ตอนที่ 2 เรื่องราวเมื่อสี่ปีที่แล้ว
ป๊อก ป๊อก ป๊อก
ท่ามกลางเสียงเคาะไม้ทรงกลมที่แกะสลักเป็นรูปปลา เหนือภพใช้มือซ้ายอ่านจดหมายฉบับล่าสุดของเหนือฟ้า ในขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างขวาเคาะบักฮืออยู่ในวิหารดัง เป็นจังหวะไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระอาจารย์สิริ
ป๊อก ป๊อก ป๊อก
ตลอดเวลากว่าสี่ปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานจริง ๆ อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป ยกเว้นเขาที่ยังคงเป็นเณรน้อยหัวขาวที่ต้องหมั่นทำวัตรสวดมนต์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายตัดขาดจากโลกภายนอกมุ่งสู่ทางธรรม
เหนือภพรีบเก็บจดหมายของน้องรักก่อนจะเปลี่ยนมือซ้ายมาทำท่าพนมมือข้างเดียวดังเดิม เมื่อเขาเห็นว่าพระอาจารย์ยังคงหลับตาท่องบทสวดอยู่ เขาก็รีบหลับตาภาวนาตาม
เมื่อเสียงบทสวดจบลงพระอาจารย์สิริก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับเหนือภพด้วยกระแสเสียงอันสุขสงบ
“เจ้าภพ”
“ขอรับอาจารย์”
“เจ้าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเจ้าย่อมรู้ดี หากเจ้าตัดขาดไม่ได้ การอยู่ที่นี่จะได้ประโยชน์อะไร”
คำพูดที่แฝงไปด้วยปรัชญาของพระอาวุโส ทำให้เหนือภพยิ้มแห้ง หากเป็นครั้งแรกอาจไม่เข้าใจ แต่ตลอดเวลากว่าสี่ปีมานี้ ทำให้เขารู้และเข้าใจในพระธรรมคำสอนของอาจารย์ แม้จะไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็เพิ่มพูนปัญญาให้เขาได้ไม่น้อยเลย
“ภพ ตอนนี้เจ้าก็อายุ 18 แล้ว เจ้าต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง ความรู้ทั้งหลายที่ข้ามี ก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้าไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวเจ้าเองว่ารับได้แค่ไหน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกลับออกไป ถ้าเจ้าตัดทางโลกไม่ได้เช่นนั้นก็ไปเถอะ
แต่จงจำคำของอาจารย์ไว้ วิชาความรู้ที่ข้าสอน อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด หมั่นทำแต่กรรมดี ลดกรรมชั่ว สิ่งไหนควรให้อภัยก็ให้อภัย ใช้พลังความสามารถที่มีปราบปรามอธรรม อภิบาลคนดี ปกป้องผู้คนจากเหล่าสัตว์ร้าย”
“อาจารย์ ท่านไล่ข้าหรอ”
แววตาของเหนือภพคลอไปด้วยหยาดน้ำตา สำหรับเขาแล้วอาจารย์ก็ไม่ต่างจากพ่อบังเกิดเกล้า ในยามที่เขาอ่อนแอจมอยู่ในความเศร้าเสียใจ ก็มีแต่อาจารย์ที่ฉุดรั้งเขาขึ้นมา ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคน กลายเป็นเหนือภพที่พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กโง่เง่าที่ตัดสินทุกอย่างด้วยกำลังแบบเดิม
“ข้าจะไล่เจ้าได้ยังไง ในเมื่อใจเจ้าไม่เคยอยู่ที่นี่”
เหนือภพยิ้มทั้งน้ำตาก่อนคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นอาจารย์สามครั้ง เพื่อให้ผู้เป็นอาจารย์ทำพิธีสึกให้ ก่อนบอกลาแล้วเดินทางออกจากวัด
จนกระทั่งเขามาหยุดยืนอยู่ริมน้ำตก เขาหันหลังกลับไปมองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่มักปรากฏตัวข้างเขาอยู่ตลอดเวลา
“อาจารย์ ศิษย์น้องสี่ ข้าขอลาตรงนี้ หากมีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่”
เหนือภพยกมือไหว้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือลาเณรน้อย จากนั้นก็กระโดดลงไปยังน้ำตกเบื้องหน้าทันที ขณะที่ภายในใจหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวตั้งแต่ต้น ก่อนที่เขาจะเป็นเขาในตอนนี้
เรื่องราวเมื่อสี่ปีก่อน
“พี่ภพ พี่ภพ ท่านจะเอาแต่นอนตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่ มาเถอะ มาเล่นกับข้าเถอะ”
“กลิ่นจันทน์ เจ้าไปทำอะไรตรงนั้นล่ะ”
เหนือภพลุกขึ้นเอ่ยถาม เมื่อเห็นกลิ่นจันทน์ยืนอยู่ริมหน้าผา ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส พลางโบกมือไปมาด้วยท่าทางร่าเริง และแล้วเธอก็กระโดดลงไปในหุบเหวท่ามกลางสีหน้าตื่นตกใจของเหนือภพ
“ไม่ !”
