ตอนที่ 13 ข้ารู้เจ้าก็เป็นลูกสัตว์อสูรเช่นเดียวกับข้า
“เจ้าไปล่าที่ไหนมาทำไมถึงนานค่อนวันแบบนี้ หรือเจ้าหลงทาง”
“ข้าไปล่าแถวนี้แหละ แต่ที่ข้าเจอล้วนเป็นพวกพ้อง เป็นเผ่าพันธุ์ผู้มีพระคุณของข้า ข้าทำไม่ลง มีคนเคยบอกข้าว่าบุญคุณต้องตอบแทน ความแค้นต้องชำระ ในเมื่อพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณข้าจึงไม่สามารถอกตัญญูได้”
ผู้ไร้ชื่อเอ่ยตอบอย่างจริงใจและก็ดูเคารพสัตว์อสูรเหล่านั้นมาก จากนั้นเขาก็เล่าให้เหนือภพฟังว่า ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ก็มีสัตว์อสูรกระต่ายใจดีเลี้ยงดูเขา พอโตขึ้นอีกหน่อยสัตว์อสูรกระต่ายถูกสัตว์สังคมอย่างมนุษย์รังควาน เขาก็ถูกแม่หมีรับมาเลี้ยงดู ต่อมาแม่หมีก็ถูกสัตว์สังคมล่าอีก เขาจึงถูกฝูงลิงเอาไปเลี้ยงดู สุดท้ายพวกมนุษย์ก็มาฆ่าพวกลิงอีก….
เหนือภพได้ฟังก็อึ้งกิมกี่ นอกจากกระต่าย หมี ลิง ยังมีหมู หมา กา ไก่ ที่เลี้ยงดูผู้ไร้ชื่อมา
‘จริงดิ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าหนุ่มนี้ถูกสัตว์อสูรเลี้ยงดู จะเป็นไปได้เหรอ ?’
นอกจากสัตว์อสูรที่สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว เขาก็มีเคยเห็นตัวไหนมีดีสักตัว เขาจึงเชื่อสิ่งที่ผู้ไร้ชื่อพูดไม่ลง
เหนือภพกวาดตามองสำรวจชายนิรนามอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้คำตอบ
‘นี่มันคนเพี้ยนจริง ๆ ด้วย แต่ก็เป็นคนเพี้ยนที่น่าสนใจ’
“ไม่ต้องแกล้งตกใจขนาดนั้น ข้ารู้เจ้าก็เป็นลูกสัตว์อสูรเช่นเดียวกับข้า”
ผู้ไร้ชื่อยิ้มอย่างเป็นมิตร และเมื่อเขายิ้มออกมา ใบหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
‘ลูกสัตว์อสูร ?’
เหนือภพเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ มันใช้ตาข้างไหนมองว่าเขาเป็นสัตว์อสูร แต่เมื่อเขาก้มดูร่างกายโป๊เปลือยของตัวเองก็ได้ถอนหายใจ
ค่ำคืนนั้นพวกเขานั่งกินอาหารอยู่ข้างกองไฟ แวดล้อมด้วยบรรยากาศร่มรื่นของป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ และคลอด้วยเสียงรินไหลของแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ
เหนือภพนั่งกินเนื้อย่าง ขณะที่ผู้ไร้ชื่อกำลังกัดแทะเนื้องูเผาด้วยท่าทางมูมมาม
“เรียกข้า ภพ ก็พอ ข้าเป็นคนที่ไหนเป็นลูกของใครไม่สำคัญ เจ้ารู้แค่ว่า ข้าเป็นฮันเตอร์ และมาจากทะเลสาบใจกลางป่าลึกก็พอ”
เหนือภพเลือกที่จะปกปิดตัวเอง คนเราไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องให้คนอื่นรู้ แต่ในใจเขากลับย้อนคิดถึงความหลัง ความยากลำบากในการหาเลี้ยงแม่พิการและน้องสาวตัวน้อยหลังจากที่พ่อตาย ไล่เรียงไปจนถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอกับผู้ชี้นำใจดี ที่ทำให้เขาได้เป็นฮันเตอร์แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ก็ตาม
“เจ้าเป็นสัตว์อสูรทะเลสาบสินะ ข้ามาจากป่าทางใต้นู่น ข้าไม่รู้เลยว่าใครกันแน่เป็นคนให้กำเนิดข้า มีคนเคยบอกข้าว่าพ่อกับแม่เป็นคนให้กำเนิดข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นสัตว์อสูรประเภทไหน แต่ก็ช่างเถอะ สักวันข้าจะหาสัตว์อสูรที่ชื่อพ่อกับแม่ให้เจอ เพราะแบบนี้ข้าถึงมาเป็นฮันเตอร์ เพื่อตามหาสัตว์อสูรที่เป็นพ่อแม่ข้า”
