บทที่ 39 หญิงสาวผู้แข็งแกร่ง
“ที่นี่ไม่มีถนนเส้นอื่นนอกจากเส้นนี้แล้ว ถ้าเข้าภูเขาลูกนี้ไปก็ถึงเขตภูเขากุ้ยเซียง ถึงที่นั่นจะมีจุดท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นป่าเขาตามธรรมชาติทั้งนั้น ถ้าเธอลงตรงนี้ล่ะก็ไม่มีที่ไปแน่...” ชายวัยกลางคนในรถคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความหวังดี
หญิงสาวคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง…จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของชายวัยกลางคนมีเหตุผลหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ แต่เย่โม่กลับใจกระตุกไปวูบหนึ่ง ถึงแม้กับคนอื่นแล้วการลงรถตรงนี้จะไม่มีข้อดีอะไร แต่สำหรับเย่โม่นั้นการลงที่นี่มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
เย่โม่รู้จักเขตภูเขากุ้ยเซียงดี มันเป็นเขตภูเขาขนาดใหญ่ที่ตัดผ่านมณฑลใหญ่ๆ อย่างหูจง เซียงห้วย และกุ้ยหนาน เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น 1 ใน 3 เขตภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน แล้วกุ้ยหนานนั้นอยู่ตรงกลางชายแดนระหว่างจีนและเวียดนาม จุดหมายของเย่โม่คือกุ้ยหลิน ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้สุดของมณฑลกุ้ยหนาน
ถ้าหากเขาอยากจะนั่งรถไปกุ้ยหลินล่ะก็ เขาต้องเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ ทั้ง 3 มณฑลตั้งแต่ที่หูจง เซียงห้วยและกุ้ยหนาน วิธีนี้ทำไม่ได้เพราะเขาไม่มีบัตรประชาชน โอกาสถูกเปิดโปงจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก หากเขาเดินทางด้วยตัวเองจากเขตภูเขากุ้ยเซียงล่ะก็ ถึงแม้จะกินเวลามากไปหน่อยแต่ก็ปลอดภัยขึ้นมากเช่นกัน อีกอย่างรถที่ผ่านเขตภูเขากุ้ยเซียงก็มีเยอะแยะเย่โม่จะขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้ หรือต่อให้หารถไม่ได้จริงๆ การเดินทางไปตามภูเขาแล้วฝึกวิชาไปพลางสำหรับเย่โม่แล้วก็ไม่เลวเช่นกัน
“คนขับ! หยุดรถหน่อย ผมจะลงตรงนี้ รถของเพื่อนผมมาถึงแล้ว ผมจะนั่งไปกับเขา” เย่โม่พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า
คนขับนิ่งอึ้งไป คนบนรถทั้งหลายก็เช่นกัน แม้แต่หญิงสาวคนนั้นยังมองมาทางเย่โม่ด้วยสายตาแปลกๆ ที่เธอเลือกจะไม่ลงจากรถนั้นไม่ใช่เพราะที่นี่นั้นเต็มไปด้วยป่าเขา แต่เป็นเพราะกลัวคนอื่นๆ สงสัยต่างหาก ถึงยังไงการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะลงตรงนี้ในที่แบบนี้มันก็ต้องดูแปลกๆ อยู่แล้ว ขณะที่เธอกำลังคิดหาเหตุผลอยู่ๆ ก็มีคนอยากจะลงรถแบบนี้ ซึ่งนั่นก็เข้าทางเธอพอดี
ครั้งนี้คนขับไม่ได้เอ่ยปากแนะนำอะไรอีก การบอกว่ามีรถคันอื่นมารอแล้วนั่นก็แปลว่าไม่อยากจะนั่งรถบัสคันนี้แล้วนั่นเอง...รถหยุดได้ลง เย่โม่เดินลงจากรถเป็นคนแรก หลังจากนั้นหญิงสาวคนนั้นจึงค่อยลงตามมา แต่ที่ทำให้คนบนรถรู้สึกประหลาดใจก็คือ นอกจากเย่โม่และหญิงสาวแล้ว ข้างหลังยังมีชายอีก 2 คนลงจากรถไปด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงคนขับที่แก่ประสบการณ์แล้วเลย แม้แต่ผู้โดยสารที่เหลือก็ยังรู้ว่าชาย 2 คนที่ลงรถตามหลังไปนั้นคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่เย่โม่และหญิงสาวคนนั้น คนขับเองก็ไม่กล้าจะยุ่งวุ่นวายอะไรมาก เขารีบออกรถทันที รถบัสคันนั้นเลี้ยวหายไปตามมุมโค้งอย่างรวดเร็ว