เสียงร้องด้วยความตกใจของเหนือภพลากยาวจนกระทั่งเขาตื่นขึ้น พลางสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง จนทำให้พระภิกษุรูปหนึ่งที่กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
เสียงของเจ้าเด็กหนุ่มนี้ดังมาก ต่อให้เขามีจิตแกร่งกล้าแค่ไหนก็ต้องลืมตาขึ้นมาดู
“ท่านเป็นใคร ?”
เหนือภพเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง เขาเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาสวมใส่ชุดสีเปลือกส้มแห้ง ทั้งยังโกนหัวจนล้าน
แต่จะว่าไปรูปลักษณ์แบบนี้มันช่างดูคุ้นตา เหมือนว่าเขาเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่ง ใช้เวลาเพียงแปบเดียวเขาก็จำได้ เขาเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์นั่นเอง
“ท่านคือพระ ?”
พระภิกษุองค์นั้นพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร
‘เอ ไม่ใช่ว่าพระได้หายสาบสูญไปหมดแล้วงั้นหรอ’
เหนือภพเคยรู้มาว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีพระอยู่มากมาย พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนที่บำเพ็ญเพียรถือศีลยึดมั่นอยู่ในธรรม อาศัยอยู่ในศาสนสถานที่เรียกว่าวัด
แต่ในช่วงนั้นสัตว์อสูรที่เคยมีมากอยู่แล้วก็เกิดเพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ศาสนสถานจึงถูกสัตว์อสูรบุกฆ่าทำลายโดยไม่มีใครช่วยเหลือ เนื่องจากศาสนสถานต่าง ๆ มักตั้งอยู่ในเขตห่างไกลผู้คนนั่นเอง
และด้วยความเชื่อมั่นของหลักคำสอนที่ยึดถือความเมตตา ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยอมตายภายใต้ร่มเงาของศาสนาดีกว่ามือเปื้อนเลือด
สุดท้ายเหล่าพระก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง ว่ากันว่าในยุคนี้จะพบเห็นพระได้ที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น และเหล่าพระที่ยังเหลือรอดก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ถือศีลยึดมั่นอยู่ในธรรมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ทว่าพวกเขายังฝึกฝนอาคมเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จึงนับเป็นกลุ่มคนที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็มักจะหลีกเลี่ยงการแสดงฝีมือหรือการฆ่า โดยหันไปถ่ายทอดวิชาแขนงต่าง ๆ ให้แก่เหล่าลูกศิษย์ เพื่อให้มาช่วยกันปราบปรามสัตว์อสูรอีกที
‘หรือนี่ ก็คือวัด’
หลายวันหลังจากนั้น เมื่อเหนือภพพักฟื้นจนสามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ เขาก็ได้รู้เรื่องราวมากขึ้น ว่าคนที่ส่งเขามาสถานที่นี้ก็คือศิษย์คนโตของหลวงพ่อสิริ ท่านมีชื่อเต็ม ๆ ว่า ‘สิริจันโท’ แปลว่า ผู้มีสิริดุจพระจันทร์ และก็ท่านเป็นพระเพียงรูปเดียวของที่นี่
