ตอนที่ 7 ข้าขอเพิ่มอีกได้ไหม
“สหัสเดชะ เป็นยักษ์ที่มีพละกำลังมาก ขอเพียงไม่ชะล่าใจ เจ้าก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือใคร การตายของสหัสเดชะจะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้แก่เจ้าว่าไม่ควรประมาท จงใช้ชีวิตอยู่ในความระมัดระวัง และยึดมั่นในกรรมดี เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจอาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่ายักษ์ตนเดียวคงไม่เพียงพอ ข้าขอเพิ่มอีกได้ไหม ยังไงมีหลายตนดีกว่าตนเดียวนะอาจารย์ อย่างคำโบราณว่า สามัคคีคือพลัง ตัวเดียวหัวหายสองตัวเพื่อนตาย”
“บ๊ะ เจ้านี่มันจริง ๆ เลย ก็ได้ หากร่างกายของเจ้ารับพลังของพวกเขาได้ และสิ่งที่สักไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ด้วยร่างกายของเจ้าที่มีเหล็กไหลราชันย์พิภพอยู่น่าจะสามารถแบกรับลายยันต์ได้ถึงสามอย่าง แต่หากเจ้าต้องการเพิ่มเจ้าก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้”
เหนือภพยิ้มกว้างอย่างดีใจ จนเกือบจะโผเข้ากอดอาจารย์ด้วยความตื้นตัน
“อาจารย์รักข้าที่สุดเลย หากศิษย์พี่รู้เข้าคงอิจฉาข้าตายแน่”
“สำรวมกิริยาของเจ้าหน่อย”
“ครับอาจารย์”
“แขนซ้ายของเจ้าข้าจะสักผู้ทรงกำลังสหัสเดชะ จงมีสติรอบคอบ อย่าประมาท แขนขวาคือผู้ทรงฤทธิ์ทศกัณฐ์ จงพึงระงับยับยั้งชั่งใจตนเอง อย่าได้ลุ่มหลงในอำนาจและอิสตรี ส่วนแผ่นหลัง ข้าเห็นว่าควรเป็นตรีบุนัม อย่าคิดลำพองใจ
อดีตยักษ์สามตนนี้เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนพิศวง แต่ล้วนกระทำกรรมชั่วอย่างหนัก คิดว่าตัวเองทรงอิทธิฤทธิ์ ทำให้ชีวิตถึงจุดจบที่ไม่สงบสุข แม้จะกลับตัวกลับใจก็ยังต้องชดใช้บาปกรรมที่เคยก่อ เมื่อเจ้าใช้พวกเขาในการทำกรรมดี พวกเขาก็จะได้รับกรรมดีไปด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ครับอาจารย์”
แล้วเหนือภพก็รับขันเงินที่บรรจุน้ำสีทองขึ้นมาดื่มหลายอึกจนเขารู้สึกมึนหัว
นี่คือเหล้าน้ำผึ้งแสงจันทร์เดือนห้า หากกินน้อยจะเพิ่มพลังให้เหล็กไหลสำแดงอิทธิฤทธิ์ หากกินมากจะมีฤทธิ์ในการมอมเมาเหล็กไหลให้ไร้การตอบสนองไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ยิ่งเป็นเหล็กไหลระดับราชันย์ เขายิ่งต้องกินในปริมาณมากจึงจะสามารถสะกดเหล็กไหลให้เคลิบเคลิ้มได้ชั่วคราว
เข็มที่อาจารย์ใช้สักคือเหล็กไหลโบราณ อาบด้วยน้ำผึ้งเดือนห้ากลางแสงจันทร์มานานกว่า 100 ปี ผ่านการทำพิธีสืบทอดมารุ่นสู่รุ่น เป็นของขลังที่ทรงอิทธิฤทธิ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์แก้วแห่งนี้ โดยใช้พลังลี้ลับที่ชักนำมาจากมิติพิศวงแทนน้ำหมึก
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เหนือภพไม่รู้เลยว่า หากเริ่มสักเมื่อไหร่จะไม่มีการหยุดพักให้คลายความเจ็บปวดเลย หากเขารู้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ขอให้อาจารย์สักมากขนาดนี้ แค่ยักษ์ตนเดียวก็มีลวดลายละเอียดมากพอแล้ว แต่นี่กลับเป็นรูปยักษ์ถึงสามตน
“อะไรกัน ผิวหนังเจ้าเหนียวขนาดนี้เชียวรึ สงสัยต้องออกแรงกันหน่อย”
“อาจารย์อย่า อ๊าาา”
ในท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู พระอาจารย์ยืนค้ำอยู่ข้างหลังของเหนือภพ เท้าข้างหนึ่งวางปักหลักมั่นบนพื้น เท้าอีกข้างยกขึ้นยันไหล่ของเขา มือข้างหนึ่งกางออกเพื่อทรงตัว ส่วนมืออีกข้างก็ถือเข็มสักที่มีขนาดยาวเกือบครึ่งวาไว้แน่น จากนั้นพระอาจารย์ก็เริ่มออกแรงสักด้วยท่าทางคล้ายชาวประมงกำลังเอาฉมวกไล่แทงปลา
ส่วนเหนือภพนั้นได้แต่นั่งนิ่งยอมรับความเจ็บปวดแต่โดยดี
พิธีกรรมการสักดำเนินต่อเนื่องมายาวนานถึง 6 เดือนเต็ม เป็นเวลาครึ่งปีที่วิหารเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ความเจ็บจี๊ดราวกับถูกมดกัดหลายพันล้านตัวในทุก ๆ วินาที เลือดไหลซึมออกมาจำนวนมาก เพราะฤทธิ์ของเหล้าที่ทำให้เลือดภายในร่างกายสูบฉีดแรง
