ตอนที่ 3 บรรพชิตย่อมไม่เหงา
เมื่อก่อนพระอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ยังมีลูกศิษย์อีกสองคนกับท่านเจ้าอาวาส แต่หลังจากท่านเจ้าอาวาสมรณภาพไป หลวงพ่อสิริก็ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทน ส่วนศิษย์สองคนพอโตหน่อยต่างหนีกันไป เพราะไม่อยากบวชเป็นพระแบบอาจารย์
คนหนึ่งได้กลายเป็นคนสำคัญของกลุ่มภราดา ส่วนอีกคนก็แย่หน่อย เรื่องดีไม่เคยทำ ทำเป็นแต่เรื่องชั่ว ๆ กลายเป็นจ้าวอาคมมืดมือหนึ่งของหอโลหิตไปเสีย
ส่วนเหนือภพนั้น ไม่นานเขาก็ตัดสินใจออกบวช กราบหลวงพ่อสิริเป็นอาจารย์ เขาจึงกลายเป็นศิษย์คนที่สาม สาเหตุที่เหนือภพออกบวชนั้น ไม่ใช่เพราะเลื่อมใสในศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่หลวงพ่อสิริยื่นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวว่า ถ้าอยากเป็นศิษย์เพื่อรับการฝึกฝนก็ต้องออกบวชเท่านั้น
ที่หลวงพ่อสิริไม่ให้เหนือภพเป็นศิษย์ฆราวาสแบบศิษย์พี่ทั้งสอง ก็เพราะเกรงว่าเหนือภพจะออกไปก่อเรื่องก่อราวอะไรข้างนอก ในสายตาของหลวงพ่อสิรินั้น ท่านมองเหนือภพไม่ต่างกับลูกหลาน ยิ่งเขามีแต่ความแค้นบดบังจิตใจอยู่มาก หากได้วิชาไปแล้วออกไปโลกภายนอก ก็คงมีแต่จะสร้างเรื่องวุ่นวายจนเป็นภัยต่อตัวเองและก็ผู้อื่น แบบนั้นคงไม่ดีแน่
กิจวัตรของเหนือภพเมื่ออยู่ที่นี่ นอกจากกวาดลานวัด แบกน้ำ ทำความสะอาดศาลาปฏิบัติธรรม และปัดกวาดทางเดิน เขาก็ไม่ได้ฝึกเกี่ยวกับการต่อสู้อะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเรียนหนังสือ อ่านตำรา แล้วก็นั่งฝึกจิต ฝึกญาณเพ่งกสิณ ซึ่งเป็นวิชาแขนงหนึ่งที่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถฝึกฝนได้
ใช้เวลาเพียงปีเศษ ๆ เหนือภพถึงจะหลุดพ้นจากสภาวะความแค้น และความเศร้าลึกล้ำภายในใจ แม้จะยังไม่หมดสิ้นแต่จิตใจเขาก็สงบมากพอที่จะเข้าใจในคำสอนของพระอาจารย์
“ทุกชีวิตล้วนมีวิบากกรรม เป็นหรือตายล้วนเป็นเรื่องของชะตา ไม่มีใครหยั่งรู้หรือหลีกเลี่ยงมันได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ชีวิตเป็นของข้าเห็น ๆ จะเป็นหรือตายข้าต้องเป็นคนกำหนดสิอาจารย์ ชะตาบ้าบงบ้าบออะไรข้าไม่สนใจทั้งนั้น หากมนุษย์ถูกกำหนดโดยชะตา ก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว รอให้ชะตาเอามาอาหารมาป้อนให้ถึงปากก็พองั้นหรอครับ อาจารย์”
เฮ้อ
ผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่เหนือภพไม่เอาแต่พูดเรื่องฆ่าฟันอีกแล้ว
“วันนี้เจ้าไปพักเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะสอนเพลงมวยให้กับเจ้า”
เหนือภพอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ
“อาจารย์ ท่านไม่ได้หลอกข้านะ ท่านพูดแล้วจะมากลับคำทีหลังไม่ได้นะ”
ที่ผ่านมาเขาอยากจะเรียนมวยใจจะขาด แต่พระอาจารย์ก็ได้แต่บอกให้รอไปก่อน แล้วจะสอนเองเมื่อถึงเวลา
จากนั้นวัน ๆ ก็เอาแต่ให้เขาฝึกสมาธิ ฝึกจนไฟแค้นของเขาดับมอด จนตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าถ้าไปแก้แค้นแล้วมันจะได้อะไร ถึงยังไงกลิ่นจันทน์ก็ไม่กลับคืนมา
เพียงแต่ต่อไปนี้เขาจะไม่ใช้คำว่าแก้แค้น เขาแค่จะทำให้พวกมันรู้สำนึกและไม่ให้มีโอกาสได้ไปทำร้ายใครอีก ให้เวลาที่เหลือในชีวิตของมัน จงระลึกถึงความผิดบาปที่อยู่ในใจจวบจนวันตาย นี่คือความเมตตาที่เขาจะมอบให้พวกมันเมื่อเวลานั้นมาถึง
รุ่งเช้าหลังจากที่เหนือภพลงไปตักน้ำที่เชิงเขาสำเร็จ เขาก็ทิ้งถังไม้สองใบกับไม้หามลง ก่อนจะล้มลงนอนใต้ต้นไทรโบราณบริเวณหน้าลานวัด ใบหน้าเหนื่อยหอบพลางทอดถอนลมหายใจ
สองปีแล้วที่เขาเอาแต่แบกน้ำมาเติมโอ่งให้เต็มในแต่ละวัน เขาเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
เขายังไม่ชินสักทีกับการลงไปตักน้ำด้วยระยะทางถึง 10 กิโลเมตร เส้นทางลาดชันทั้งยังเป็นป่า ตอนลงยังพอว่าแต่ตอนขึ้นเขากลับมาแต่ละครั้งเล่นเอาเขาแทบปางตาย
