ตอนที่ 62 จบสักที
ทั้งมีนาและเหนือภพถูกหางอสูรกริมลากลงไปในน้ำ ดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆจนพวกเขาสำลักออกมา เหนือภพพยายามจะสะบัดขายังไงก็ตาม มีนาก็ไม่คิดจะปลดปล่อยมือจากเขาแม้แต่น้อย มือนางช่างเหนียวเกินหญิงนัก เขาจึงได้แต่ปลงพูดไม่ออกบอกไม่ได้
ความจริงแล้วเหนือภพมีความคิดที่จะช่วยมีนาด้วยการวกกลับมาจัดการกับปลายหางเจ้าปัญหานี้ เขาจะเตะมันให้ช้ำเลย แต่ติดตรงที่มีนาไม่ยอมปล่อยมือจากขาของเขานี่สิ
หัวหน้าไทมาถึงจุดที่อรุณและพยัคฆ์คีรีนั่งอยู่ เมื่อเห็นชัดว่าเหนือภพและมีนาถูกลากลงไปใต้น้ำแล้ว ออร่าปราณอาคมของหัวหน้าไทก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
‘หมัดเทวะ บทที่ 8 หมัดฝนเทวะ’
ทันใดนั้นเหนือผืนน้ำก็เกิดเมฆหมอกสีทองลอยต่ำฟุ้งเต็มทะเลสาบ หมอกสีทองค่อยๆเกาะกลุ่มกันเป็นกำปั้นเล็กๆขนาดเท่ากำปั้นของคนจริงๆ แต่จำนวนของมันนั้นมากดังหยาดฝน เพียงอึดใจเดียวหมัดฝนเทวะนับพันก็พุ่งดิ่งลงสู่ใต้น้ำ เป้าหมายของมันคือเจ้าอสูรกริมตัวใหญ่นั่นเอง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงรัวหมัดอาคมนับพัน สร้างความฮือฮาให้แก่กลุ่มคนผู้รอดชีวิตเป็นอย่างมาก
“โห เขาทำได้ยังไง”
“นี่สินะคือพลังของแรงค์ D”
“ดูนั่นสิ ว้าว”
จากนั้นก็มีเสียงคำรามครืนครันบนท้องฟ้า หมัดฝนเทวะที่ก่อกำเนิดขึ้นมาระลอกสองเริ่มจับกลุ่มรวมกันอีกครา แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่หมัดน้อยๆอีกแล้ว หมอกสีทองทั้งหมดรวมตัวเข้าเป็นหมัดยักษ์เพียงหมัดเดียว หมัดนี้มีขนาดใหญ่พอๆกับตัวอสูรกริมเลยทีเดียว นี่จึงจะเรียกว่าหมัดเทวะที่แท้จริง
แล้วหมัดเทวะก็ต่อยลงไปที่กลางทะเลสาบอย่างแรง คลื่นน้ำกระเพื่อมซัดสาดจนผู้คนริมฝั่งเปียกปอนกันอีกครา อสูรกริมงอตัวสะบัดไปมาอยู่ใต้น้ำด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามอสูรที่มีความอันตรายเกินระดับ 10 เช่นนี้ก็คงไม่ถูกกำราบได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
“ว๊าย”
“อ๊าา”
ในช่วงจังหวะหนึ่งของการดิ้นสะบัด เหนือภพและมีนาถูกหางยักษ์เหวี่ยงขึ้นเหนือน้ำพอดี หากจะช่วยพวกเขาก็ต้องช่วยในจังหวะนี้เท่านั้น ฮันเตอร์บนฝั่งต่างร่ายอาคมกันเต็มที่ แต่ทว่าพวกเขายังช้าไปเมื่อเทียบกับบุคคลนิรนามคนหนึ่ง
ชายนิรนามรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม เขามาจากไหนไม่มีใครรู้ เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ และเขามีพลังอาคมระดับใดก็ยังเป็นปริศนา
ทุกคนเห็นเพียงว่าในเสี้ยววินาทีนั้น จู่ๆชายผู้นี้ก็ลอยตัวอยู่ข้างกายเด็กทั้งสองแล้ว พร้อมๆกับอาคมมัจฉาวารีชนิดหนึ่ง มันคือปลากระโทงดาบขนาดยักษ์ที่ถูกเสกสร้างจากมวลน้ำจำนวนมหาศาล ปลากระโทงดาบใหญ่โตพอๆกับอสูรกริม แต่ที่มากกว่าคือปากยาวแหลมที่เปรียบเสมือนดาบของมัน
ช่างเป็นภาพอันตระการตาเมื่ออสูรปลายักษ์สีรุ้งหันหัวจ้องมองไปบนท้องฟ้า เพื่อประจันหน้ากับปลากระโทงดาบยักษ์โปร่งใสที่กำลังพุ่งปากดาบของมันลงมาจากฟ้า และแล้วคู่อริปลายักษ์ก็เอาหัวพุ่งชนกันอย่างแรง
ตู้มม!!!
