ตอนที่ 101 เงินวิบวับเลย
หลังจากหลุดพ้นช่วงเวลาการปฏิปักษ์ของเหล็กไหลยาวนานต่อเนื่อง กี่วัน กี่เดือน กี่ปีนั้นเขาไม่เคยรับรู้ แต่เขาก็สามารถรอดพ้นมาได้เพราะกลิ่นจันทน์ หากไม่ใช่เธอที่คอยดูแล คอยป้อนยาบำรุงยามที่ร่างกายเขาย่ำแย่ เขาคงผ่านช่วงเวลาการปฏิปักษ์มาไม่ได้
จากนั้นร่างกายของเหนือภพก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับคืนมาทีละนิด เหล็กไหลขนาดใหญ่ที่เคยทิ่มแทงคาแผ่นหลังของเขานั้นได้หายไปหมดแล้ว พร้อมกับบาดแผลที่ถูกสมานจนไร้ร่องรอย
พละกำลังพิเศษของเขาค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาทีละนิด ซึ่งกว่ามันจะกลับมาสมบูรณ์ได้นั้นทรงผมที่เคยตัดสั้นแล้วกลับมายาวอีกจนถึงช่วงเอวไปแล้วก็ตัดอีกถึงสองครั้ง
เหนือภพกับกลิ่นจันทน์ไม่สามารถทราบได้เลยว่าเวลาภายนอกผ่านไปกี่ปีแล้ว หรือผ่านไปมากแค่ไหน รูปร่างของกลิ่นจันทน์เติบโตขึ้นมาก หน้าอกที่เคยแบบราบก็เริ่มนูนเล็กน้อย สะโพกเล็ก ๆ ก็เริ่มกว้างขึ้นนิดหน่อย เธอจ้องมองเหนือภพที่ยังยืนยืดกล้ามเนื้อตรวจตราสภาพร่างกาย กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขากลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากกว่าเก่า แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเพิ่มมามากแค่ไหน นอกจากต้องลองไปทดสอบด้วยตัวเอง
“พี่เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บที่หลัง หรือรู้สึกร้อนรุ่มอยู่อีกหรือเปล่า”
คำถามแบบเดิมที่เธอมักถามเหนือภพอยู่เป็นประจำทำให้เหนือภพรู้สึกอบอุ่น ก่อนจะดึงเด็กสาวลงมากอดแนบแน่น
“หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าในตอนนี้”
“พี่ปล่อยข้าก่อน”
“ขอให้ข้าได้กอดเจ้าอีกสักพักเถอะ”
กลิ่นจันทน์หน้าแดงตอบ ‘อือ’ เบา ๆ อย่างเขินอาย แม้ปกติเธอจะกอดเหนือภพบ่อย ๆ เวลาหนาว แต่พอถูกเหนือภพกอด ความรู้สึกที่ได้มันช่างแตกต่างจนทำให้ตัวเธอรู้สึกว้าวุ่นในใจ
“นี่เจ้าอายหรอ เจ้าจับข้าแก้ผ้าเช็ดตัวอยู่ทุกวัน ข้ายังไม่เห็นเจ้าอาย นี่ข้าแค่กอดเจ้านิดหน่อยเอง”
ถึงจะรู้ว่ากลิ่นจันทน์รู้สึกยังไง แต่เหนือภพก็ไม่ได้เข้าใจจิตใจผู้หญิงอยู่ดีว่า เวลาที่เธอกระทำเองกับถูกกระทำนั้นความรู้สึกย่อมแตกต่าง
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า”
เหนือภพถามเมื่อเห็นกลิ่นจันทน์กำลังห่อของบางอย่างด้วยหนังสัตว์อสูร เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ขอแค่พี่พร้อม พวกเราก็สามารถกลับขึ้นไปได้ในทันที ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว”
“อ้อ งั้นข้ารีบไปเก็บของก่อน”
แล้วเหนือภพก็กุลีกุจอเก็บรวบรวมสิ่งของแทบทุกอย่างในถ้ำนี้
“เดี๋ยวพี่ภพ พี่จะขนไปหมดทุกอย่างไม่ได้นะ มันเกะกะ เอาแต่ของที่จำเป็นไปก็พอ”
“ก็ใช่ไง นี่แหละของจำเป็น ดูสิ หม้อนี่ก็จำเป็น ผ้าห่มนี่ก็จำเป็น อีเตอร์ของข้าก็จำเป็น ตะกร้าสมุนไพรก็จำเป็น แล้วก็…...”
