ตอนที่ 64 ใครทำเรือล่ม
หลังจากกัปตันเรือได้แผ่นไม้ไป เขาก็เรียกให้ลูกมือคนสนิท ช่างต่อเรือที่ทำงานร่วมกันมาตรวจดู ยิ่งนานสีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวเป็นกังวล
พลเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรไปอยู่ตรงไหน อาหารก็ยังทำไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงตรงเข้ามาหากัปตันเรือ เผื่อว่าจะมีเรื่องสนุกอะไรให้ทำบ้าง
“แผ่นไม้นี้มีดีอะไรหรือเปล่า ทำไมพวกท่านดูสนใจมันนัก”
พลเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะมองชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นช่างต่อเรือ เขาพินิจพิเคราะห์แผ่นไม้ยาวกว่าสองเมตรนี้อย่างละเอียด จากนั้นเขาก็ให้คนไปออกตามหากอบกู้แผ่นไม้แบบเดียวกันนี้มาเพิ่มอีก
นายช่างเห็นแก่ที่พลเก็บกู้ไม้แผ่นนี้มาได้ เขาจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พลฟัง แล้วพลก็นำเรื่องราวมาบอกต่อให้แก่เหนือภพและหัวหน้าไทฟังด้วยความรู้สึกที่เคลือบแคลงสงสัยไม่ต่างจากคนกลุ่มนั้น
“หัวหน้าท่านดู แผ่นไม้พวกนี้ มีความพิเศษอย่างที่ข้าคิดจริงๆ มันมีความแข็งแกร่งและทนทานอย่างมาก นิยมนำมาใช้เป็นพื้นใต้ท้องเรือ ไม้ชนิดนี้ผิวด้านนอกของมันถูกเคลือบด้วยแร่สองสี ความแข็งแกร่งของมันจึงสูงมาก ต่อให้เป็นอสูรกริมก็ไม่มีทางเจาะทะลุจากภายนอกเข้ามาในเรือได้ แต่น่าแปลก…ทำไมมันถึงแตกร้าวได้ขนาดนี้”
พลพูดตามคำวิเคราะห์ของนายช่างเรือแบบไม่มีผิดเพี้ยน
“เว้นเสียแต่ว่ามันจะถูกทำลายจากด้านใน เจ้าจะพูดแบบนี้ใช่หรือไม่”
หัวหน้าไทเริ่มเกิดข้อสงสัยบางอย่าง ตัดความเป็นไปได้ที่ว่า อสูรกริมเจาะทะลวงจากด้านในทิ้งไปได้เลย มันเป็นไปไม่ได้
“นั่นล่ะที่ข้าสงสัย ตอนนี้พวกนายช่าง กำลังให้คนกอบกู้ซากท้องเรือ บางทีอาจจะได้คำตอบเพิ่มเติม”
เหนือภพได้ยินดังนั้นก็นึกสนใจขึ้นมา มันทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่อยู่ๆสัตว์อสูรใต้ท้องเรือก็หลุดออกมาจากกรง เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายที่ปล่อยสัตว์อสูรเหล่านั้น จะเป็นคนคนเดียวกันกับที่ทำเรือล่ม
แต่เมื่ออาหารทั้งสามอย่างเสร็จเขาก็แบ่งส่วนของน้องสาวและของตัวเองเอาไว้ต่างหาก ส่วนที่เหลือเขาก็ยกให้หัวหน้าไทจัดการเอาไปแบ่งกันเอาเอง
เหนือภพนั่งกินอาหารกับเหนือฟ้าอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งมีเสียงของเหล่านายช่างเรือโหวกเหวกโวยวายบางอย่าง กับคนคนหนึ่ง คนคนนั้นเหนือภพรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก ถ้าหากจำไม่ผิด เขาคือหัวหน้าเข้มหัวหน้าเวรที่มีหน้าที่จัดการข้าวของใต้ท้องเรือ ทั้งยังเป็นคนที่รับเขาเข้าทำงานเป็นคนเฝ้าสัตว์อสูรอีกด้วย
เหนือภพยกชามข้าวเดินไปกินไปอย่างสนใจด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน คนส่วนใหญ่ที่เห็นเหนือภพเดินมาต่างก็หลีกทางให้เขาเดินผ่านเข้าไปในวงล้อมของเหล่านายช่างเรือได้อย่างสะดวก
หลายคนทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือต่างยืนล้อมรอบแผ่นไม้ปริศนาเป็นวงกลม เพื่อช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์หาสาเหตุที่แท้จริงที่เรือล่ม
เหนือภพมองแผ่นไม้ท้องเรือที่ตอนนี้นำมาประกอบกันได้เพียงสามในสิบส่วน แต่เพียงแค่สามส่วน ก็บ่งบอกเรื่องราวสาเหตุการล่มของเรือโดยสารลำนี้ได้อย่างชัดเจน
แววตาของเหนือภพรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นไม้นี้เป็นอย่างมาก แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหน รอยร้าวเล็กๆที่แตกระแหงกระจายออกจากจุดศูนย์กลาง มันมีร่องรอยอะไรสักอย่างยาวๆรีๆที่ถูกกดลึกลงไปในแผ่นไม้
“ข้าคิดว่ามันคงเป็นอาวุธ” นายช่างเรือคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ต้องเป็นอาวุธประเภทค้อนอย่างแน่นอน ข้าคิดว่า หนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่ใช้ค้อนเป็นอาวุธน่าสงสัยที่สุด เป็นเขาแน่!!”