เย่โม่รู้ว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงลงจากรถ เพราะก่อนหน้าที่เขาจะขอลงจากรถหญิงสาวคนนี้ก็เคยพูดกับคนขับแล้ว แต่ที่เย่โม่ไม่เข้าใจก็คือทำไมชาย 2 คนข้างหลังถึงอยากจะลงรถด้วย
แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ นั่นก็เพราะชาย 2 คนนี้ล้อมเขากับหญิงสาวเอาไว้แล้ว อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังจ้องมาที่เย่โม่แล้วพูดขึ้น “ไอ้หนู! ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดก็รีบไสหัวไปซะ เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวกับแก”
เมื่อพบเจอการปล้นชิงแบบนี้ ในใจเย่โม่ก็ยิ้มขำ ชาย 2 คนนี้ถึงดูแล้วจะมีความดุดันโหดเหี้ยมอยู่บ้าง แต่เย่โม่ก็แน่ใจว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือของหญิงสาวคนนั้นแน่นอน
ชายที่ไล่เย่โม่ไปหันกลับมาจ้องหญิงสาวทันที “สาวน้อย! หยิบเงินในกระเป๋าเธอขึ้นมาซะดีๆ อย่าได้คิดตุกติดเชียว ตอนเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฉันเห็นนะ คงมีอยู่สัก 2-3 หมื่นนั่นแหละ ฮี่! ฮี่! เดิมทีพวกเรา 2 พี่น้องตั้งใจจะปล้นรถบัสคันนั้นนั่นแหละ แต่ในเมื่อเธอมีเงินติดตัวมากขนาดนี้ ปล้นคนเดียวก็น่าจะได้แล้วล่ะ”
เย่โม่หัวเราะออกมา เดิมทีเขาเองก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ใช่คนดีอะไร
“นายรอก่อน!” เย่โม่ที่เพิ่งหันหลังกำลังจะเดินจากไปกลับถูกหญิงสาวคนนั้นเรียกขึ้นอย่างกะทันหัน
“มีอะไร?” เย่โม่หันหน้ากลับมาถามเรียบๆ
เมื่อเห็นท่าทีไร้ความกังวลของเย่โม่แล้ว หญิงสาวคนนั้นก็มองสำรวจเย่โม่ด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง แต่เธอก็มองไม่ออกว่าเย่โม่นั้นแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ดูแล้วธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จนเธอคิดในใจว่าชายคนนี้ดูท่าจะด้านชาแล้วจริงๆ
“ช่วยฉันก่อนสักเรื่องสิ” หญิงสาวผู้มีรูปร่างอวบอัดทว่าแข็งแกร่งคนนี้กลับยิ้มขึ้นมาแล้วถอดแว่นตาออก หน้าตาที่จากเดิมนับได้ว่าไม่แล้วกลับถูกรอยยิ้มนี้เปลี่ยนให้เป็นใบหน้าที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ได้มากขนาดนี้เพียงเพราะรอยยิ้มเดียว ราวกับว่าเธอมี 2 บุคลิกในตัวอย่างไรอย่างนั้น
“ผมไม่ชอบต่อสู้” หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเย่โม่ปฏิเสธออกมาแล้ว
“ฮ่า!ฮ่า!...” หญิงสาวคนนั้นตะลึงไปพักหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา เธอพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าอยากให้นายต่อสู้เสียหน่อย แค่อยากให้ช่วยรอฝังชาย 2 คนนี้ในป่าให้หน่อย...”
