ตอนที่แล้วตอนที่ 10 ศิษย์น้องสี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 ออกเดินทาง

ตอนที่ 11 ข้อขอลาก่อน


วันเวลาผ่านไปหลายวัน เหนือภพรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องตักน้ำใส่โอ่งอยู่ทุกวัน แต่สิ่งที่กวนใจเขามากกว่าคือสายตาของศิษย์น้องที่มองเขาด้วยความชื่นชม ความเคารพ และดูเขาเป็นแบบอย่าง

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาหน้าด้านมากพอที่จะรับสายตาเกลียดชัง แต่เขาไม่ด้านพอที่จะรับสายตาแห่งความชื่นชม ตัวเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องเรียนรู้ให้มาก มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า เขาควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นบ้าง

การเปลี่ยนแปลงของเหนือภพในเวลาหลายเดือนต่อมา ทำให้พระอาจารย์เริ่มประทับใจ พระอาจารย์มักพูดอยู่เสมอว่าเขามีพรสวรรค์พิเศษ เพียงแต่ความพิเศษนั้นถูกปิดกั้นจากความคิด เขายึดมั่นกับความคิดตัวเองมากไป ทำให้ความคิดคับแคบ

นกวิญญาณตัวหนึ่งร่อนลงมาที่ลานวัดพร้อมกับปล่อยจดหมายฉบับหนึ่งให้เหนือภพ เขากำลังกวาดวัดเสร็จยิ้มกว้างออกมาทันที เขารู้ว่าจดหมายนี้เป็นของใคร มันคือจดหมายจากน้องสาวของเขาแน่ เขาคลี่มันออกแต่ยังไม่ทันได้อ่านข้อความภายในก็ถูกศิษย์น้องเรียกไปพบอาจารย์เสียก่อน

“มันคืออะไรหรอครับ”

เหนือภพถามมองไม้ทรงกลมที่วางอยู่ข้างหน้าอาจารย์ด้วยความสงสัย

“มันคือบักฮือ เจ้ารู้ที่มาของมันไหม”

“เอ่อ คือ..”

พระอาจารย์รู้ดีว่าศิษย์ตัวเองค่อนข้างมีความรู้น้อยจึงชิงบอกเล่าเรื่องราวเสียเอง

“สิ่งนี้ศิษย์พี่ของเจ้าได้ส่งมาให้อาจารย์เมื่อนานมาแล้ว มันมีชื่อเรียกว่า บักฮือ เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ใช้ตอนสวดมนต์ มาจาก อาณาจักรเงามังกร อยู่ทางตอนเหนือของ อาณาจักรเงาสุริยัน ของเรา”

“ครั้งหนึ่งมหาจักรพรรดิในสมัยหนึ่งของราชวงศ์เงามังกรได้มีคำสั่งให้พระมหา นามว่า ฉือกวงไต้ซือ พร้อมลูกศิษย์ 2 รูป เดินทางไปยังดินแดนเงาบัวชมพู เพื่อไปอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา ในระหว่างการเดินทางกลับทางเรือนั้น ก็เกิดพายุลูกใหญ่ซัดใส่จนเรือโคลงเคลง หีบใส่พระไตรปิฎกตกลงไปในทะเลแล้วถูกอสูรปลายักษ์ที่ชื่อ หลีฮื้อ ตัวหนึ่งกลืนลงท้องไป ในเวลานั้นด้วยความตกใจและความโกรธแค้น พระมหาจึงพลั้งมือฆ่าสัตว์อสูรตัวนั้นจนตาย

เมื่อพายุสงบลงเขาก็ได้ลากหัวอสูรปลายักษ์ขึ้นมาไว้ที่วัด และในทุก ๆ วัน เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องสวดมนต์ เขาก็จะเคาะหัวปลายักษ์ไปด้วยเพื่อเป็นการบอกให้ผู้ที่ได้ยินเสียงเคาะ รู้ว่าพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่จริงและอยู่ในหัวปลายักษ์”

เหนือภพพอได้ฟังก็อึ้งกิมกี่

‘อิหยังว้า’

แต่ศิษย์น้องของเขากลับเอ่ยขึ้นว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เลื่อมใส เลื่อมใส ช่างเป็นปริศนาธรรมที่ลึกซึ้ง”

เหนือภพหันขวับมองศิษย์น้องสี่ราวกับเห็นว่าศิษย์น้องสี่เป็นตัวประหลาด เขายังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามันมีปริศนาธรรมตรงไหน

‘ทำไมพระรูปนั้นโง่แบบนี้ ไปเคาะหัวปลาให้ยุ่งยากทำไม ก็แค่ผ่าท้องเอาพระไตรปิฎกออกมาเสียก็สิ้นเรื่อง ท้องปลาคงไม่ย่อยพระไตรปิฎกเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง’

