ตอนที่ 90 องค์หญิงน้ำทอง
“ได้ของแล้วก็รีบไสหัวไปจากตัวข้า”
บุษย์น้ำทองตะคอกอย่างหมดความอดทน ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้คนจะมองเธออย่างไรบ้าง ชนชั้นระดับเธอนั้นต่อให้มีชายใดคิดอยากแตะปลายนิ้วก้อยของเธอก็ยังถือว่าฝันมากไป แต่นี่มันอะไรกัน
“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ข้าไม่ชอบเลย เสียงข่มขู่กับสายตาอาฆาตแบบนั้น รู้ไหมเจ้าทำให้ข้าตกใจ เอามาอีก 50 เหรียญทองเพื่อปลอบขวัญข้าเดี๋ยวนี้”
เหนือภพพูดไปพร้อมกับท่าทางสั่นเทาที่ดูอย่างไรก็แสดงไม่เนียนเอาเสียเลย ร่างกายของเขาขยับเป็นจังหวะที่เหมือนกับหัวเราะมากกว่า
“บัดซบ ! นี่เจ้ากล้ากลับคำพูดรึ เจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
เวตาลเดือดดาล ตั้งแต่เป็นหนุ่มมาจนถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครกล้ากลับคำต่อหน้าเขามาก่อน
“โอ๊ะ ข้ากลัวอีกแล้วขอเพิ่มอีก 100 เหรียญทองละกัน โอ๊ะสายตาของเจ้าน่ากลัว เอามาอีก 150 เหรียญทอง เจ้าแอบด่าข้าในใจใช่มั๊ย เอามาอีก 200 เหรียญทอง ไม่งั้นข้าไม่ยอม”
ต่อให้พวกเขาจะใช้เวลาพูดเจรจาต่อรองกันมากเท่าใดก็ไม่ทำให้เหนือภพลุกจากตัวองค์หญิงได้เลย ไม่เพียงเท่านั้น เหนือภพยังเกร็งกล้ามเนื้อพร้อมต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เขาไม่เปิดช่องว่างให้ใครมาลอบโจมตีอีกแน่
“เวตาลให้มันไปซะ”
องค์หญิงชักทนไม่ไหวกับความหน้าด้านไร้ยางอายของเหนือภพ แม้จะแค้นมากแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าหากอยู่แบบนี้ ก็มีแต่จะทำให้เกียรติขององค์หญิงอย่างเธอต้องด่างพร้อยไปมากกว่านี้
เมื่อเหนือภพได้ถุงเงินอีกถุง เขาก็ทำท่าเหมือนจะลุกออกจากตัวองค์หญิง
“ขอบคุณข้ายัง”
“นี่ไอ้บ้านนอก จะมากเกินไปแล้วนะ”
“งั้นข้าต้องเรียกเงินปลอบใจสักหน่อย”
เหนือภพกลับมาอยู่ในท่าคร่อมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ก็ได้ ๆ ขอบคุณ”
องค์หญิงกัดฝืนฟันพูด จากนั้นก็พยายามฉีกแก้มทำใบหน้ายิ้มแย้ม อ่อนโยน แต่ต่อให้ฝืนยังไงใบหน้าและแววตาของบุษย์น้ำทองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดเหนือภพมากแค่ไหน มันมากจนไม่อยากให้วิญญาณอยู่ร่วมกันในจักรวาลนี้เลยทีเดียว
“เด็กดี รู้จักขอบคุณคนที่ช่วยชีวิต แบบนี้เราค่อยเหมาะจะคบกันยาว เรื่องคราวก่อนข้าจะถือว่าไม่มีไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
เหนือภพพูดจบก็ล้วงเข้ามือไปในคอเสื้อขององค์หญิงทันที
“กรี๊ดดด”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้สัมผัสกับทรวงอกน้อยๆขององค์หญิง เขาก็สัมผัสได้ถึงกระดาษแข็งๆที่ขวางกั้นอยู่ เมื่อเขาดึงมันออกมาก็พบว่ามันคือตั๋วเงินปึกหนึ่ง แต่ละใบมีมูลค่ากว่า 500 เหรียญทอง นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่องค์หญิงสวมใส่อีกหลายชิ้นที่เหนือภพถอดออกมาอย่างหน้าไม่อาย
จากนั้นเหนือภพก็ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวไปไหน อยู่ๆพยัคฆ์คีรีก็ปรากฏตัวข้างๆเขา พยัคฆ์คีรีชกเข้าที่ใบหน้าของเหนือภพอย่างแรง
แต่ใบหน้าของเหนือภพนั้นช่างทนทายาด เหนือภพแกล้งเอียงหน้านิดหน่อยตามทิศทางที่ถูกต่อย สายตาแห่งความโกรธและสายตาเขม็งแบบเอาเรื่องได้ประสานกันอย่างรุนแรง หากสายตาของทั้งคู่ปลดปล่อยพลังได้ คงได้มีเลือดออกกันบ้างแล้ว