ชาย 2 คนที่ล้อมหญิงสาวเอาไว้เดิมทียังจ้องมองเย่โม่อย่างดุดันอยู่บ้าง พวกเขาเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวรีบหนีแต่อย่างใด พวกเขาจึงระวังเย่โม่เอาไว้บ้าง คนทั่วไปเจอเหตุการณ์ปิดถนนปล้นแบบนี้เข้าไปยังไงก็ต้องหันหลังวิ่งหนีแน่นอน แต่คนที่แสดงท่าทีไร้ความหวาดกลัวอย่างเย่โม่แบบนี้ถือว่าหาได้น้อยมาก
ตอนที่พวกเขาทั้ง 2 ได้ยินว่าหญิงสาวต้องการให้เย่โม่ช่วยฝังพวกเขานั้น ชายรูปร่างสูงหนึ่งในนั้นไหนเลยจะทนฟังได้ เขายกมีดขึ้นมาแทงไปยังกลางอกของหญิงสาวทันที
กร๊อบ!...อ๊ากกกก!... พอเสียงเหล่านี้จบลงชายคนที่ลงมือแทงก็ร่วงลงไปกองกับพื้น
ส่วนชายอีกคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขายืนนิ่งตะลึงงันไป แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขากลับเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่ชายคนนั้นกำลังแทงมีดมายังหน้าอกเธอก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว เธอดึงข้อมือที่คว้าเอาไว้ไปทางด้านบนพร้อมกับหักข้อมือเขาไปด้วยในเวลาเดียวกัน เธอสะบัดหลังมือไปกระแทกกับด้ามมีด มีดเล่มนั้นราวกับมีตาเป็นของตัวเอง มันพุ่งไปแทงคอของชายร่างสูงคนนั้นทันที
เป็นหญิงสาวที่ฝีมือดีจริงๆ การกระทำทั้งหมดของเธอนั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น หากไม่ใช่ว่าตอนนี้เย่โม่อยู่ระดับ 2 แล้วล่ะก็ แม้แต่เขาก็คงมองไม่ออก ใจของเย่โม่เต้นระรัว หากเปลี่ยนเป็นเขาตอนที่ยังอยู่ระดับ 1 แล้วต่อสู้กับหญิงสาวคนนี้ล่ะก็ ยากที่จะคาดเดาว่าใครจะอยู่ใครจะตาย
เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้พบกับยอดฝีมือแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถจัดการกับเธอได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีก็ตาม ทว่าเขาก็รับรู้ได้ถึงปัญหาข้อหนึ่ง นั่นก็คือในโลกนี้นั้นมีเสือซุ่มมังกรซ่อนจำนวนมากอยู่ทั่วทุกมุมโลก หากเขาไม่ขยันฝึกฝนล่ะก็ ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือพวกนี้ก็เป็นได้ เย่โม่ไม่ชอบความรู้สึกอันตรายกดดันแบบนี้ หนทางเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
ในที่สุดชายร่างเตี้ยอีกคนก็ได้สติขึ้นมา ถึงแม้จะผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจแต่เขาก็ได้เข้าใจแล้ว ว่าครั้งนี้พวกเขาเจอตอเข้าให้แล้ว เขาหันหลังวิ่งโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับเตะไปยังมีดที่ยังปักอยู่ตรงคอของชายร่างสูงที่ตอนนี้นอนกองอยู่กับพื้น พอมีดเล่มนั้นลอยขึ้นมาเธอก็เตะไปอีกครั้ง ราวกับมีดวงตาเป็นของตัวเอง มันพุ่งไปเสียบหัวใจของชายที่วิ่งอยู่จากด้านหลังทันที
“นายกล้าหาญไม่เลวเลย ฉันไม่ได้อยากให้นายช่วยสู้เสียหน่อยเห็นไหม ฉันแค่อยากให้นายช่วยลากร่างพวกนี้ไปฝังในป่าให้ที เงินบนตัวพวกเขาฉันยกให้นายหมดเลย” หญิงสาวคนนั้นหันมาพูดยิ้มๆ กับเย่โม่อีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าบนตัวของ 2 คนนี้ไม่มีเงินล่ะ?” เย่โม่ถามกลับเรียบๆ
หญิงสาวคนนั้นนิ่งงันไป เธอคิดไม่ถึงว่าเวลานี้เย่โม่ยังจะคิดเรื่องแบบนี้อีก คนปกติทั่วไปพอได้ยินที่เธอพูดก็มักจะรีบลงมือทำตามแล้ว ไหนเลยจะกล้าถามกลับแบบนี้
“ถ้าไม่มีเงินล่ะก็… ของพวกนี้ก็เป็นของนาย” พูดจบหญิงสาวก็หยิบเงินจากในกระเป๋ามาครึ่งปึกยื่นส่งให้เย่โม่
เย่โม่ยื่นมือไปรับ มองเงินพวกนี้แล้วยังเห็นรอยประทับตราจากธนาคารอยู่เลย ดูแล้วเดิมทีทั้งปึกคงมีอยู่ 1 หมื่น เมื่อถูกหญิงสาวคนนี้ดึงออกมาคิดว่าคงเหลือไว้ประมาณ 4-5 พัน ถือว่าเธอใจกว้างเป็นอย่างมาก
เย่โม่ที่กำลังต้องการเงินอยู่พอดีรับเงินไปแล้วพูดยิ้มๆ “ดี! ถือว่าเราตกลงกันแล้ว”
พูดจบเขาก็ลากร่างของชายทั้ง 2 บนพื้นไปยังป่าข้างๆ ทาง
เมื่อเห็นเย่โม่หายเข้าไปในป่าพร้อมกับลากศพทั้ง 2 ตามไปด้วยอย่างง่ายดายแล้ว แววตาของหญิงสาวก็ปรากฏแววชื่นชมออกมาแวบหนึ่ง เธอพูดกับตัวเอง “ความกล้าไม่เลว แรงกายก็ไม่ใช่น้อยๆ น่าเสียดายที่ไม่แมนเลย!”