ตอนที่ 46 เรือสมุทรสำราญ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ลานนั่งพักของท่าเรือหลัก
เหนือภพมานั่งรอทุกคนที่นี่ เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดหมายขึ้นเรือตามที่หัวหน้าไทเคยบอกเอาไว้ ระหว่างรอเหนือภพก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เขานำชุดผจญภัยสีกากีอีกชุดออกมาเพื่อทำการปรับแต่งเล็กน้อย
ฉับ ฉับ ฉับ
เสียงขวานสับหนังสัตว์อสูรแรดดำดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ไม่นานหนังแรดดำก็ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นๆโดยมีรูปร่างแตกต่างกันไป
เหนือภพนำอุปกรณ์ตัดเย็บที่เขาพกมาด้วยนั้น นำมาบรรจงเย็บหนังแรดดำติดกับชุดผจญภัยของเขาทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นใหญ่ติดที่หน้าอกเสื้อและด้านหลัง ชิ้นเล็กๆ เย็บติดที่ต้นขาและหน้าแข้งทั้งสองข้างของกางเกง แค่นี้เขาก็มีชุดที่เหมาะสำหรับการต่อสู้แล้ว แม้ฝีมือการเย็บของเขาจะไม่ใช่มืออาชีพ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับใช้ได้
‘ใส่เกราะเพิ่มชุดเดียวก็พอ ส่วนชุดนี้เอาไว้ใส่ทำงานก็แล้วกัน’
หลังเสร็จกระบวนปรับแต่งชุด เหนือภพก็เห็นเศษหนังแรดดำชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาในจิตใจ
ใช้เวลาเพียงไม่นานเหนือภพก็เย็บกระเป๋าสะพายหลังเล็กๆจากเศษหนังแรดดำได้สำเร็จ กระเป๋าหนังสุดเหนียวนี่แหละ จะเป็นกระเป๋าใส่เงินที่เขาสามารถพกติดตัวได้ตลอดเวลา
ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้นเหนือฟ้า มีนา และพยัคฆ์คีรีก็เดินมาสมทบกับเหนือภพที่ท่าเรือ
“พี่ภพ ดูนี่สิคะ สวยมั๊ย”
เหนือฟ้าร้องทักเหนือภพอย่างอารมณ์ดี ในอ้อมแขนของเธอมีช่อดอกไม้บานสะพรั่ง สีสันสวยงามละลานตาไปหมด พวกมันแย่งกันส่งกลิ่นหอมโชยมาจนเหนือภพถึงกับตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะคุกเข่าลงมองน้องสาวด้วยแววตาอบอุ่น สายตาเหลือบมองดอกไม้ประหลาดที่ไม่รู้จักชื่อ
“เจ้านี่มันคือดอกไม้อะไร พี่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“นี่ดอกลิลลี่ นี่ดอกโบตั๋น นี่ดอกบัตเตอร์คัพ และนี่ก็ดอกทานตะวันค่ะ สวยใช่ม้า พี่มีนาซื้อให้ พี่มีนาบอกว่ามันเข้ากับหนูที่สุดเลย ตอนแรกหนูว่าจะซื้อดอกไม้มาฝากพี่ด้วย แต่พี่มีนาบอกว่าดอกไม้กับพี่มันไม่เข้ากัน”
ท่าทางร่าเริงของเหนือฟ้า ทำให้เหนือภพรู้สึกดี เขาพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณมีนา ก่อนยื่นห่อเสื้อผ้าขนาดใหญ่ยักษ์ที่เขาซื้อมาให้กับน้องสาว
“มันคืออะไรคะ”
เหนือฟ้าถามอย่างสงสัย ขณะพยายามแกะห่อผ้าที่ถูกห่ออย่างมิดชิด แต่เมื่อเธอเห็นของที่อยู่ด้านใน เธอก็ต้องตกตะลึงพลางมองไปยังพี่ชายที่ยังคงส่งยิ้มมาให้เธออย่างอบอุ่น
เหนือฟ้าทำหน้าบึ้ง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแวววาวไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น
“ใครอยากได้ของพวกนี้กัน”
เหนือภพยิ้มก่อนจะพูดแกล้งออกไปว่า
“งั้นพี่เอาคืนดีกว่า”
พอเหนือฟ้าได้ยินแบบนั้น เธอก็รีบตะครุบกอดห่อผ้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“หนูไม่ได้อยากได้หรอกนะ แต่เห็นแก่น้ำใจของพี่ หนูจะรับเอาไว้ก็ได้”
“หรอ ฮ่าๆๆ”
เหนือฟ้าเธอรู้ดี ที่พี่เธอหายไปตั้งนานคงพยายามอย่างมากที่จะซื้อเสื้อผ้าพวกนี้ให้เธอ แม้ว่าเธอจะแสดงออกด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ แต่ภายในใจเธอกลับปฏิญาณกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า สักวันพี่ชายเธอต้องไม่ลำบากอีก เธอจะทำให้พี่ชายอยู่อย่างสุขสบาย
ภาพความรักระหว่างสองพี่น้อง ทำให้มีนากับพยัคฆ์คีรีที่เฝ้ามองดูอยู่อย่างเงียบๆนั้นรู้สึกอบอุ่นบางอย่างในใจ แม้มีนาจะมีน้องชาย แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและน้องนั้นค่อนข้างห่างเหิน ส่วนพยัคฆ์คีรีนั้น เขาเป็นลูกชายโทนของบ้านจึงไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน
ไม่นานนักหัวหน้าไทก็มาถึงพร้อมกับคนอื่นๆ
“ตอนนี้มาครบกันรึยัง”
“ยังครับหัวหน้า ขาดพลกับอรุณ”
ฮันเตอร์ผู้ช่วยคนนึงตอบกลับ หลังจากตรวจนับจำนวนคนแล้ว
“งั้นรึ ไม่เป็นไร ระหว่างรอนี้พวกเราก็ทยอยขนข้าวของขึ้นไปไว้บนเรือก่อน”
“ครับ!”
