ตอนที่ 59 ข้าอยากจะกรี๊ด
เหนือภพไม่เคยอยู่รอความตาย เขาออกตัววิ่งกระโดดไปตามลังไม้ที่กระจัดกระจายบนผืนน้ำทะเลสาบ หากจุดไหนไม่มีแพ หรือไม่มีท่อนไม้ หัวหน้าไทที่อยู่บนฝั่งจะคอยใช้ปราณอาคมกระแทกแพลอยไปตามตำแหน่งต่างๆ ให้เหนือภพใช้มันเป็นเส้นทางในการเหยียบย่ำข้ามผ่าน
ร่างกายของเหนือภพปรากฏบาดแผลจำนวนนับไม่ถ้วน เลือดไหลโซมกาย หากเป็นมนุษย์ปกติร่างกายคงจะอ่อนแรงและล้มลงแล้ว แต่เหนือภพกลับตรงกันข้าม ท่าทางของเหนือภพยังคงแข็งแรง ประกายตายังคงสดใสคล้ายว่าร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ใช้กำลังไปมากและต่อเนื่องมากกว่าคนอื่นๆในที่นี้
นั่นจึงทำให้ที่ทุกคนอยู่บนฝั่งไม่อาจเข้าใจได้ สายตาของทุกคนต่างลุ้นระทึก หลายคนส่งเสียงเชียร์หวังให้เหนือภพรอดกลับไปได้
ณ ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามกับที่คนส่วนใหญ่อยู่
บุษย์น้ำเพชรจ้องมองเหนือภพที่กำลังหนีจากฝูงพรายอสูร สัตว์อสูรที่ฮันเตอร์ระดับสูงยังไม่ค่อยอยากยุ่ง เธอตั้งความหวังกับเหนือภพไว้มาก ในคราแรกเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเหนือภพมากนัก ว่าเขาจะใช่คนของตระกูลเทพนักขุดหรือเปล่า จึงให้เวนไตยไปทดสอบความสามารถ แต่สุดท้ายเธอกลับพบว่าความสามารถของเหนือภพนั้นเหนือกว่าที่คาดหวังไปมาก
“เจ้าช่วยเขาได้หรือเปล่า”
บุษย์น้ำเพชรถามเสียงแผ่วเบาโดยที่สายตายังคงจ้องไปที่กลางทะเลสาบ
“ช่วยได้สิ แต่ถ้าเขารอดจากสัตว์อสูรนับร้อยบนเรือมาได้ เขาก็น่าจะรอดจากฝูงพรายอสูรได้เช่นกัน”
เวนไตยวิเคราะห์อย่างฮันเตอร์ผู้มีประสบการณ์ ความยากลำบากแค่นี้สำหรับเขาแล้วจะนับเป็นอะไรได้
“เหนือภพ!”
มีนาฟื้นฟูปราณอาคมได้กว่าครึ่งแล้ว เธอจึงไม่ลังเลที่จะออกไปช่วยเหนือภพ โดยกระโดดขึ้นแพไม้แล้วใช้มัจฉาอาคมผลักแพไม้ให้เคลื่อนที่ออกไปกลางทะเลสาบอีกครั้ง พยัคฆ์คีรีเห็นแบบนั้นก็ยอมไม่ได้ แม้ปราณอาคมของเขาจะฟื้นกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงทำใจกล้ากระโดดขึ้นแพมากับมีนา
จากนั้นไม่นานพวกเขาก็สละแพ และวิ่งสลับกับกระโดดไปตามกล่องไม้ที่ถูกเรียงต่อเอาไว้โดยฝีมือของหัวหน้าไทกับพี่พล
ด้านหลังพยัคฆ์คีรีกับมีนาปรากฏร่างของอรุณที่หมุนควงหอกยาวตามมาติดๆ หลังจากได้พักฟื้นฟูปราณอาคมเสร็จแล้ว ความเร็วและความว่องไวของอรุณนั้นจึงเหนือกว่าพยัคฆ์คีรีกับมีนา
เพียงครู่เดียวอรุณก็แซงพวกเขาทั้งสอง พร้อมร้องเตือนออกไปอย่างหวังดีว่า
“พวกเจ้าสองคนกลับไป ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
อรุณเคลื่อนตัวไปที่ใด พรายอสูรที่อยู่บริเวณนั้นไม่ถูกตัดหัว ก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน เพียงครู่เดียวเขาก็ไปถึงจุดที่เหนือภพอยู่ แม้ไม่เคยต่อสู้ร่วมกันมาก่อน แต่ทั้งสองกลับเข้าขากันอย่างน่าเหลือเชื่อ
