไปเขย่าตัวมัน
“อย่ามายุ่งกับกู !”
เสียงตะคอกของไอ้อิฐทำเอาผมแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น เชี้ย ... ตกใจหมด เป็นบ้าอะไรตะโกนออกมาได้ แถมมันหันมามองผมตาขวางจนผมยังกลัว
“เป็นเชี้ยไรของมึง ! กูถามดี ๆ ทำไมต้องตวาด” ผมถามมันออกไป อารมณ์เสียเหมือนกันที่ต้องมาเจอแบบนี้ คนอุตสาห์เป็นห่วงเห็นเหมือนไม่สบาย เข้าไปถามดี ๆ ดันมาตะคอกใส่หน้าอีก
“กู ... กูขอโทษ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” ไอ้อิฐตอบกลับมา
มันขอโทษด้วยแฮะ เป็นอะไรของมันวะ อารมณ์โคตรแปรปรวน
“เออ ๆ ออกมาได้แล้ว เพื่อน ๆ รอมึงอยู่”
แล้วผมก็มองมันเดินออกมาจากรถเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ
“มีไรกันวะ” ไอ้คีย์เดินมาหาผมพลางเหลือบตาไปมองไอ้อิฐที่เดินนำออกไปแล้ว นั่นสิ มีอะไรผมยังตอบไม่ได้เลย พักหลังนี้ไอ้อิฐทำตัวแปลกขึ้นทุกที เหมือนมันจะโกรธผมแต่ก็ไม่โกรธ ทำตัวเหมือนไม่เป็นตัวเอง คุยน้อยพูดน้อย ถามคำตอบคำ
“ไอ้คีย์ กูว่าไอ้อิฐแม่งทำตัวแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน พูดน้อย คุยน้อยไม่พอ มึงดูนิสัยมันดิ เหมือนคนบ้า เมื่อกี้อยู่ ๆ ก็ทำตาขวางตะโกนใส่หน้ากู” ผมบอกไอ้คีย์ไป
“มันมีเรื่องอะไรระหว่างมึงกับมันกันแน่วะ จะบอกกูได้ยัง มันใช่แค่ยังทำใจเรื่องกี้ไม่ได้แค่นั้นเหรอ คือช่วงแรก ๆ ที่มันรู้เรื่องยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย นี่ผ่านไปตั้งนานทำไมมันถึงเป็นหนักเอาตอนนี้ล่ะ”
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องของไอ้อิฐให้ไอ้คีย์ฟังพร้อมกับเดินตามเพื่อนคนอื่น ๆ ไปด้านหลัง โดยเว้นระยะห่างเอาไว้ไม่ให้พวกที่เดินนำไปด้านหน้าได้ยิน
“กูเล่าก็ได้ ที่มันไปเมาวันนั้นไม่ใช่แค่ที่กูเล่า มึงรู้ไหม มันทำอะไรอีกวันนั้น”
“ทำอะไรวะ” ไอ้คีย์ถามต่อ
“มันเอาน้ำซุปในกาเทราดหลังไอ้แมท มีแค่กูคนเดียวที่เห็น”
“เฮ้ย ! ไอ้อิฐเนี่ยนะทำแบบนั้น ดูไม่ใช่นิสัยมันเลยนะ” ไอ้คีย์พูดขึ้นมาแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร
“แต่มันทำไปแล้วไง แล้วกูกับมันก็ออกมาคุยนอกร้านเรื่องที่มันทำ มันเลยโกรธกูตั้งแต่วันนั้น หาว่าไปเข้าข้างไอ้แมท ไม่เข้าข้างมัน”
“กูว่าไม่ใช่แล้วว่ะไอ้ชา มึงกับกูรู้จักไอ้อิฐมาเป็นสิบปี มึงว่านิสัยมันเป็นไง”
“มันก็เป็นคนใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว ถ้าจะทำอะไรก็ทำต่อหน้า เป็นคนตรง ๆ รักเพื่อน”น็น็นHfxd
“ใช่ไง แต่เรื่องที่มึงเล่าเหมือนไม่ใช่ตัวมัน พูดอย่างกับหนังคนละม้วน”
จริงอย่างที่ไอ้คีย์พูด ถ้าผมย้อนกลับไปมองเรื่องนิสัยของไอ้อิฐ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วเป็นคนตรง ๆ ชอบก็บอกชอบ เกลียดก็บอกเกลียด จบก็คือจบ โมโหอยากเข้าไปต่อยหน้าใครก็ทำ ไม่มาทำลับหลังอะไรแบบนี้หรอก ที่มันทำแบบนั้นก็ดูไม่ใช่ตัวมันจริง ๆ เหมือนที่ไอ้คีย์ว่านั่นแหละ เพราะถ้าเป็นไอ้อิฐจริง ๆ มันคงเข้าไปชกหน้าไอ้แมทไปแล้วถ้าเกลียดขี้หน้าจริง ๆ
“แล้วจะเอาไงดี มึงจะไปคุยเรื่องนี้กับมันไหมล่ะ” ผมถามไอ้คีย์
“ดูมันไปเรื่อย ๆ ก่อนละกัน” ไอ้คีย์ตอบกลับมาพลางทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย ! สองคนนั้นอะ เดินช้าจังวะ มาเร็ว ๆ” เสียงของไอ้แมทตะโกนเรียกกลับมาทางด้านหลังทำให้ผมกับไอ้คีย์จบบทสนทนาลงแต่เพียงเท่านั้น แล้วเร่งฝีเท้าเดินตามพวกเพื่อนไปข้างหน้าให้ไวขึ้น
