ตอนที่ 12 ออกเดินทาง
สายตาของเหนือภพเต็มไปด้วยความเว้าวอนอย่างเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์
พระอาจารย์ยิ้ม ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู เจ้าเด็กนี่ ทำไมยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนศิษย์พี่ทั้งสอง ก่อนที่พวกเขาจะไปก็ไม่ต่างจากเหนือภพเท่าไหร่นัก
พวกเขาดีกว่าเหนือภพนิดหน่อยตรงที่พวกเขาเป็นพวกขี้เกียจขนของเยอะ แต่เจ้าเหนือภพนั้นมีนิสัยบ้าหอบฟางโดยสันดาน ดังนั้นหากมันรู้สึกไม่ปลอดภัยมันก็จะขนของไปมาก โดยหารู้ไม่ว่า มันจะตายก็เพราะของที่มันหอบนั่นแหละ
แต่ด้วยความรัก ความเอ็นดูที่มีต่อศิษย์ อาจารย์ก็เปรียบเสมอเป็นพ่อคนที่สอง ไม่อาจปฏิเสธได้ พระอาจารย์เดินเข้าไปใกล้ แล้วถกแขนเสื้อของเหนือภพจนถึงต้นแขน จากนั้นท่านก็ถอด ผ้าประเจียด ที่มัดไว้ที่ต้นแขนตัวเองออกมา แล้วผูกมันเข้ากับต้นแขนของศิษย์
เมื่อมีผ้าประเจียดคุ้มกาย ร่างกายของเหนือภพปรากฏเกราะอาคมสีทองฉาบไล้บนผิวหนังทุกส่วน เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่คลุมกายอยู่ตลอดเวลาไม่จำเป็นต้องควบคุม นี่เป็นหนึ่งในบรรดาของขลังอาคมที่หาได้ยาก จากนั้นแสงสีทองก็วาบจางหายไป
เหนือภพยกมือประนมค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้วด้วยความเคารพสุดใจ ดวงตาแวววาวไปด้วยน้ำตา อาจารย์ช่างดีกับเขาเหลือเกิน
“ไปแล้วก็อย่าได้ก่อเรื่องก่อราว หากไม่มีที่ไปก็ไปหาศิษย์พี่ของเจ้า อาจารย์ส่งจดหมายไปบอกพวกมันแล้ว แต่ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายโลกภายนอก เจ้ากลับมาที่นี่ได้เสมอ”
พระอาจารย์ลูบหัวศิษย์คนที่สามอย่างเอ็นดู
เหนือภพเป็นคนที่ท่านสั่งสอนเข้มงวดที่สุด ด้วยเคยหวังที่จะให้เขาเป็นผู้สืบทอด เป็นเจ้าอาวาสคนต่อไป แต่ว่าหากไม่มีใจ เหมาะสมแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
เหนือภพหมุนตัวกำลังจะก้าวเท้าจากไป หันกลับมายิ้มทั้งน้ำตา
“อ้อ พวกเราลืมอีกเรื่องหนึ่งนะอาจารย์ ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าไม่มีแม้สักเหรียญทองแดง”
เหนือภพยืนมองพระอาจารย์ด้วยสายตาละห้อย ทั้ง ๆ ที่กำลังหอบมีดหมออยู่เต็มอ้อมแขน ต้นแขนขวาก็มีผ้าประเจียดผูกมัดไว้
“เฮ้อ เอาเถอะบรรพชิตย่อมไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่ข้าไม่มีเงินทองหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากได้จริง ๆ ก็...นู่นแหนะ ไปหาเอาเองสิ”
พระอาจารย์พูดแล้วก็ชี้มือไปยังกองซากปรักหักพังของปราสาทโบราณที่อยู่บนยอดเขาหลังวัด
ท่ามกลางเศษซากมากมายมีรูปปั้นสัตว์หิมพานต์ที่ในอดีตคงมีการชุบทองทั้งตัว แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเศษทองติดอยู่เป็นหย่อม ๆ หากสามารถรวบรวมมันได้ทั้งหมด ก็คงพอเป็นค่ากินค่าเดินทางได้อีกนาน
“ท่านให้ข้าจริง ๆ นะ”
พระอาจารย์พยักหน้าน้อย ๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนเหนือภพนั้นก็ไม่มีการเล่นตัวอะไรอีก เขารีบพุ่งไปขูดลอกเศษทองทั้งหมด
ใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าเขาจะเสร็จภารกิจ รวบรวมทองบริสุทธิ์ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม ถ้าเอาไปแบ่งแล้วคำนวณ 1 เหรียญทอง จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 8.5 กรัมต่อเหรียญ รวม ๆ แล้วเขามีเงินที่มูลค่าถึง 470 เหรียญทองเชียวนะ แต่จะเอาไปใช้งานทั้งแบบนี้ก็ไม่ได้ ร้านค้าบางแห่งรับเฉพาะเหรียญทองที่มีตราประทับ ทองเป็นก้อนนั้นยากที่จะใช้งาน และอาจจะถูกมองว่าเป็นกบฏ