เหนือภพรู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถฆ่าสัตว์อสูรได้ แต่เขามีดีที่อึดถึกทนและมีพละกำลังมาก พอคว้าจับพรายอสูรได้ก็กดหัวพวกมันให้อรุณกุดหัว บ้างก็โยนไปให้อรุณผ่าร่างพวกมันอย่างสะดวกสบาย
“เจ้าไปก่อนเลย ข้ากันหลังเอง”
อรุณพูดขึ้นขณะฟันพรายอสูรที่กระโดดเข้ามาใกล้ตัวซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดทางให้เหนือภพได้ถอยกลับไปตามแพทางเดิน
“ได้”
เหนือภพอยากจะออกจากจุดนี้เต็มทีแล้ว ร่างกายของเขาแทบจะไม่ที่ว่างสำหรับบาดแผลใหม่อีกแล้ว เสื้อผ้าฉีกขาดไม่มีชิ้นดี เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในที่หากโดนโจมตีซ้ำๆ มันก็พร้อมจะขาดตลอดเวลา ผิดกับอรุณที่ในตอนนี้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขายังสมบูรณ์พร้อมด้วยเกราะป้องกันจากปราณอาคม แม้แต่พวงหางจิ้งจอกก็ยังดูสวยงามเป็นพวงอยู่เช่นเดิม
อึดใจต่อมาเหนือภพ มีนา และพยัคฆ์คีรีก็วิ่งมาเจอกันที่กลางทะเลสาบห่างจากฝั่ง 280 เมตร
พวกเขาต่างเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูง และวิ่งมาบนเส้นทางเดียวกันซะด้วย มีนาสะบัดมือเพียงนิดเดียวร่างกายของเธอก็ลอยขึ้นฟ้าในทันใด
แต่พยัคฆ์คีรีและเหนือภพกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ย”
“อ๊อกก”
เหนือภพและพยัคฆ์คีรีชนกันอย่างรุนแรงจนตกน้ำไปด้วยกันทั้งคู่
“ข้ามาช่วยเจ้านะ แต่เจ้ากลับชนข้า”
พยัคฆ์คีรีแผ่ปราณอาคมสีเหลืองออกมาเพียงครู่เดียวตัวเขาก็ลอยขึ้นมาอยู่บนลังไม้ได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นหน้าผากของเขาที่ตอนนี้มีเลือดค่อยๆไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
“เจ้านั่นแหละ รู้จักแหกตาดูซะบ้าง ชอบอวดเก่งนักรึไง ถึงเอาแต่หลับตาต่อสู้อยู่ยังงี้”
เหนือภพตวาดไปพร้อมกับตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำอย่างทุลักทุเล
อารมณ์ของเหนือภพใกล้จะขาดผึงเต็มที แม้ว่าร่างกายของเขาอาจจะทนทานต่อความกดดัน ความเจ็บปวดนานัปการแต่จิตใจของเขากลับไม่ใช่เช่นนั้น
จิตใจของเขามันก็มีขีดจำกัดของมัน
“ถ้าเอาแต่หลับตายังงี้ ก็อย่ามาเกะกะข้าจะดีกว่า”
ด้วยความหงุดหงิดทำให้เหนือภพตวาดพยัคฆ์คีรีไปเช่นนั้น ทั้งๆที่ปกติเขาจะไม่ชอบว่าใคร
“ถอยไปเลยนะ”
“เจ้านั่นแหละ ถอยไป กล้าพูดยังงี้กับข้าหรอ”
เหนือภพและพยัคฆ์คีรียั้งอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป รอยร้าวในอดีตที่ถูกเก็บกดมานานเกิดจะมาแตกระเบิดออกในเวลานี้