ผู้ไร้ชื่อพูดจบก็เหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่คุ้นเคย หวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก ตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาไม่ซ้ำหน้า พอโตขึ้นมาจนรู้จักมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาก็ไปจับมนุษย์มากมายมาสอนให้ตัวเองพูดเป็น อ่านออก เขียนได้
มนุษย์เหล่านั้นเห็นเขาเป็นเด็กแข็งแรงจึงสัญญาว่าจะรับเลี้ยงเขา แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางมนุษย์มากสักแค่ไหน แต่ในใจเขายังเชื่อมั่นว่าเขาคือสัตว์อสูรที่มีความคิด และยังรู้สึกคับแค้นใจที่มนุษย์บุกทำลายฝูงของเขา และฆ่าพวกพ้องของเขาตายทุกครั้ง
เหนือภพเริ่มทำใจได้แล้ว จะว่าไปการคุยกับคนเพี้ยนนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็สบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรจากผู้ไร้ชื่อคนนี้
“ข้าง่วง”
ผู้ไร้ชื่อพูดจบก็นอนลงทันที แถมยังมานอนเบียดแผ่นหลังของเหนือภพอีกด้วย ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้ตอบอะไร มันก็หลับสนิทเสียแล้ว ช่างเหมือนกับพวกสัตว์ที่ชอบเบียดเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน
เหนือภพจะเอ่ยปากไล่ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ลง เขายังนั่งตาใสอยู่ข้างกองไฟ สุมฝืนที่กองเตรียมไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ร่างกายของเขาไม่จำเป็นต้องนอนพักผ่อนมากขนาดนั้น และที่สำคัญเขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคิด
ท่ามกลางเสียงนกร้องยามเช้า แม้ว่าจะยังเช้ามืด แต่ผู้ไร้ชื่อก็รู้สึกตัวตื่นอย่างรวดเร็ว ตาใสแจ๋วหันมองรอบกาย ก่อนจะขุดดินที่เขาฝังเนื้องูขึ้นมาเผากิน เมื่อก่อนเขามักชอบกินแบบดิบ ๆ แต่พอได้เข้ามาอยู่กับสัตว์สังคม เขาก็เรียนรู้วัฒนธรรมมากขึ้น รู้ว่าถ้านำอาหารไปปรุงสุกมันจะอร่อยมากขึ้น
“ข้าต้องไปละ”
ผู้ไร้ชื่อลาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ก่อนที่เขาจะเดินจากไป เขาก็มีความคิดว่าถ้าเหนือภพไปด้วยก็จะน่าจะดี
“เจ้าก็เหมือนข้า เราไปด้วยกันไหม เจ้ามาอยู่ฝูงข้า ข้าจะปกป้องและแบ่งอาหารให้เจ้า เวลาหนาวเราจะมอบความอบอุ่นให้แก่กัน”
เป็นคำพูดที่มาจากใจจริง ๆ อารมณ์เหมือนหมาป่าผู้โดดเดี่ยวพยายามชักชวนสัตว์อื่นให้เข้าร่วมฝูง
“ไม่ดีกว่า”
เหนือภพส่ายหัวอย่างเอือมระอา ก่อนจะโบกมือลาอย่างเซ็ง ๆ เจ้านี่มันเพี้ยนได้โล่จริง ๆ อีกอย่างเขาก็มีเป้าหมายอื่นที่ต้องไปทำก่อน
ณ ร้านทำอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองโกงกาง
แปะ แปะ
หัวหน้าช่างทำอาวุธกำลังนั่งตบยุงอยู่ริมหน้าต่างร้านอย่างเบื่อหน่าย ตลอดหลายปีมานี้เขารู้สึกว่าเขากำลังหมดไฟกับการทำงาน
ช่างทำอาวุธมากฝีมืออย่างเขาควรจะได้รับโอกาสทำอาวุธชั้นเลิศของแผ่นดินสิ แต่นี่อะไร วัน ๆ มีแต่คนมาสั่งทำรองเท้าส้นแหลมเอาไว้เดินเจาะกระดองหอยทาก ไม่ก็มาสั่งทำสร้อยคอที่มีเข็มพิษอยู่ภายใน ไม่ก็สั่งทำโซ่ล่ามสัตว์อสูรลากเกวียน งานพวกนี้เป็นอะไรที่ง่ายเกินไป ไม่มีความท้าทายเลยสักนิด