คำพูดของนายช่างเรื่องคนนี้ทำเอาฮันเตอร์คนหนึ่งที่ใช้ค้อนเป็นอาวุธถึงกับสะดุ้ง พลางชี้หน้าตัวเอง
“ข้าหรอ จะเป็นข้าได้ยังไง ค้อนที่ข้าถืออยู่กับรอยนั่นมันคนละขนาดเลยนะ”
คำแก้ต่างของฮันเตอร์คนนั้นพร้อมกับการทาบค้อนเป็นหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ทุกคนเชื่อเขา แต่พวกเขาก็ยังพยายามวิเคราะห์ต่อไป และทุกการวิเคราะห์จะต้องมีคนโชคร้ายอยู่ในกลุ่มคนที่มุงดูเสมอ แต่พอตรวจสอบแล้วกลับพบว่าเป็นการเข้าใจผิดทั้งหมด ทำให้นายช่างคิดไม่ตกว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ท้องเรือร้าวได้มากขนาดนี้ จนเกิดการรั่วทะลักของน้ำเข้ามาได้
“เหมือนรอยของรองเท้า”
จู่ ๆ พยัคฆ์คีรีก็เอ่ยขึ้นก่อนจะลองเอามือไปทาบดู
“ดูจากรอยแล้ว ไม่ใช่เท้าผู้ใหญ่ มันต้องเป็นเด็ก และเด็กคนนั้นต้องมีกำลังมากมหาศาลที่กระทืบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เรือร้าวได้มากขนาดนี้”
พยัคฆ์คีรีวิเคราะห์ขณะชายตามองมายังเหนือภพที่กำลังกินข้าวอยู่สบายอารมณ์
เหนือภพสำลักพรวดในทันที จากนั้นภาพความทรงจำก็ย้อนกลับมาในหัวของเขา
“เจ้าหมาบัดซบ! ข้าจะกระทืบเจ้าให้แบนไปเลย”
ตึง!!
เหนือภพสะดุ้งขณะที่ทุกคนจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว เหนือภพมีสายตาเลิ่กลั่กก่อนจะยกเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองขึ้นมา
“หากเป็นข้าจริงๆมันคงไม่เป็นรอยรองเท้าหรอก แล้วอีกอย่างต่อให้ข้าแรงมาก แต่จะขนาดกระทืบเรือพังในครั้งเดียวได้นั้นไม่มีทางหรอก ต่อให้สักสิบครั้งร้อยครั้งก็เป็นไปไม่ได้”
เหนือภพพยายามแก้ต่างอย่างสุดฤทธิ์ แต่เขารู้ดีแก่ใจว่า สาเหตุของเรือล่มคงไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกเป็นเขานี่เอง เขาไม่คิดว่าแรงกระทืบที่สุดกำลังของเขาครั้งนั้นจะรุนแรงได้มากขนาดนี้
‘จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนจะเห็นไม้มีรอยร้าวนิดๆนะ แต่ข้าไม่คิดว่าน้ำมันจะรั่วเข้ามาได้นี่นา ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ’
“ใช่ๆ ข้าว่าเด็กตัวแค่นี้ แถมยังเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“อืม คงงั้น”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ พวกเจ้าเก็บหลักฐานพวกนี้แล้วส่งไปให้ร้านสาขาพิจารณาอีกที”
และแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงพยัคฆ์คีรีที่มองเหนือภพนิ่งนานอย่างประเมินอยู่ในที เหนือภพไม่กล้าอยู่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก เขารีบกลับไปรวมกลุ่มกับหัวหน้าไทในทันที
วันต่อมากลุ่มผู้รอดชีวิตก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน บางกลุ่มก็ปักหลักอยู่ที่เดิมเพื่อรอเรือโดยสารลำใหม่มารับ แต่ก็อีกเกือบ 2 สัปดาห์กว่าที่เรือจะมาถึง บางกลุ่มรอไม่ไหวก็พากันเข้าป่า มุ่งหน้าไปทางเมืองอัมพุ แต่กลุ่มของเหนือภพนั้นมีเป้าหมายคือเมืองโกงกาง เมืองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงของอมตะนครมากที่สุดนั่นเอง
กลุ่มคนเกือบ 50 คนที่ไม่ต้องการรอเรือลำใหม่ ต่างพากันมุ่งหน้าเข้าเมืองโกงกางโดยตัดผ่านป่าเขา พวกเขาต้องใช้เวลาเดินเท้าอีกประมาณ 5 วัน ก็จะถึงเมืองจุดหมาย และเดินทางต่ออีกแค่ 1 วันก็จะสามารถเข้าสู่เขตเมืองอมตะ เมืองหลวงแห่งอมตะนคร