พยัคฆ์คีรีตำหนิเหนือภพอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ อยากให้คนในครอบครัวเจ้าต้องตายอีกเท่าไหร่ เจ้าถึงจะรู้สึกตัวสักที”
เหนือภพเงียบชะงัก คำพูดของพยัคฆ์คีรีจี้ใจดำของเขาอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ต้องการความหวังดีจากพยัคฆ์คีรีแม้แต่น้อย
“มันเรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
หัวหน้าไทเห็นแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจ นับวันความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยิ่งแย่ลง เขาจึงเดินออกไปด้วยไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาของเด็กๆ
พอบุษย์น้ำทองเห็นพยัคฆ์คีรีก้าวเข้ามาความหยิ่งทระนงและความอดกลั้นทั้งหลายก็พังทลายลงมา อยู่ ๆ เธอก็ร้องไห้โฮออกมาราวกับว่าจะเป็นจะตายเสียให้ได้
“น้ำทอง”
พยัคฆ์คีรีตกใจเมื่อเห็นสภาพขององค์หญิงน้อยแห่งแคว้นอมตะนคร ก่อนจะเหลือบมองเหนือภพที่ยังคงมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
พยัคฆ์คีรีถอดผ้าคลุมของตัวเองมาคลุมร่างของบุษย์น้ำทองเอาไว้อย่างอ่อนโยน เขายังคงวางตัวดีเสมอต้นเสมอปลาย โดยไม่นั่งใกล้องค์หญิงเกินไป เพื่อไม่ให้องค์หญิงเสียเกียรติ
แต่บุษย์น้ำทองกลับทำตรงกันข้าม เมื่อเธอได้รับความเอาใจใส่อันแสนอ่อนโยนจากเด็กชายที่เธอชอบ เธอก็โผเข้าสวมกอดพยัคฆ์คีรีทันที จากนั้นเธอร้องไห้อย่างหนัก
จนเหนือภพที่เดินจากไปไม่ไกลนักก็หันกลับมา
“ความรู้สึกช้าจริง ๆ โดนแกล้งตั้งนานไม่ร้อง อีกคนก็คงโง่เกินเยียวยาแล้วล่ะมั้งแค่นี้ก็ดูไม่ออกว่าเรื่องจริงหรือมารยา คนอะไรสมองทึบจริง ๆ”
เหนือภพเอ่ยขึ้นลอย ๆ ขณะตามติดหัวหน้าไทไม่ห่าง เขารู้ดีว่าหากเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากหัวหน้าไท เขาคงตายแน่ ดังนั้นหากหัวหน้าไทต้องการอะไร เขาก็จะบริการหามาให้ทั้งหมดเลย ขอเพียงแค่ให้เขาได้เกาะติดเพียงเท่านั้น
บนกิ่งก้านแข็งแรงของต้นก้ามปูยักษ์ต้นหนึ่ง มีสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งนั่งแกว่งขาไปมา โดยที่ใบหน้างดงามนั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก เธอสนใจเพียงสาส์นลับฉบับหนึ่งในมือเรียวงามเท่านั้น
ข้างกายของเธอยังมีบุรุษในชุดคลุมสีเทาดำนั่งอยู่ใกล้ ๆ ดุจเงาตามตัว สายของเขาจ้องมองไปยังพื้นที่ในสนามรบเบื้องหน้า หรือจะพูดให้ถูกก็คือสมรภูมิย่อม ๆ บนถนนเส้นเล็กที่ตัดผ่านป่าระหว่างเมืองนั่นเอง พวกเขาจับจ้องทุกการกระทำของเหนือภพมาโดยตลอด
“ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
เวนไตยชักสีหน้าพลางพูดต่อไปว่า
“การที่คุณหนูจะเอาเขามาอยู่ข้างเรา ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผนการขององค์อนุชานะครับ”
สตรีสูงศักดิ์เงยหน้ามองไปยังสนามรบตรงจุดที่เหนือภพอยู่
“ถึงจะดูวู่วามไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ขาดสติ หากเขาเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง น้ำทองคงตายภายใต้เงื้อมมือเขาแล้ว”
บุษย์น้ำเพชรพูดพลางเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ
“เราออกจะชอบด้วยซ้ำ คนแบบเขานี่แหละที่จะเป็นดาบที่ดีที่สุดของพวกเรา”
ความคิดของบุษย์น้ำเพชรนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เวนไตยจะเข้าใจ แต่ไม่ว่าผู้เป็นนายต้องการทำอะไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์ข้องใจ