หากย้อนคิดถึงความท้าทาย เขายังจำได้ว่าหกปีก่อนมีเด็กหนุ่มน้อยคนหนึ่งเอาเกล็ดอสูรกริมในตำนานมาให้เขาทำชุดเกราะให้ ตอนนั้นเขาตั้งใจทำทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุดพักเลยสักนาที จนกระทั่งมันเสร็จเป็นชุดเกราะเคลือบยางดำที่พอจะใช้งานได้
ทว่าลึกลงไปในใจของเขา เขารู้สึกผิดมาตลอด เนื่องจากผลงานจากชิ้นส่วนระดับตำนานมันควรจะออกมาดีกว่านั้น
หลังจากนั้นเขาจึงทุ่มเทฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ทำผลงานระดับตำนานอีกครั้ง แต่สุดท้ายโอกาสครั้งที่สองก็ไม่เคยมี
แปะ แปะ
“เห้อ เงียบเหงาจริงวันนี้”
แปะ
“อ้าว พี่นี่เอง จำข้าได้รึเปล่า”
“หาาา”
หัวหน้าช่างทำอาวุธจ้องมองชายหนุ่มร่างบึกหัวเกรียนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“จะว่าไปก็คลับคล้ายคลับคลา เห้ย เจ้าคือเจ้าหนูนั่นเรอะ”
เหนือภพยิ้มกว้างพลางพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ดีจังที่จำข้าได้ รอบนี้ข้าจะให้พี่ช่วยทำชุดเกราะให้อีก แต่ขอครบชุด เอาแบบที่ปกป้องได้ทั้งตัวเลยนะ”
พูดจบเหนือภพก็วางเกล็ดอสูรกริมสิบชิ้นลงบนโต๊ะ เมื่อหัวหน้าช่างทำอาวุธเห็นเกล็ดสีรุ้งแวววาวซ้อนกันเป็นตั้ง เขาก็ถึงกับตาโตเลยทีเดียว แต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่กว่ากระทะที่ใช้กันในโรงทานเสียอีก
“โอ้โห เกล็ดนี่มาจากตัวที่ใหญ่กว่าคราวที่แล้วใช่มั๊ยเนี่ย”
“ครับ”
“เจ้านี่มันสุดยอดจริง ๆ คราวนี้ข้าจะจัดให้อย่างแจ่มเลย”
“อ้อ ไม่ต้องเคลือบยางดำแล้วนะพี่ เอาสีรุ้งนี่แหละสวยดี”
“แต่ว่า.. เจ้าจะกลายเป็นเป้าเด่นของศัตรูเลยนะ”
“เด่นก็ดี ไม่เด่นก็ช่าง ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจ เอาให้มันแข็งแกร่งที่สุดก็พอ”
เหนือภพยืดอกอย่างมั่นใจ
“เยี่ยม มันต้องยังงี้สิ งั้นข้าจะทำให้สุดฝีมือเลย แต่ข้าขอเวลาทำสามเดือนนะ ส่วนเรื่องราคา...”
เหนือภพรู้ว่าค่าจ้างทำชุดแบบทั้งตัวมันต้องแพงมากแน่ ๆ เขาจึงวางเศษทองทั้งหมดที่เขามีลงบนโต๊ะ แล้ววางมือทับเอาไว้
หัวหน้าช่างทำอาวุธเห็นเช่นนั้น แววตาของเขาก็เปล่งประกายในทันที การแสดงฝีมือผ่านทางผลงานนั้นสำคัญมากเท่าไหร่ เรื่องค่าตอบแทนก็สำคัญมากเท่านั้น
“ทองแค่นี้ก็พอแล้ว”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ เขายกมือขึ้นโดยกำทองส่วนหนึ่งออกมาด้วย
“เอ๊ะ ! นั่นเจ้าทำอะไร”
“ส่วนลดของข้าไง พี่ไม่ลดให้ข้าเลยหรอ ข้าเป็นลูกค้าเก่าแก่ของพี่นะ”
เหนือภพงัดไม้ตายออกมาใช้ ดวงตาของเขากะพริบปริบ ๆ หยาดน้ำตาเริ่มคลอหน่วย ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวดูเหมือนหนุ่มน่าสงสาร แต่หากดูดี ๆ แล้วมันบิดเบี้ยวคล้ายคนปวดท้องหนักมากกว่า
“งกไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเจ้าน่ะ ข้าลดให้ไม่ได้จริง ๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าเกล็ดนี่มันแข็งแค่ไหน งานยากเลยนะ และที่สำคัญทองนั่นยังไม่มีตราประทับเลย ที่ข้ายอมรับไว้นี่ก็ถือว่าใจดีกับเจ้าแค่ไหนแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคอันหนักแน่นของหัวหน้าช่างทำอาวุธ เหนือภพก็จำต้องคืนเศษทองไปอย่างเศร้า ๆ มองเศษทอง 6 กิโลกรัมที่เขาต้องจ่ายเป็นค่าทำเกราะ
‘ลาก่อนนะพวกเจ้า ข้าทำดีที่สุดแล้ว’
หัวหน้าช่างทำอาวุธถึงกับส่ายหัวให้กับท่าทางอาลัยอาวรณ์เศษทองของเหนือภพ