“เจ้าภพ”

“ครับอาจารย์”

“ต่อไปหากเจ้าจิตใจว้าวุ่น ก็จงเคาะสิ่งนี้ทุกครั้งที่สวดมนต์”

“ครับ”

เหนือภพอยากปฏิเสธแต่กลับไม่กล้า เขาจึงรับปากอาจารย์อย่างว่าง่าย

หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาอยู่ในโบสถ์ นั่งสวดมนต์บำเพ็ญอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนานนับเดือน แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เหนือภพจึงหาโอกาสล้วงจดหมายที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมา ขณะที่เสียงเคาะไม้ยังดังขึ้นต่อเนื่องไม่ช้าและก็ไม่เร็วมากเกินไป

ป๊อก ป๊อก ป๊อก

ท่ามกลางเสียงเคาะไม้ทรงกลมที่แกะสลักเป็นรูปปลา เหนือภพใช้มือซ้ายอ่านจดหมายฉบับล่าสุดของเหนือฟ้า ในขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างขวาเคาะบักฮืออยู่ในวิหารดัง เป็นจังหวะไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระอาจารย์สิริ

ป๊อก ป๊อก ป๊อก

ตลอดเวลากว่าสี่ปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานจริง ๆ อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป ยกเว้นเขาที่ยังคงเป็นเณรน้อยหัวขาวที่ต้องหมั่นทำวัตรสวดมนต์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายตัดขาดจากโลกภายนอกมุ่งสู่ทางธรรม

เหนือภพรีบเก็บจดหมายของน้องรักก่อนจะเปลี่ยนมือซ้ายมาทำท่าพนมมือข้างเดียวดังเดิม เมื่อเขาเห็นว่าพระอาจารย์ยังคงหลับตาท่องบทสวดอยู่ เขาก็รีบหลับตาภาวนาตาม

เมื่อเสียงบทสวดจบลงพระอาจารย์สิริก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับเหนือภพด้วยกระแสเสียงอันสุขสงบ

“เจ้าภพ”

“ขอรับอาจารย์”

“เจ้าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเจ้าย่อมรู้ดี หากเจ้าตัดขาดไม่ได้ การอยู่ที่นี่จะได้ประโยชน์อะไร”

คำพูดที่แฝงไปด้วยปรัชญาของพระอาวุโส ทำให้เหนือภพยิ้มแห้ง หากเป็นครั้งแรกอาจไม่เข้าใจ แต่ตลอดเวลากว่าสี่ปีมานี้ ทำให้เขารู้และเข้าใจในพระธรรมคำสอนของอาจารย์ แม้จะไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็เพิ่มพูนปัญญาให้เขาได้ไม่น้อยเลย

“ภพ ตอนนี้เจ้าก็อายุ 18 แล้ว เจ้าต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง ความรู้ทั้งหลายที่ข้ามี ก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้าไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวเจ้าเองว่ารับได้แค่ไหน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกลับออกไป ถ้าเจ้าตัดทางโลกไม่ได้เช่นนั้นก็ไปเถอะ

แต่จงจำคำของอาจารย์ไว้ วิชาความรู้ที่ข้าสอน อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด หมั่นทำแต่กรรมดี ลดกรรมชั่ว สิ่งไหนควรให้อภัยก็ให้อภัย ใช้พลังความสามารถที่มีปราบปรามอธรรม อภิบาลคนดี ปกป้องผู้คนจากเหล่าสัตว์ร้าย”

“อาจารย์ ท่านไล่ข้าหรอ”

แววตาของเหนือภพคลอไปด้วยหยาดน้ำตา สำหรับเขาแล้วอาจารย์ก็ไม่ต่างจากพ่อบังเกิดเกล้า ในยามที่เขาอ่อนแอจมอยู่ในความเศร้าเสียใจ ก็มีแต่อาจารย์ที่ฉุดรั้งเขาขึ้นมา ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคน กลายเป็นเหนือภพที่พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กโง่เง่าที่ตัดสินทุกอย่างด้วยกำลังแบบเดิม

“ข้าจะไล่เจ้าได้ยังไง ในเมื่อใจเจ้าไม่เคยอยู่ที่นี่”

เหนือภพยิ้มทั้งน้ำตาก่อนคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นอาจารย์สามครั้ง เพื่อให้ผู้เป็นอาจารย์ทำพิธีสึกให้ ก่อนบอกลาแล้วเดินทางออกจากวัด

จนกระทั่งเขามาหยุดยืนอยู่ริมน้ำตก เขาหันหลังกลับไปมองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่มักปรากฏตัวข้างเขาอยู่ตลอดเวลา