เพราะเหมืองแร่เงินและทองนั้นถูกควบคุมโดยราชสำนักและสภาฮันเตอร์ บนเหรียญจึงต้องมีทั้งตราประทับของฮันเตอร์และราชวงศ์อยู่คนละด้านของเหรียญ ถ้าต้องการเอาก้อนทองบริสุทธิ์ไปแลกเหรียญที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาต้องขายต่ำกว่าราคามูลค่าเดิมของมัน บางทีอาจจะได้เพียงแค่ 300 เหรียญทองเท่านั้น
เหนือภพคิดคำนวณอย่างหนัก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นใครอีกแล้ว
“อ้าว อาจารย์กับศิษย์น้องไปไหนแล้ว ไม่มาส่งข้าแล้วหรอ”
เหนือภพเดินไปที่ริมฝั่งน้ำตกอย่างเหงาหงอย
‘เห้อ จะว่าไปแล้ววันเวลามันก็ผ่านพ้นไปไวจริง ๆ นั่นแหละ’
เหนือภพแหงนหน้ามองฟ้า เขาคิดถึงทุกคน คิดถึงแม่และก็น้องสาว
‘น้องพี่รออีกหน่อยนะ พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ’
เหนือภพสะพายถุงหนังที่เต็มไปด้วยมีดกับข้าวของพาดบ่าด้วยมือขวา มือซ้ายจับอีเตอร์ประจำตระกูลแน่น แล้วก็ทิ้งตัวลงไปยังน้ำตกด้วยสายตามุ่งมั่น ร่างกายเปล่งแสงจากเกราะอาคมที่เขาได้เรียนรู้มาจากพระอาจารย์อีกชั้น
เขาสูดลมหายใจจนเต็มปอด ในเสี้ยววินาทีก่อนตกถึงน้ำ แล้วก็ปล่อยให้ร่างกายจมลงตามแรงโน้มถ่วงที่มหาศาล เพื่อนำเขาไปสู่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากใต้ทะเลสาบ มันเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบอีกที หากจะผ่านเส้นทางนี้ไปได้ก็จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝน การแบ่งลมหายใจและทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะจำศีลเพื่อให้ใช้อากาศหายใจน้อยที่สุด
เหนือภพหลับตา ขดตัวเป็นก้อนกลม แล้วก็ปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำโดยไม่รู้เลยว่าวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
จนกระทั่งเขาถูกแรงดันน้ำประหลาด ฉีดพุ่งดันตัวเขาขึ้นข้างบนเรื่อย ๆ เหนือภพยังไม่ยอมลืมตา จนทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง เขาจึงพบว่าตัวเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนโขดหินริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง พร้อมกับถุงหนังใบใหญ่ที่เขาจับปากถุงไว้แน่น พร้อมกับอีเตอร์ที่อยู่มือซ้าย
เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็มองเห็นน้ำพุยักษ์กลางแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งที่พวยพุ่งสูงเหนือผิวน้ำไม่มากนัก มันคงเป็นน้ำพุโบราณที่พุ่งอยู่อย่างนี้มานานชั่วนาตาปี อยู่ท่ามกลางแม่น้ำสาขานับร้อยสาย แต่ละสายล้วนกว้างกว่าห้าร้อยเมตร บิดคดเลี้ยวไปมา ทั้งบนฟ้าและก็พื้นดินราวกับรางรถไฟเหาะท่ามกลางป่าไม้ น้ำตก ภูเขาสูง มันช่างเป็นดินแดนที่เหนือจินตนาการ
ที่นี่คือกลางป่าลึกอย่างแน่นอน เพราะเหนือภพรู้สึกได้ถึงความสุขสงบใจ ปราศจากมนุษย์มารบกวน ส่วนพวกสัตว์อสูรนั้นเขาตัดออกไปจากสมองแล้ว จากนี้เป็นต้นไปพวกสัตว์อสูรในป่าส่วนใหญ่ก็เปรียบได้แค่ริ้นไรสำหรับเขา
ท่ามกลางอากาศร้อน ยามตะวันตรงศีรษะ เหนือภพถอดเอาเสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ มาผึ่งตากแดด จากนั้นก็นั่งกินห่อข้าวเปียกน้ำฝีมืออาจารย์
‘มีศิษย์น้องสี่อยู่ด้วย ท่านไม่เหงาแล้วนะ อาจารย์’
“สหาย เจ้ารู้ทางไปเมืองอมตะนครมั๊ย”
จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาทรุดตัวนั่งข้างเหนือภพ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ที่แน่ ๆ เหนือภพไม่สามารถจับสัมผัสเขาได้แม้แต่นิดเดียว
“เห้ย !”