“ทำไมข้าจะไม่กล้า ขนาดตอนเป็นเด็กเจ้าใช้อาคมได้ก่อนใคร ข้ายังไม่กลัวเลย แล้วตอนนี้ที่ข้าเป็นฮันเตอร์แล้ว คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรอ”
“ดี! ปากดีนักนะ เรามาสะสางเรื่องของเราให้มันจบตรงนี้เลยดีกว่า ที่ข้าต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้า”
“ข้าไปทำอะไรเจ้า เจ้ามันอ่อนเองแล้วหาเรื่องโทษข้าสินะ”
“เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้วนะ ถึงข้าจะไม่ลืมตา แต่ข้าก็จะล้มเจ้าให้ดู”
พยัคฆ์คีรีโกรธจนสีหน้าบิดเบี้ยว ประกอบกับใบหน้าโชกเลือดเขาจึงดูโหดเหี้ยมขึ้นไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่ลืมตาอยู่เช่นเดิม
มีนาแปลกใจมากที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นจากพยัคฆ์คีรีผู้สมบูรณ์แบบ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขายังอยู่กลางทะเลสาบท่ามกลางฝูงพรายอสูร สองคนนี้ยังจะเถียงกันเป็นเด็กน้อยไปได้
มีนารู้สึกอยากจะกรีดร้องออกมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่เธอก็มีสติระงับไว้ได้ หายใจเข้าหายใจออกลึกๆเพียงหนึ่งรอบ คำพูดที่ออกจากปากเธอก็กลับกลายเป็นเสียงที่ฟังดูสงบเยือกเย็นตามแบบฉบับของเธอ
“พวกเจ้าจะหยุดได้รึยัง ข้าเริ่มเหนื่อยแล้วนะ อย่าปล่อยให้ความโกรธมาบังหูบังตาพวกเจ้าสิ”
มีนาร่ายอาคมมัจฉาคู่รอบพวกเขาทั้งสามไว้นานแล้ว เพื่อป้องกันพรายอสูร มัจฉาที่เกิดจากวารีสองตัวต่างว่ายวนฉวัดเฉวียนไปมาดูคล้ายวงกลมปิดล้อมที่ทรงพลังไม่น้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังลดความเร็วลงอย่างช้าๆ
ท่ามกลางคำโต้เถียงอันดุเดือดของเด็กชายสองคน ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่ากลางทะเลสาบนั้นเริ่มปรากฏน้ำวนอย่างช้าๆ มันค่อยๆหมุนดูดพรายอสูรลงไปใต้น้ำ รวมทั้งข้าวของทั้งหลายที่ลอยอยู่บนผิวน้ำก็ถูกดูดหายลงไปด้วย
น้ำวนปริศนานี้ค่อยๆขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ แม้แต่คนบนฝั่งก็คงยากที่จะสังเกตเห็น
“เห้ยพวกเจ้า ยังไม่รีบหนีไปอีก!”
อรุณวิ่งมาสมทบกับทั้งสามคนอย่างร้อนใจ เขาเล็งเห็นแล้วว่าน้ำวนปริศนานั้นกำลังขยายตัวมาทางนี้อย่างแน่นอน
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม ไป!”
ในเสี้ยวนาทีฉุกเฉิน อรุณได้ฝืนใช้พลังปราณเฮือกสุดท้ายแผ่เข้าโอบล้อมทุกคนเอาไว้ภายใน มองเห็นเป็นลูกกลมสีทองโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่มีคนอยู่ข้างใน 4 คน
ลูกกลมยักษ์กำลังจะกลิ้งเข้าหาฝั่ง แต่ทันใดนั้นก็เกิดแรงดึงดูดบางอย่าง ดูดลูกกลมยักษ์จมหายลงไปยังใจกลางน้ำวนในทันทีท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของคนที่รอคอยอยู่บนฝั่ง