“อาจารย์ ศิษย์น้องสี่ ข้าขอลาตรงนี้ หากมีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่”

เหนือภพยกมือไหว้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือลาเณรน้อย จากนั้นก็กระโดดลงไปยังน้ำตกเบื้องหน้าทันที

“โชคดีนะศิษย์พี่”

ศิษย์น้องสี่โบกมือให้อย่างร่าเริง เขาดีใจที่ศิษย์พี่สามจะได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ เสียที

ส่วนพระอาจารย์ไม่ได้พูดอะไร ท่านเพียงแต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าอิ่มสุข ในอ้อมแขนของท่านมีเพียงชุดเกราะเกล็ดอสูรกริมสีดำ แผ่นเกล็ดอสูรกริมสีรุ้งและอีเตอร์อันเก่าของเหนือภพ รวมถึงห่อเสบียงอีกนิดหน่อย จากนั้นพระอาจารย์ก็ยื่นของทั้งหมดคืนให้แก่เหนือภพ

“ลาก่อนครับ”

เหนือภพทิ้งตัวลงไปในน้ำตกทันที ในขณะที่พระอาจารย์และศิษย์น้องสี่กำลังหันกายเดินกลับขึ้นเขา ก็มือมีประหลาดยื่นขึ้นมาจากเบื้องล่างตะปบขึ้นมาบนฝั่งอย่างรวดเร็ว

หมับ

ตามมาด้วยร่างกายของเหนือภพที่กำลังตะกายกลับขึ้นมา เขาลืมบางอย่าง โชคดีที่เขาเปลี่ยนทิศทางทันไม่งั้นหากตกลงไปข้างล่างกว่าจะได้ขึ้นมาก็คงอีกนานแน่

“เดี๋ยวอาจารย์ ท่านลืมอะไรไปรึเปล่า ท่านคิดว่าจะปล่อยศิษย์คนนี้ไปเผชิญชะตากรรมโดยไม่มีอาวุธดี ๆ เลยหรอครับ”

เหนือภพยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มขี้ประจบอย่างเคย พระอาจารย์ส่ายหัวเบา ๆ อย่างเอือมระอา

“เจ้าศิษย์คนนี้นี่ อ่ะรับไว้”

พระอาจารย์สิริขว้างอาวุธขนาดกลางที่เตรียมไว้ให้เหนือภพอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดีที่เหนือภพมีความสามารถรับไว้ได้

เมื่อเหนือภพนำมันมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็พบว่ามันคือ มีดเหน็บ ขนาดเหมาะมือ ใบมีดถูกลงอักขระอาคมและผ่านการชุบแร่มีสี ทั้งยังผ่านพิธีกรรมมาแล้ว มีอำนาจในการเจาะทะลวงเกราะปราณอาคม

ใบมีดโลหะพิเศษมีความยาว 8.5 นิ้ว มีรูปร่างปลายแหลม กลางป่อง โคนแคบ สันมีดค่อนข้างหนา ด้ามทำจากกระดูกสีขาวขุ่นยาวประมาณ 1 คืบ ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายกนก แม้จะดูเก่าแก่แต่ก็มันก็ยังคมกริบ ส่วนปลอกมีดก็คงจะทำมาจากกระดูกชนิดเดียวกัน

นี่เป็นอาวุธที่ถูกยกย่องว่าเป็นเทพศาสตราของเหล่าฮันเตอร์ผู้ใช้อาคม หรืออาจเรียกกันอย่างติดปากว่า มีดหมอ

“ขอบคุณครับอาจารย์ แต่… ถ้าเกิดว่าข้าขว้างไปปักที่ตัวสัตว์อสูรแล้วข้ายังต้องวิ่งไปดึงมาออกมาสู้อีก ข้าเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก”

พระอาจารย์อมยิ้มเล็ก ๆ ท่านถูกรีดไถเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นศิษย์รัก ท่านจึงขว้างมีดแบบเดิมไปให้เหนือภพอีกหนึ่งเล่ม

“แล้วถ้าข้าต้องตกอยู่ในวงล้อมล่ะอาจารย์...”

“อาจารย์ ท่านลองคิดดูนะ ถ้าหากข้า...”

“ข้าคิดว่า….”

ในท้ายที่สุดเหนือภพก็ได้มีดหมอไปทั้งหมด 16 เล่ม โดยมีพระอาจารย์สิริยืนมองด้วยสีหน้าสุดจะบรรยาย

“อาจารย์”

เขาเรียกอาจารย์อีกครั้ง แต่สีหน้าพระอาจารย์เริ่มบึ้งตึง หัวคิ้วกระตุก

“มีอาวุธแล้ว อาจารย์ไม่มีเครื่องป้องกันให้ข้าบ้างเหรอ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด