ตอนที่ 103 ปราณอมนุษย์
เหนือทิ้งตัวพุ่งลงหวังจะเหยียบเวตาลให้จมดิน แต่ทว่าเขาช้าเกินไป
‘ปราณอมนุษย์ป่าทมิฬ บทที่ 6 เวตาลจำแลง ’
สิ้นเสียงร่ายอาคมภายในใจของเวตาล ท่าทางของเขาก็ดูต่างไปจากเดิม รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นความตายและกลิ่นซากศพที่ไร้ชีวิต
รูปร่างหน้าตาของเวตาลปรากฏเงาภาพอมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายศพมนุษย์ผสมค้างคาวซ้อนทับอยู่ กรงเล็บแหลมคมยืดยาวออกมาเกือบ 1 ศอก ปีกค้างคาวแผ่เหยียดออกยาวไม่ต่ำกว่า 2 เมตร มันโบกกระพือด้วยความเร็ว จนเกิดลมกรรโชก
สรรพสิ่งปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายที่มีน้ำหนักมากของเหนือภพ เขายังกระเด็นกลิ้งตลบราวกับถูกผลักดันออกไปหยุดอยู่แทบเท้าของเด็กสาว
ขณะที่ทางด้านเวตาลที่จำแลงเป็นอสุรกาย เขาพุ่งขึ้นสู่ฟ้าด้วยปีกใหญ่คู่นั้น ดวงตาสีส้มแดงดุร้ายจ้องมองมายังเบื้องล่างเพื่อเล็งเป้าหมาย จากนั้นก็บินโฉบลงมาตวัดมือข่วนไปที่ใบหน้าเหนือภพ
โชคดีที่กลิ่นจันทน์อยู่ใกล้มากพอ เธอขัดขาเหนือภพให้หงายหลังล้มลง จากนั้นเธอก็เหวี่ยงฟาดตะเกียบเหล็กไหลในมือไปต่อต้านการโจมตีนั้น เธอโจมตีกลับอย่างต่อเนื่องโดยเน้นแทงทะลวงไปตามจุดสำคัญ เช่น หน้าอก และลำคอ
แต่เวตาลก็ต้านรับไว้ได้เสียส่วนใหญ่ เธอฉวยโอกาสใช้จังหวะชุลมุนนั้น ใช้ฝ่ามือคว้าจับกระชากแขนของเวตาลเข้ามาใกล้ตัว ก่อนจะเตะผ่าหมากสวนไปอย่างแรง
สีหน้าของเวตาลที่อยู่ในร่างอสุรกายนั้นซีดเขียวอย่างเห็นได้ชัด เขากุมเป้าตัวเองขณะพยายามทรงตัวยืนให้อยู่ เขาจะไม่ยอมคุกเข่าลงไปให้เสียเกียรติเด็ดขาด แต่ทว่าเขากลับถูกเหนือภพที่ล้มนอนอยู่เตะตัดขา
เวตาลล้มหลังกระแทกพื้นดังอั๊ก เขากระอักเลือดของมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำใจ เหนือภพเองก็ใช้ท่วงท่าพิสดารที่เขาเรียนรู้มา ดีดตัวขึ้น หมุนข้างฟาดขาอันแข็งแกร่งกระแทกลงบนหน้าอกของเวตาล จนร่างหนุ่มแน่นของเวตาลยุบลงไปกองกับพื้นดิน ขณะที่พื้นรอบข้างแตกร้าวออกไป กระจายเป็นวงกว้าง ฝุ่นดินคละคลุ้ง
กลิ่นจันทน์รู้ดีว่าจะทำยังไงให้เวตาลสงบลง จึงแทงเหล็กไหลเข้าไปในร่างของเวตาลแล้วเสียบคามันไว้แบบนั้น จากนั้นไม่นานร่างกายของเวตาลก็เกิดการปฏิปักษ์อย่างรุนแรง ปราณอาคมภายในร่างถูกสะกดให้หยุดนิ่ง ไร้ความสามารถในการต่อสู้ในทันที
“จะดีหรอที่เจ้าทำแบบนั้น”
เหนือภพมองการกระทำของกลิ่นจันทน์อย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรพี่ เหล็กไหลราตรี ไม่ชื่นชอบผู้ชายสักเท่าไหร่”
“ไอ้พวกบัดซบ สักวันข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ได้”
เวตาลตวาดอย่างเดือดดาลที่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับพวกเด็กเมื่อวานซืนที่เหยียบจมูกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวตาลมองไปยังพี่น้องทหารที่ตายไปเพราะเด็กสาวไม่น้อย กว่าครึ่งก็ต้องพิการเพราะเหนือภพ ซึ่งฐานะของแต่ละคนก็ไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะหาหมอเก่ง ๆ มารักษาได้ ทำให้อนาคตทหารของพวกเขาจบสิ้นไปแล้ว