เหนือภพทิ้งห่อข้าวในมือ แล้วเอามือปิดจุดสงวนในทันที ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาห่อเข้าหากันโดยสัญชาตญาณ แม้แต่ผมรำไรบนหัวเกรียนของเขายังลุกชันด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ชายแปลกหน้าที่คงมีวัยไม่ต่างจากเหนือภพเท่าไหร่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเขาก็ดมกลิ่นฟุดฟิด
“เจ้าเป็นใคร”
เหนือภพถามพร้อมกับเบี่ยงตัวหนี พลางมองประเมินชายแปลกหน้า
เขามีรูปร่างเพรียวบาง แต่น่าจะแอบซ่อนกล้ามเนื้อไว้แน่ ๆ เหนือภพไม่มั่นใจนักเพราะชายแปลกหน้าคนนี้สวมชุดคลุมหนาเตอะ มันเป็นชุดเก่า ๆ สีเขียวตุ่นที่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ที่สำคัญคือเขาไม่มีสัมภาระอะไรติดตัวมาเลย
‘คนบ้าอะไร ไม่มีสัมภาระ พวกไม่เตรียมพร้อมแน่ ๆ’
“ข้าคือผู้ไร้ชื่อ แต่ผู้คนก็มักจะเรียกข้าในชื่อต่าง ๆ มากมาย”
“เอิ่ม ช่างเถอะ เจ้าจะไปที่ไหนนะ”
“เมืองอมตะนคร”
“ข้ารู้ว่าที่นั่นอยู่ไหน แต่ประเด็นคือข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ป่าสินธุไง ที่อยู่ติดกับเมืองโกงกางน่ะ แต่ที่ตรงนี้คือจุดที่ลึกที่สุดของป่า”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ตาวาวทันที
“เมืองโกงกางอยู่ทางไหนนะ”
“นู่น”
ผู้ไร้ชื่อชี้ไปยังทิศทางที่เขาเพิ่งเดินจากมา
“เจ้าดูคุ้นเคยกับป่ามากเลยนะ ทำไมเจ้าไม่เดินทางด้วยเส้นทางปกติ”
จู่ ๆ เหนือภพก็เกิดระแวงขึ้นมา
“ก็นี่ไงเส้นทางปกติ”
ผู้ไร้ชื่อตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาไม่ได้ดูดุร้ายหรือดูเจ้าเล่ห์อะไรเลย
“อ่อ งั้นหรอ ถ้าเมืองโกงกางอยู่ทางนั้น เมืองอมตะนครก็อยู่ทางนี้”
“ขอบใจ”
ในจังหวะที่ผู้ไร้ชื่อกำลังจะลุกเดินจากไป เหนือภพก็รีบกระโดดคว้าข้อมือของเขาทันที
“เดี๋ยว อยู่คุยกันก่อนสิ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้าจะไปที่นั่นทำไม”
เหนือภพกำลังลังเลใจ เหมือนจิตใต้สำนึกกำลังบอกเขาว่า ‘ชายคนนี้เป็นคนที่ควรทำความรู้จักด้วย’ แต่จิตสำนึกปกติกลับบอกว่า ‘อย่าไปยุ่งกับเขา’ และจิตใต้สำนึกก็กำลังตบตีจิตสำนึกของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เหนือภพยื้อยุดฉุดแขนของผู้ไร้ชื่อโดยลืมไปเลยว่าตอนนี้เขากำลังยืนเนื้อตัวโล่งโจ้ง จนบางส่วนห้อยโตงเตงลงมา
น่าแปลกที่ผู้ไร้ชื่อคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับความโป๊เปลือยของเหนือภพเช่นกัน แต่เขากลับตาเป็นประกายดีใจ เหมือนกับสัตว์ป่าที่ได้เจอเพื่อนพ้องของตัวเอง
ปกติแล้วผู้ไร้ชื่อจะไม่ชอบคุยสุงสิงกับใคร แต่เขารู้สึกได้ว่าพวกเขามีบางอย่างคล้ายกัน
“ข้ากินได้มั๊ย”
ผู้ไร้ชื่อชี้นิ้วไปยังห่อข้าวที่ตกกระจายอยู่บนพื้น
เหนือภพเหลือบมองห่อข้าวแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ นั่นมันของที่เขากินแล้ว
“หมดแล้วล่ะ ถ้าอยากกินไปหาอะไรมาสิ ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินเอง เนื้อสัตว์อสูรก็ได้ ข้าทำได้ทั้งนั้นแหละ”
ผู้ไร้ชื่อพอได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นประกาย ก่อนจะตอบตกลงแล้ววิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ไร้ชื่อหายไปนานมาก จนกระทั่งเหนือภพต้องออกไปล่าด้วยเอง สัตว์อสูรที่เขาเจอมีมากจนเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์
‘แต่ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นถึงหายไปนานขนาดนี้ หรือโดนตัวอะไรคาบไปกินนะ’
ตอนแรกเหนือภพคิดว่าคงหาสัตว์อสูรยาก แต่ไม่ใช่เลย เพียงเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็จะเจอสัตว์อสูรกระต่าย เดินไปอีกนิดก็มีหมีตัวใหญ่ เดินไปไกลอีกหน่อยก็มีฝูงลิงมากมาย เดินไปเรื่อย ๆ จะเจอทั้ง หมู หมา กา ไก่
‘หรือว่าหลงทาง’
เหนือภพย่างเนื้อกระต่ายไปพร้อมกับการนั่งครุ่นคิด
จนกระทั่งผู้ไร้ชื่อกลับมาพร้อมงูตัวใหญ่