ตอนที่ 75 เมืองโกงกาง
เมืองโกงกางเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ติดกับเมืองอมตะนคร ดังนั้นมันจึงมีการจัดวางผังเมืองที่ดีมาก รอบนอกเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ถัดเข้ามาเป็นลำคลองขนาดใหญ่ที่ขุดล้อมรอบเมืองเอาไว้ทุกด้าน ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูรก็ไม่สามารถข้ามผ่านลำคลองที่วางกับดักนี้ไปได้ นอกจากจะข้ามผ่านโดยใช้สะพานชักรอกจากประตูหลักเท่านั้น
สะพานชักรอกขนาดยักษ์ประจำประตูเมืองกว้างขนาดรถม้าสิบคันเรียงแถวหน้ากระดาน และเมืองนี้ก็มีประตูเมืองอยู่เพียง 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งประตูได้ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงเมืองหนาที่โอบล้อมเมืองเอาไว้ภายใน
ก่อนถึงกำแพงเมือง พวกเขาได้เดินทางผ่านทุ่งหญ้า ไร่นา สวนดอกไม้ สวนผักผลไม้ของชาวบ้าน เขตเกษตรกรรมของเมืองโกงกางนี้มีอาณาเขตกว้างไกลมากพอสมควร ที่นี่สามารถปลูกพืชที่มีมูลค่าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มะกอก องุ่น ข้าวบาเล่ย์ ดอกกุหลาบบิวตี้ ต้นใบเชสเตอร์สมานแผล หรือแม้กระทั่งพืชบำรุงพลังอาคมอย่างหัวหอมเปลือกดำ ก็ยังมีให้เห็นได้ประปราย อีกทั้งยังมีกลุ่มปศุสัตว์อยู่ไกลไปทางอีกฟากของเมืองอีกด้วย
เมื่อผ่านกำแพงเมืองที่หนากว่า 2 เมตรเข้ามาแล้ว พวกเขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับเมืองแสนอลังการ ความเจริญทั้งหลายที่เหนือภพได้เคยพบเห็นมาเทียบไม่ได้เลยกับที่นี่
ตึกรามบ้านช่องทั้งหลายถูกสร้างมาจากหินหลากหลายชนิด สีสันสวยงามละลานตา ประดับประดาด้วยงานแกะสลักลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม แลดูมั่นคง มั่งคั่ง และปลอดภัย ถนนหนทางทั้งหมดถูกปูด้วยหินสีเทาเข้ม และด้านหน้าอาคารทุกหลังจะมีพื้นที่สวนขนาดเล็กไว้ปลูกดอกไม้ประดับประดาสวยงาม
“โอ๊ย รวยแท้ รวยแท้”
เหนือภพนั่งรำพึงรำพันอยู่กับตัวเองที่หน้าโรงหมอ ขณะที่คนอื่นพากันเข้าไปทำแผล ใส่ยา แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น บาดแผลของเขาสมานปิดเรียบร้อยตั้งแต่เข้าเมืองมาแล้ว เขาจึงมานั่งรอคนอื่นๆอยู่ที่ม้านั่งหินเงาวับหน้าโรงหมอ พลางสอดส่องสายตาไปทั่ว
ณ ร้านขายผ้าไหมรายใหญ่แห่งเมืองโกงกาง
“นายน้อย นายน้อย มีข่าวเพิ่มเติมเรื่องเรือโดยสารที่ล่มแล้วขอรับ”
ชายรับใช้คนหนึ่งได้มอบเศษแผ่นไม้ท้องเรือ และได้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างพร้อมไล่เรียงรายชื่อบุคคลผู้ต้องสงสัยทุกคนเท่าที่เขารู้ให้นายน้อยฟัง
“หืม ผู้ต้องสงสัยคนสุดท้ายคือเด็กหนุ่มที่มีพลังดุจช้างสารงั้นสินะ ใช่คนที่ชอบแบกข้าวของพะรุงพะรังรึเปล่า”
“ใช่ขอรับ”
“คนที่มีน้องสาวน่ารักๆด้วยนะ”
“ใช่ขอรับ”
“เฮ้อ ช่างๆเถอะ สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องสืบหาอะไรอีกแล้ว”
สมุทรถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหากสืบสาวราวเรื่องต่อไปจริงๆ คนผิดคงไม่พ้นเหนือภพเป็นแน่ ดังนั้นเขาจะปล่อยเรื่องนี้ให้มันเงียบหายไปซะ เรือโดยสารลำแรกที่ตระกูลมอบให้เขาดูแลด้วยตัวเองกลับต้องมาล่มกลางทางซะนี่ เห้อ…
“แต่ว่านายน้อย เรือลำนั้นบรรทุกสินค้าหลายอย่างที่จำเป็นต้องนำไปส่งที่เมืองหลวงด้วยนะขอรับ แล้วอย่างนี้เราจะเอาของที่ไหนไปส่งล่ะขอรับ”
“เอายังงี้ก็แล้วกัน ไหนๆข้าก็จะต้องไปเมืองหลวงอยู่แล้ว เดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบนำขบวนขนสินค้าทดแทนขนจากที่นี่ไปเอง”
“แต่ว่า..”