เวตาลจ้องมองเหนือภพราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขารู้สึกเกลียดเหนือภพมากกว่ากลิ่นจันทน์เสียอีก ทหารอย่างพวกเขาไม่เคยกลัวความตาย ตายในการต่อสู้คือศักดิ์ศรีและเกียรติยศ แต่สิ่งที่เหนือภพมอบให้พวกเขาคือบาดแผล บาดแผลที่เสียดลึกเข้าไปในจิตใจ การมอบความพิการให้กับเหล่านักรบผู้กล้าแกร่งนั้นมันเจ็บยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“เจ้ามันจะโหดเหี้ยมมากเกินไปแล้ว”
เวตาลเค้นเสียงพูดอย่างปวดใจ
“เฮอะ พูดว่าข้าโหดเหี้ยม แต่เจ้าไม่มองดูตัวเองกับนายของเจ้าเลยนะ เมื่อสองปีก่อนใครกันแน่ที่พยายามจะฆ่าเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งในป่า หรือว่าการที่พวกเจ้าจะฆ่าใครนึกว่ามันถูกต้องงั้นหรอ ?”
แววตาของเหนือภพเต็มไปด้วยความชิงชัง
“คนอย่างพวกเจ้ามันน่ารังเกียจ เจ้าฆ่าคนอื่น รังแกคนอื่นได้ แต่เมื่อคนอื่นสนองสิ่งนั้นแก่เจ้า เจ้ากลับเรียกมันว่าความโหดเหี้ยม”
เหนือภพเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ก็ได้ ข้ามันโหดเหี้ยม”
เหนือภพโกรธอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความไร้เหตุผล การเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นของพวกราชวงศ์ทำให้เขาแค้นและรังเกียจ
“งั้นข้าก็จะทำให้เจ้าดูว่า ข้าโหดเหี้ยมได้มากแค่ไหน”
แผละ!
เสียงเนื้อและกระดูกแหลกละเอียดดังทะลุโสตประสาทของเวตาลในทันทีที่สิ้นคำพูดของเหนือภพ เขามองแขนขวาของตัวเองที่ถูกเหนือกระทืบลงไปอย่างตื่นตะลึงระคนตกใจกลัว แล้วความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายซีกขวา
“อ๊าาา ไม่! แขนของข้า…”
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวของเวตาลทำให้เหล่าทหารทั้งหลายมองมาอย่างเห็นใน ความทรมานนี้ไม่ได้เพียงแค่กาย แต่มาจากใจ
ปกติหากเราแขนขาด แต่เมื่อเจอหมอเก่ง ๆ ก็สามารถต่อให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่แขนที่ถูกบดละเอียด ต่อให้เจอหมอที่เก่งขนาดไหนก็ไม่สามารถต่อเศษผงกระดูกให้กลายเป็นแขนดังเดิมได้ และนี่คือสิ่งที่เหนือมอบให้เวตาล ให้เขารู้สึกสำนึกถึงการกระทำของตัวเองบ้าง
“หากเมื่อปีนั้นพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในป่าแล้วคิดฆ่าข้า เจ้ากับข้าก็คงไม่มีทางเดินมาถึงจุดนี้ จงโทษนายเจ้าที่ไร้เหตุผลจงโทษตัวเจ้าเองที่ไม่ยอมเลิกรา มีแต่แค้นแต่ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเด็กที่พวกเจ้าคิดอยากกำจัด”
เหนือภพจบคำพูดด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ
แปะๆ
เสียงตบมือดังก้องขึ้นมาพร้อมกับเสียงพูดอันร่าเริงของชายหนุ่มคนหนึ่ง
“ดี พูดได้ดี เด็กน้อย ข้าล่ะชอบเจ้าจริง ๆ พวกราชวงศ์ก็แค่พวกมือถือสากปากถือศีลกันทั้งนั้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เจ้าก็จะเหมาเอาพวกสวะพวกนี้ไปรวมกับคนของราชวงศ์คนอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะข้า”