แต่โดยรวมแล้วผิวหนังของเขาก็มีความทนทานต่อความเจ็บปวด และการเสียเลือดมาก คงเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ให้เขาแช่น้ำว่านบำรุงผิวพรรณบ่อยครั้ง คล้ายกับว่าท่านเตรียมพร้อมสำหรับการนี้ตั้งแรก ทำให้การสักผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
สีหน้าพระอาจารย์สิริซีดเซียว นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความเมตตากรุณาอ่อนล้าลงมาก ส่วนเหนือภพนั้นนั่งพักเพียงครู่เดียวก็เริ่มกลับมากระปรี้กระเปร่า เนื่องจากร่างกายเขามีการฟื้นฟูได้เร็วกว่าคนธรรมดาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว
เหนือภพจึงหันไปประคองพระอาจารย์กลับสู่กุฏิ เพื่อให้ท่านได้พักผ่อน
“อาจารย์ ลำบากท่านแล้ว มาเถอะให้ข้าได้ช่วยท่าน”
จากนั้นเขาก็ปลีกตัวไปหุงหาอาหารสำหรับตัวเองและพระอาจารย์ เนื่องจากตลอด 6 เดือนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่มอะไรเลย ทำให้ร่างกายของเขาและอาจารย์อ่อนแอ
แม้โบสถ์แก้วจะมีพลังชีวิตประหลาดที่ทำให้ผู้อยู่ภายในรู้สึกอิ่มทิพย์อยู่ตลอด แต่เมื่อใดที่ออกมาภายนอก ความหิวก็จะจู่โจมทันที
ช่วงเวลาที่ระหว่างทำอาหาร เหนือภพก็มองสำรวจดูแขนซ้ายและแขนขวาที่มีเพียงร่องรอยช้ำเลือด แต่กลับมองไม่เห็นหมึกรอยสักที่อาจารย์สักให้เลย
‘เอ ไม่มีรอยสักหรอ เอาไว้ถามอาจารย์อีกทีละกัน’
จากนั้นก็เปิดดูแท็บแล็ตที่นาน ๆ ทีเขาถึงจะเรียกออกมาสักครั้ง ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่แท็บแล็ตก็กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ จำนวนพ้อยทั้งหมดที่เขาเคยเติมล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้นตั้งแต่อยู่ที่โพรงถ้ำกับกลิ่นจันทน์
และการที่เขาได้มองมันก็เหมือนได้เห็นกลิ่นจันทน์อีกครั้ง เขารู้สึกได้ว่าบนแท็บแล็ตมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอคนนั้นที่ยังติดตราตรึงใจเขาอยู่ ทำให้เขาคิดถึงความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีด้วยกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยความเจ็บปวดก็ตาม
“เจ้าก็ยังคงฟุ้งซ่าน”
“อาจารย์”
เหนือภพสะดุ้งเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์ปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
ตอนแรกเขาคิดว่าอาจารย์เหงาจึงชอบหาเรื่องมาอยู่ใกล้เขา มาหาเรื่องคุยกับเขา แต่ความจริงแล้วอาจารย์รู้ดีว่าภายในใจเขาเจ็บปวด มักคิดฟุ้งซ่านยามที่อยู่คนเดียวเสมอ
อาจารย์จึงเข้ามาเพื่อพูดคุยปรับทุกข์ อาจารย์บอกว่าคนบางคนจำเป็นต้องอยู่คนเดียวถึงจะคิดได้ แต่คนบางคนยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งฟุ้งซ่าน และเขาเป็นคนประเภทหลัง
อาจารย์กังวลว่าเขาจะเลือกเดินทางผิด ปล่อยให้ความแค้นครอบงำแล้วจะกลายเป็นแบบศิษย์พี่รองอีกคน สุดท้ายสองมือก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคนบริสุทธิ์มากมาย เพื่อสังเวยในสิ่งที่เรียกว่า
‘ความแค้น’
“อาจารย์ ข้าทำให้ท่านกังวลอีกแล้ว ข้าไม่เป็นไร หากไม่ใช่เพราะท่านคอยอบรมสั่งสอนข้า บางทีข้าคงเป็นคนเก่าที่วัน ๆ จ้องจะฆ่าฟัน แต่ถึงยังไงในใจข้าตอนนี้ก็ไม่ได้สงบ มีเรื่องมากมายที่ข้ายังไม่สามารถละทิ้งได้”
“ศิษย์ข้า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร หากเจ้ากล้าที่รับผลกรรมที่จะสะท้อนกลับมา ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขวางอะไร เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นของเจ้า”
“ครับอาจารย์”
เหนือภพพาอาจารย์ไปพักผ่อนพลางรับปากอาจารย์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่คิดฟุ้งซ่าน จากนั้นเขาจึงเอาเวลาส่วนใหญ่ไปฝึกซ้อมเพลงมวยพหุยุทธ์ ตอนนี้เขาสามารถฝึกเพลงมวยพหุยุทธ์ขั้นที่ 31 ได้คล่องมากแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะฝึกขั้นที่ 32 กระบวนท่าที่เขาใช้ได้อย่างช่ำชองในตอนนี้มีทั้งหมด 30 ท่า
ส่วนกระบวนท่าที่ 31 มีหลายครั้งที่เกิดการผิดพลาด เขาต้องฝึกซ้ำ ๆ ฝึกแบบย้ำคิดย้ำทำ จนร่างกายสามารถจดจำกระบวนท่าได้เอง และเมื่อถึงเวลาร่างกายก็จะสามารถตอบสนองได้โดยสัญชาตญาณ