หากที่ผ่านมาเรียกว่าเกิดคลื่นน้ำรุนแรง ครานี้คงต้องเรียกมันว่าคลื่นน้ำมหันตภัย มันซัดฝั่งทั้งสองข้างจนรากต้นไม้หลุดจากพื้นดิน เหล่าฮันเตอร์ที่อยู่ใกล้ฝั่งต่างถูกน้ำพัดกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร
มัจฉาวารีปากดาบแตกกระจายกลายเป็นคลื่นน้ำ ส่วนอสูรกริมนั้นก็บาดเจ็บไม่น้อย ตลอดชีวิตไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีของมัน มันไม่เคยถูกทำร้ายขนาดนี้มาก่อน แค่จะขึ้นมากินเหยื่อที่บังอาจปลุกมันให้ฟื้นตื่น กลับกลายเป็นมันที่ต้องถูกทำร้าย มันทำผิดอะไรถึงต้องโดนรุมแบบนี้
จากนั้นอสูรกริมก็สะบัดหางไปมาแล้วดำดิ่งหนีลงไปที่ก้นทะเลสาบด้วยความน้อยใจในทันที ทิ้งไว้เพียงหย่อมเลือดสีม่วงและเกล็ดสีรุ้งลอยเท้งเต้งอยู่บนผิวน้ำ
ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบนี้เกิดขึ้นเร็วมาก แม้แต่เหนือภพและมีนาก็ยังตกไม่ถึงผิวน้ำด้วยซ้ำ จากนั้นชายนิรนามก็พุ่งตัวไปรับมีนาไว้ในอ้อมแขนและพาเธอกลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ส่วนเหนือภพนั้นก็เป็นเช่นที่ควรเป็นตามธรรมชาติ
ซูม!
เหนือภพตกลงไปในทะเลสาบอีกครั้งโดยไม่ได้รับการแยแสหรือใส่ใจจากชายนิรนามเลย
“แฮ่กๆ วันนี้ข้าตกน้ำกี่ครั้งแล้วเนี่ย ซวยจริงๆ”
เหนือภพตะเกียกตะกายว่ายไปเกาะที่เกล็ดยักษ์สีรุ้ง แม้จะเป็นเพียงเกล็ดเดียวที่หลุดออกจากตัวอสูรกริม แต่มันก็ใหญ่โตมากพอที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเหนือภพได้
“โอ้ สวยใช่เล่นเลยนะเนี่ย ว่าแต่ข้าจะหาวิธีกินมันได้รึเปล่านะ”
เหนือภพจ้องมองเกล็ดปลาสีรุ้งที่มีขนาดพอๆกับกระทะขนาดใหญ่อย่างสงสัย หากเขากินมันได้ก็ไม่รู้ว่ามันจะมีสรรพคุณเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามเขาจะเก็บมันไว้เป็นอย่างดี
จากนั้นเหตุการณ์ก็คลี่คลายไปได้อย่างแท้จริง เหนือภพถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากน้ำ เขาได้มาพักรวมกลุ่มกับผู้รอดชีวิตนับร้อยคน ส่วนผู้รอดชีวิตอีกส่วนที่หนีขึ้นฝั่งตรงกันข้ามก็เริ่มรวมตัวพักฟื้นเช่นกัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาปราณอาคมของเหล่าฮันเตอร์ก็ถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มเปี่ยม ชายนิรนามยังคงยืนอยู่ข้างกายมีนาไม่ห่าง เขาไม่เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น ส่วนคนอื่นๆก็ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาเช่นกัน
“ท่านคือคนจากตระกูลหลักใช่มั๊ยคะ”
มีนาเงยหน้าสบตาถามชายนิรนามอย่างกล้าหาญ เขาไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเพียงอย่างเดียว จากนั้นมีนาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เกิดความเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ จนชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มว่า
“ไปกับข้า เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว”
มีนาเข้าใจในทันที นี่คือสิ่งที่ตระกูลของเธอรอคอยมาตลอด ถึงอย่างนั้นมีนาก็หันกลับไปมองพยัคฆ์คีรีอย่างอาวรณ์
‘สักวันข้าจะกลับมาหาเจ้า’
ส่วนพยัคฆ์คีรีก็ได้แต่มองมีนาเดินตามชายผู้นั้นจนลับหายไปในแนวป่าเบื้องหน้า ทุกตระกูลย่อมมีเรื่องราวเบื้องหลังของตัวเอง เขาเข้าใจได้ดี
‘เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะพัฒนาตัวเอง เจอกันครั้งหน้า เจ้าจะต้องภูมิใจในตัวข้า..มีนา’