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แปลกประหลาด คงยากที่ใครจะได้พบพาน เพราะที่นี่คือถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ พื้นที่ของถ้ำนี้มีลักษณะคล้ายทรงกรวยปลายตัด โดยที่ปลายตัดข้างบนเป็นช่องว่างเปล่า เนื่องจากเพดานถ้ำคงเกิดถล่มลงมาเมื่อนานมาแล้ว ทำให้ถ้ำนี้สามารถเชื่อมต่อกับท้องฟ้าได้โดยตรง ฐานรูปวงกลมข้างล่างบรรจุน้ำตกสูงชัน น้ำตกสูงชันนี้ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่มันคงมีอยู่นานหลายหมื่นปีแล้ว มันเรียงตัวเป็นแผงน้ำตกโอบล้อมพื้นที่ใจกลางเอาไว้
พื้นที่ใจกลางถ้ำมีผืนดินตั้งอยู่ บนผืนดินนี้กว้างใหญ่มาก เหนือภพต้องใช้เวลาเกือบสัปดาห์ในการเดินสำรวจจนทั่ว
พื้นที่ริมธารน้ำที่อยู่ติดกับน้ำตกโดยรอบ มีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ต้นไม้ใบหญ้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นพืชพรรณที่เหนือภพไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อน ถัดจากป่าเข้าไปข้างใน ก็จะมีภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มันคือภูเขาจริง ๆ มีขนาดพอ ๆ กับภูเขาสูงในป่าเหนือหมู่บ้านแร่ห้าสีของเขาเลยทีเดียว
ข้างบนภูเขามีซากปรักหักพังของศาสนสถานเดิม กระจายอยู่ทั่วบริเวณโดยไม่มีใครบูรณปฏิสังขรณ์ ยกเว้นกลุ่มอาคารที่อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา บนนี้มีกลุ่มอาคารที่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว มีศาลาปฏิบัติธรรมหลังเล็ก ศาลาเก็บคัมภีร์ที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่า และกุฏิสำหรับจำวัดอีกหนึ่งหลังที่มีขนาดเล็กมาก โดยมีพื้นที่พอสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มอาคารหลังเล็กกระจ้อยร่อยท่ามกลางภูเขาสูงอันมโหฬาร ยังไม่แปลกเท่ากับสภาพอากาศของที่นี่ ด้วยความจริงที่ว่า ที่นี่ก็คือถ้ำที่ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ลึกยิ่งกว่าโพรงถ้ำที่เหนือภพเคยตกลงไปกับกลิ่นจันทน์เสียอีก แม้จะมีช่องว่างที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้าได้บางส่วน แต่ก็เหมือนกับได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว
ภายในถ้ำนี้มีสภาพภูมิประเทศเป็นของตนเอง มีสภาพภูมิอากาศเป็นของตนเอง มีกลุ่มไอน้ำ เมฆหมอกไหลเวียนตามวัฏจักรอยู่ภายในที่ไม่ขึ้นตรงต่อโลกภายนอกเลย เพียงอย่างเดียวที่พอจะทำให้รู้สึกเชื่อมกับโลกภายนอกได้ก็คือพระอาทิตย์กับพระจันทร์ดวงเดียวกันนั่นเอง
นอกจากนี้ที่นี่มีแรงโน้มถ่วงของโลกมากกว่าโลกข้างบนมากนัก คนธรรมดาคงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เนื่องจากแค่ก้าวเดินเพียงก้าวเดียวก็สามารถทำให้เหนื่อยหอบได้เลยทีเดียว เสมือนว่าขาข้างหนึ่งหนักเพิ่มเป็นสามเท่า
เด็กชายเหนือภพผู้มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าชาวบ้านจึงได้รับผลกระทบนี้เต็ม ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แข็งแรงมากพอที่จะลบข้อด้อยนั้นได้