เขาจำได้ดีครั้งแรกที่ถูกอาจารย์ใช้ให้ลงไปตักน้ำสองถัง เขาต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะกลับมาถึง แถมยังเป็นการกลับมาที่น่าอนาถที่สุด พอรู้ตัวอีกทีเขาก็นอนอยู่ที่หน้ากุฏิอาจารย์ แล้วหลับไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
ความน่ากลัวของเชิงเขาข้างล่างนั้น ปัญหามันไม่ได้เกี่ยวกับระยะทาง หรือสัตว์อสูรอะไรเลย แต่มันคือแรงกดทับที่จะหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเดินลึกลงไป ตีนเขาที่ตั้งของวัดแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความลึกของสถานที่แห่งนี้ แต่ถัดออกมีแม่น้ำสายใหญ่โอบล้อมรอบทุกด้าน ปลายสายแม่น้ำเหล่านี้มีน้ำตกที่ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก จนไม่อาจหยั่งความลึกของมันได้
เมื่อเขาถามถึงพื้นที่ที่อยู่ใต้น้ำตกนั้น พระอาจารย์ก็แค่บอกว่าให้ระวัง อย่าได้ตกลงไปเป็นอันขาด ที่นั่นเป็นป่าโบราณเก่าแก่มีสัตว์อสูรระดับสูงมากมายอาศัยอยู่ ตราบใดที่เขายังอยู่บริเวณวัด เขาก็จะปลอดภัย
แต่พอคิดเรื่องนี้ก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
“คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้ายังไม่เหมาะที่จะลงไปยังพื้นที่แห่งนั้น ลงไปก็มีแต่ตายกับตาย”
จู่ ๆ พระอาจารย์สิริก็เอ่ยขึ้นข้างตัวเหนือภพ เหนือภพที่กำลังนอนหงายอยู่ใต้ต้นไทร เด้งตัวลุกขึ้นทันทีด้วยไม่กล้าทำตัวเสียมารยาท
“พระอาจารย์ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้าไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ข้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว มีแต่เจ้าเองที่ไม่สนใจสิ่งใด อยู่ ๆ ก็ล้มตัวลงนอน เจ้าสนใจอาจารย์อย่างข้าซะที่ไหน”
พระอาจารย์สิริตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่เหนือภพรู้สึกได้ว่ามันเป็นความสงบที่แฝงอาการแง่งอนเล็ก ๆ
“พระอาจารย์ ข้าจะลืมท่านได้ยังไง ข้าออกจะคิดถึงท่านตลอดเวลา”
“เจ้านี่มันกะล่อนเหมือนศิษย์พี่ทั้งสองเสียจริง มันคงเป็นกรรมของข้าเอง”
พระอาจารย์สิริเอ่ยพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ อย่างปลงในโชคชะตา แต่พอคิดถึงเรื่องราวของตัวท่านเองในวัยเด็ก ท่านก็เผยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
“อาจารย์ ศิษย์พี่ทั้งสองของข้าเคยลงไปข้างล่างน้ำตกนั่นหรือเปล่าครับ”
“แน่นอนว่าต้องเคย หากไม่ลงไปข้างล่างนั่น พวกมันก็ออกจากที่นี่ไม่ได้ สักวันเมื่อเจ้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ เจ้าก็ต้องลงไปที่นั่น แต่ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าในตอนนี้ยังไม่พร้อม หากเจ้าอดทนและพยายามให้มากก็จะใช้เวลาอีกไม่นาน”
“จริงหรือครับ”
“บรรพชิตไม่มีทางพูดปด หากเทียบในทางพรสวรรค์ระหว่างเจ้ากับศิษย์พี่ทั้งสอง ถือว่าเจ้าดีกว่ามาก ศิษย์พี่ของเจ้ากว่าจะผ่านช่วงเวลาฝึกจิตสมาธิก็ต้องเสียเวลาไปกว่าห้าปี ทั้งฝึกวิชายังไม่ทันชำนาญก็ดันพากันหนีออกไป เพราะกลัวที่จะต้องบวช”
“อาจารย์ การที่ท่านให้ข้าบวช ไม่ใช่เพราะว่าท่านเหงา กลัวข้าหนีไปอย่างศิษย์พี่ใช่ไหม”
เหนือภพเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เกรงว่าจะโดนลงโทษที่กล่าวหาว่าอาจารย์เหงา แต่จริง ๆ อาจารย์ก็น่าจะเหงาจริง ๆ แหละ ก็ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะมีอาจารย์อยู่ด้วยเสมอ ไม่ว่าเวลากิน เวลานอน ท่านก็จะมาอยู่ข้าง ๆ แล้วก็มักจะมาชวนคุย หรือไม่ก็เทศนาธรรมให้เขาฟังเสมอ
หากไม่เรียกว่าเหงา แล้วจะเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่น่าใช่ คนเราไม่น่าจะบังเอิญถึงขนาดพบหน้ากันเกือบทุกเวลา
“บรรพชิตคือผู้สละกิเลส ความเหงาก็เป็นเพียงเศษอารมณ์ที่พัดผ่านไปมาดุจสายลม ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้เกิดจากเรา ข้าไม่ได้ยึดอารมณ์นั้น ข้ายึดติดเพียงคำสอนของศาสดา ดังนั้นข้าไม่เหงา”
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แต่ในใจนั้นกลับตรงกันข้าม
‘ไม่จริง ท่านเหงาเห็น ๆ’