“ค่ะ!”
“รับทราบ!”
เรือโดยสารที่หัวหน้าไทจองเอาไว้ได้เข้าเทียบท่าแล้ว มันคือเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘เรือสมุทรสำราญ’ ขนาดลำเรือยาวกว่า 300 เมตร กว้างกว่า 40 เมตร ภายในเรือมีพื้นที่กว้างขวาง แบ่งออกเป็น 5 ชั้น
ชั้นที่ 1 ชั้นล่างสุดของเรือเป็นส่วนระบบกลไก และพื้นที่เก็บพัสดุนำส่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภค หรือแม้แต่สัตว์สินค้าอย่างสัตว์อสูรบางประเภท
ชั้นที่ 2 และ3 ถัดขึ้นมาเป็นห้องพักของผู้โดยสารระดับธรรมดา สามารถรองรับคนได้สูงสุด 1,000 คน ความหรูหราหรือความเป็นส่วนตัวนั้นค่อนข้างมีน้อย
ชั้นที่ 4 เป็นส่วนอำนวยความสะดวกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า ห้องอาบน้ำอุ่น โรงละครขนาดเล็ก ห้องพนันพร้อมสาวงาม แม้แต่สังเวียนการต่อสู้ก็ยังมีให้ได้ชมกัน
ชั้นที่ 5 ชั้นบนสุดเป็นส่วนห้องพักของผู้โดยสารระดับพิเศษ สามารถรองรับคนได้สูงสุด 50 คน ห้องชุดในชั้นนี้มีความหรูหราอลังการมากที่สุด เหมาะสมกับลูกค้าระดับพิเศษที่กระเป๋าหนัก
เหนือชั้น 5 ขึ้นไปเป็นดาดฟ้าเปิดโล่ง เอาไว้รับลมทะเลเย็นสบาย พร้อมชมวิวธรรมชาติแสนสวย ดาดฟ้าเรือนี้จำกัดสิทธิ์ไว้สำหรับผู้โดยสารระดับพิเศษเท่านั้น
“เอาล่ะ ขนของไปหมดรึยัง”
“หมดแล้วครับหัวหน้า”
ทุกคนในกลุ่มยืนรอคำสั่งหัวหน้าไทอย่างตื่นเต้นที่สะพานเทียบเรือ ยังไม่ทันที่หัวหน้าไทจะได้พูดอะไรอีกก็พลันมีเสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากทางท่าเรือ
“หัวหน้า รอพวกข้าด้วย!”
“รอด้วย!”
“สองคนนั่นใครน่ะหัวหน้า”
เหนือภพเอียงคอมองอย่างสงสัย ภาพตรงหน้าของเขาคือชาย 2 คนแต่งกายด้วยชุดแปลกประหลาดกำลังวิ่งตรงเข้ามา
คนหนึ่งใส่ชุดเกราะสำหรับฮันเตอร์ มันทำมาจากหนังสัตว์อสูรหมีชนิดหนึ่ง ส่วนศีรษะของเขาสวมหัวกะโหลกสัตว์อสูรหมีตากแห้ง
ส่วนอีกคนหนึ่งใส่ชุดเกราะสำหรับฮันเตอร์ที่ทำมาจากหนังสัตว์อสูรจิ้งจอกชนิดหนึ่ง และศีรษะของเขาก็สวมหัวกะโหลกสัตว์อสูรจิ้งจอกตากแห้งเช่นกัน แต่ตรงกางเกงด้านหลังก้นของเขากลับมีพวงหางสัตว์อสูรจิ้งจอกสีส้ม พวงใหญ่ติดอยู่ด้วย
ครึ่งคนครึ่งสัตว์อสูรวิ่งมาจนถึงกลุ่มของเหนือภพ ตลอดทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยชุดเกราะ มองเห็นแววตาเพียงรำไรภายใต้หน้ากากหัวสัตว์อสูรนั้น
“อ้อ พวกเขานี่เอง อะไรกันนี่”
หัวหน้าไทมีสีหน้าจดจำได้ว่าสองคนนั้นคือลูกน้องของเขาเอง
“พวกข้ามาแล้ว แฮ่กๆ”
พลและอรุณหยุดยืนตรงหน้าหัวหน้าไทอย่างกระหืดกระหอบ
“พวกเจ้าแต่งตัวอะไรมา”
ความสงสัยของหัวหน้าไทก็ช่างตรงกับความในใจของทุกคนในกลุ่มยิ่งนัก
“ก็เดี๋ยวพวกเราลงจากเรือแล้วต้องเดินทางผ่านป่า ดังนั้นเราต้องใส่ชุดให้กลมกลืนไงครับ พี่พลบอกว่าหัวหน้าสั่งมานี่นา ไม่ใช่หรอครับ”
อรุณในชุดอสูรจิ้งจอกตอบกลับหัวหน้าไทไปอย่างงงๆ พลางหันมองมาที่พลตัวต้นเรื่อง
“เอาน่าๆ เชื่อข้าเถอะ แล้วเจ้าจะไม่ผิดหวัง ป่ะหัวหน้า คงถึงเวลาขึ้นเรือแล้วสินะ”
เมื่อพูดจบ พลในชุดอสูรหมีก็แบกของเดินนำหน้าทุกคนขึ้นเรือไปอย่างมาดมั่น ท่ามกลางอาการตกตะลึงอ้าปากค้างของทุกคน