พวกเราเดินมาถึงบริเวณหน้าโบสถ์เพราะว่าจะเข้าไปไหว้พระกันก่อน แล้วค่อยออกมาทำงานทำการกัน เหมือนไอ้คีย์จะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้แบ่งงานอะไรกันเลย มันเลยพูดออกมาก่อนพวกเราจะถอดรองเท้าเดินเข้าไปในโบสถ์
“แมท มึงพูดอังกฤษคล่องรับหน้าที่สัมภาษณ์ไปเลย ไหมไปสัมภาษณ์คู่ด้วยอีกคน” ไอ้คีย์พูด ส่วนไอ้แมทกับไหมพยักหน้ารับ
“ส่วนมึง ไอ้อิฐ เก่งพวกภาพพวกวีดีโอ จัดการเป็นตากล้องไปเลย”
ของแบบนี้ก็ต้องไอ้อิฐอยู่แล้ว ทำเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วก็ทำได้โคตรเก่ง จนผมคิดว่ามันสมควรไปเรียนนิเทศไม่ก็ศิลปกรรมไม่น่าจะใช่วิศวะ
“ส่วนเรื่องหาข้อมูล รวมเล่ม พรีเซนเตชัน เดี๋ยวกูกับเร็นจัดการให้” ไอ้คีย์พูดต่อ
“แล้วกูอะ” ผมถามออกไปเมื่อไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองเลย
“มึงเป็นเด็กหิ้วของละกันชา แล้วใครอยากใช้อะไรไอ้ชาก็ตามสบายเลย” ไอ้คีย์พูดจบก็เดินเข้าไปในโบสถ์หน้าตาเฉย
“โห ลำเอียงสัส”
แล้วก็เรียกเสียงหัวเราะให้เพื่อนไปอีกหนึ่งยก
“อย่าบ่น ไปช่วยอิฐหิ้วขาตั้งกล้องเลยชา ดูอิฐไม่ค่อยสบายนะ” ใยไหมพูด จ่ะ ก็ได้จ่ะ ว่าแล้วผมก็เดินไปหาไอ้อิฐที่อยู่ไม่ห่างกันเท่าไรนัก
“อิฐ มึงไม่เข้ามาไหว้พระก่อนเหรอ” ผมถามมันเพราะเห็นมันยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับตัวไปไหน หน้าตาดูไม่ดีเหมือนที่ไหมบอกเลย ผมเองก็บอกไม่ถูก สีหน้ามันดูแย่ ๆ ยังไงไม่รู้
“ไม่อะ กูขออยู่ข้างนอก ข้างในมันอึดอัดว่ะ คนเยอะรู้สึกไม่ค่อยดี” ไอ้อิฐตอบผมกลับมา
“งั้นเดี๋ยวกูเข้าไปถ่ายข้างในให้ก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวตอนสัมภาษณ์มึงก็มารับช่วงต่อ ภาพออกมาไม่ดีจะโทษกูไม่ได้นะ” ผมบอกมันไปขำ ๆ พลางหยิบสายสะพายกล้องที่ห้อยอยู่ที่คอไอ้อิฐออกจากตัวมันมาใส่ที่คอตัวเอง อิฐไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา มันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“กูว่ามึงไปนั่งพักใต้ต้นไม้ตรงนู้นก่อนดีไหม ดูมึงไม่โอเคเลย”
“กูไหวไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นก็ตามใจ” เห็นมันว่าแบบนั้นผมก็คงต้องตามใจ พูดจบผมก็เดินตามเพื่อนคนอื่นเข้าไปไหว้พระในโบสถ์
ร่างของอิฐยืนรอเพื่อน ๆ อยู่ด้านหน้าของโบสถ์ วันนี้เขารู้สึกแย่เอามาก ๆ ไม่รู้เป็นอะไร ความรู้สึกมันปนเปไปหมดเหมือนไม่เป็นตัวเอง ทั้งร้อนรุ่มราวกับจะเป็นไข้ ทั้งเกลียดใครบางคนที่มารวมกลุ่มด้วย แถมยังรู้สึกผิดอีกต่างหาก ทุกอย่างมันมั่วไปหมด เขาอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ไม่อยากมาที่นี่เลย เมื่อไรงานพวกนี้จะเสร็จ ๆ ไปสักที อิฐมองผ่านประตูทางเข้าโบสถ์ไปยังเพื่อน ๆ ของตนเอง
สายตาของอิฐจ้องเข้าไปในโบสถ์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองสว่างก็ปรากฏขึ้นในสายตา ร่างของอิฐเกร็งไปทั้งตัว เขาค่อย ๆ เดินถอยห่างออกมา ไม่รู้เป็นอะไรแต่ร่างกายเหมือนพยายามบังคับตัวมันเอง มันไม่ใช่สิ่งที่สมองเขาสั่ง
ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของเขา
มือของอิฐกำหมัดแน่นเดินห่างออกมาจากบริเวณนั้น
... แน่นจนเล็บขูดกับเนื้อบริเวณอุ้งมือจนเลือดซิบ