“ไม่มีแต่ เดี๋ยวข้าจะคุยเรื่องนี้กับท่านพ่อเอง เจ้าไปเตรียมสินค้าเถอะ”
“ขอรับ อ้ออีกอย่างคนกลุ่มนั้นมาถึงเมืองโกงกางแล้ว ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงหมอขอรับ”
“อ้าวหรอ ทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้ เอาเถอะ เจ้าไปได้ละ”
“ขอรับ”
แล้วชายรับใช้ก็จากไป ทิ้งให้สมุทรอยู่ชั้นบนของร้านเพียงลำพัง สมุทรเพิ่งมาถึงเมืองได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องให้ปวดหัวเสียแล้ว ความจริงสมุทรไม่คิดอยากไปเมืองหลวงแม้แต่น้อย แต่เขาถูกครอบครัวบังคับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนฮันเตอร์เซนต์อมตะตามรอยพี่สาวและคนในตระกูล ถึงเขาจะหนีออกจากบ้านมา สุดท้ายก็ไม่วายถูกตามกลับอยู่ดี
ในระหว่างที่อยู่เมืองโกงกาง สมุทรพักอาศัยอยู่บนร้านผ้าไหมแห่งนี้ เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในร้านมากมายที่เป็นของตระกูลของเขา แม้ตระกูลของเขาจะเป็นตระกูลฮันเตอร์ที่มีชื่อเสียงด้านปราณธนู แต่ชื่อเสียงมันกินไม่ได้ พวกเขาจึงเอาดีทางด้านการค้าขายจนขยายมาเป็นกิจการร้านค้าต่างๆที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกเมืองใหญ่
สมุทรคว้าหยิบคันธนูราคาแพงของเขาขึ้นมาตามความเคยชินแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปหาเหนือภพทันที
“เหนือภพ”
“อ้าว สมุทร เจ้ามาอยู่ที่นี่เองหรอ”
“อึ้ม เจ้าบาดเจ็บตรงไหนมั๊ย ข้าได้ยินข่าวทั้งหมดแล้ว”
“ข้าสบายดี”
จากนั้นสมุทรก็เข้าไปทักทายหัวหน้าไท พล อรุณ และเหนือฟ้า ในโอกาสที่พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ต้องมีการฉลองกันหน่อย สมุทรตั้งใจจะพาทุกคนไปเลี้ยงฉลองที่หอร้อยบุปผา ที่นั่นมีทั้งอาหารเลิศรส สุรา นารี ดนตรี การแสดง ห้องพักรับรอง มีครบถ้วนทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ
“เดี๋ยวสิ สมุทร มันจะแพงมั๊ย”
เหนือภพคว้าแขนสมุทรเอาไว้อย่างเป็นกังวล ท่ามกลางสายตาสงสัยของฮันเตอร์คนอื่นๆ พวกเขาก็อยากรู้ด้วยเช่นกัน
“ก็ราคาสูงอยู่ แต่ไม่ต้องกังวล งานนี้ข้าเลี้ยง!!”
“เย้!!”
“เดี๋ยวก่อนๆ พวกเจ้าเอาข้าวของพวกนี้ไปไว้ที่ร้านของข้าก่อนดีกว่า”
“ไม่นะ”
เหนือภพไม่ยินยอม ของของเขาก็ต้องอยู่กับเขาสิ
“เถอะน่า ข้ารับประกันว่ามันจะไม่หายหรอก จะไปเที่ยวกันใครเขาจะแบกของพะรุงพะรังกันล่ะ เจ้าเก็บแค่เงินติดตัวไว้ก็พอ”
“อืม งั้นก็ได้”
ในขณะที่เหนือภพและฮันเตอร์คนอื่นกำลังขนของไปไว้ที่ร้านผ้าไหมอยู่นั้น สมุทรก็เกิดจำหน้าสองฝาแฝดที่กำลังเดินจับมือกันมาได้
“อ้าว เฮงเฮง ไหนว่าออกจากเมืองไปผจญภัยไงล่ะ ทำไมกลับมาเร็วนัก”
“ข้าคือ ซวยซวย ต่างหาก ข้าไม่ได้อยากกลับมาหรอก แค่มาพักที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น”
“ช่าย พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับหัวหน้าไท”
แล้วสองฝาแฝดก็พยักหน้าหงึกหงักให้กันอย่างเห็นพ้อง ต่อให้บ้านพ่อแม่ของพวกเขาอยู่ในเมืองนี้ก็ตาม พวกเขาก็จะไม่กลับไปให้เป็นที่ครหา ว่าออกจากบ้านไม่ทันไรก็กลับมาซบอกพ่อแม่เสียแล้ว
จากนั้นเหนือภพและสมุทรก็กอดคอกันกลมมุ่งหน้าไปที่หอร้อยบุปผา โดยไม่ลืมจูงมือเหนือฟ้ามาด้วย สมุทรไม่ได้บอกทุกคนว่าหอร้อยบุปผานั้นก็เป็นกิจการของตระกูลเขาเช่นกัน แม้จะมีหุ้นส่วนเพียงครึ่งเดียวก็ตาม