จากนั้นเหนือภพก็ร่ายยาวถึงสิ่งของจำเป็นของเขาอีกมากมาย
“พี่ภพ พี่จะเป็นบ้าหอบฟางแบบนี้ไม่ได้นะ เราต้องเลือกแต่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ สิ่งที่ไม่สามารถซื้อหาที่ไหนได้อีกแล้ว หรือไม่ก็สิ่งที่เราขาดไม่ได้ ถ้าขาดมันเราก็อาจจะต้องตาย นั่นแหละถึงจะเรียกว่าจำเป็น”
“อ้อ งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
เหนือภพตัดสินใจทันที มือหนึ่งคว้าเพียงอีเตอร์ที่ตกทอดมาจากตระกูล ส่วนมืออีกข้างก็โอบกอดกลิ่นจันทน์เอาไว้ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง
พวกเขาเดินทางลัดเลาะคูหาถ้ำจนมาถึงจุดที่กลิ่นจันทน์เคยพูดถึง
“ที่นี่นะหรอ ที่เจ้าว่า”
เหนือภพถามอย่างไม่แน่ใจ พลางมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่นี่อาจจะเคยเป็นบึงน้ำแห้ง แต่ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยมวลน้ำมหาศาลที่คงจะไหลมาจากสายน้ำใต้ดินหลายสายรวมกัน
“ใช่ที่นี่แน่ สงสัยว่าตอนนี้เป็นฤดูน้ำหลากล่ะมั้ง แต่ตอนนั้นที่ข้ามาเจอมันยังไม่มีน้ำนะพี่”
“อืม ข้าเกลียดน้ำจริง ๆ”
“พี่เตรียมตัวเถอะ พวกเราจะใช้บันไดกระดูกพวกนี้ ช่วยในการปีนขึ้นไป”
กลิ่นจันทน์บอกขณะยื่นถุงหนังสัตว์อสูรขนาดใหญ่ให้กับเหนือภพ ภายในนั้นบรรจุบันไดลิงเอาไว้ กลิ่นจันทร์ใช้เวลาอยู่นานในการทำมันขึ้นมาจากการร้อยเชือกและกระดูกเข้าด้วยกัน
บันไดนี้มีความยาวเพียง 5 เมตร พวกเขาจะต้องโยนมันขึ้นไปบนผาหิน ตรงหัวบันไดจะมีเขี้ยวสัตว์อสูรงอออกมาเพื่อใช้เป็นจะงอยยึดเกาะ เมื่อหัวบันไดยึดเข้ากับผาหินได้แล้ว พวกเขาก็จะต้องไต่ขึ้นไป เมื่อสุดทางก็หาวิธีโยนหัวบันไดขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงข้างบน
พวกเขาปีนไต่หินผามาได้ประมาณ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ถึงครึ่งทางอยู่ดี
“นี่พี่ภพ ถ้าพี่ขึ้นไปข้างบนได้ พี่จะทำอะไรเป็นอย่างแรก”
กลิ่นจันทน์ชวนคุย ขณะที่เธอปักหมุดกระดูกเข้าไปในเนื้อหินผาเพื่อช่วยพยุงตัวระหว่างปีนบันได
“ก็คงต้องไปหาฟ้าก่อน แล้วส่งข่าวให้หัวหน้าไทรู้ว่าพวกเราปลอดภัยจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ข้าคิดว่าข้าจะไปทำงานที่รับไว้ให้สำเร็จ”
“ข้าไปด้วยได้ไหม”
“เอาสิ ถึงเจ้าไม่ขอ ข้าก็อยากพาเจ้าไปด้วย ยังไงสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียว”
เหนือภพพูดอย่างที่คิดจริง ๆ
ตลอดทั้งวันนั้นเหนือภพและกลิ่นจันทน์ได้ปีนไต่ขึ้นไปอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งพระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มสาดแสงสีส้มอ่อนลงมา พวกเขาจึงได้เข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น จนกระทั่งกลิ่นจันทน์เอื้อมมือครั้งสุดท้ายแล้วถีบตัวเองขึ้นมาข้างบนผาได้สำเร็จ
“พี่รีบขึ้นมาเถอะ วิวข้างบนสวยมากเลย”
คำพูดด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ของกลิ่นจันทน์ ทำเอาเหนือภพที่กำลังไต่บันไดตามมาติด ๆ ส่ายหน้าเบา ๆ โดยไม่ได้เอะใจอะไรเลย
“เจ้าก็พูดไปเรื่อย ข้าไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างกันตรงไหน จะข้างล่างหรือข้างบนข้าก็ยังไม่มีเงินสักแดงเดียว”
เหนือภพพูดเสร็จเขาก็เหนี่ยวตัวเองขึ้นมาถึงพอดิบพอดีด้วยท่าทางระรื่น เขาตั้งใจจะเข้าโอบกอดเด็กสาว แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นทำให้เขาหน้าเคร่งในทันที ก่อนจะเอามือกุมขมับตัวเอง
“วิวของเจ้าสวยดีนะ สีเงินวิบวับมากันเยอะเชียว”
เหนือภพพึมพำ ขณะเยื้องกรายตัวเองมายืนบังด้านหน้ากลิ่นจันทน์เอาไว้ เขายกมือทักทายกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยใบหน้าเหนียมอายเล็ก ๆ
“อรุณสวัสดิ์พี่ชาย”
“เฮอะ! ไอ้เด็กเวร ไม่ได้เจอกันนานสันดานก็ยังไม่เคยเปลี่ยน ข้าก็อุตส่าห์นึกว่าเจ้าจะตายไปซะแล้ว ยังจะรอดมาขวางหูขวางตาข้าอีก”
เวตาลยืนพูดด้วยท่าทางอวดเบ่ง
“ดูสิครั้งนี้เจ้าจะหนีไปไหนได้อีก เด็กเวรอย่างเจ้าจะต้องตายภายใต้ตีนข้า !”
เบื้องหลังของเวตาลนั้นมีทหารราชวงศ์ห้อมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก ทหารเกือบครึ่งร้อยยืนโอบล้อมหน้าผาไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม หากไม่มีคำสั่งจากเวตาล ใครก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ ต่อให้เป็นบนฟ้า หรือกลับลงไปในหุบเหว
“นี่พี่ชาย ไม่เบื่อหรือไงที่จะรังแกเด็ก ๆ อย่างพวกข้า ขืนข่าวลือเรื่องรังแกเด็กหลุดออกไป พวกพี่จะไม่มียืนในสังคมเอานะ”
เหนือภพพูดด้วยท่าทางอ่อนใจ เขาไม่รู้จะสลัดเจ้าบ้าเวตาลนี่ยังไงแล้ว จะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้จะลงมือรุนแรงเกินไปก็มีปัญหา แต่อย่างน้อยเขาก็อยากหักแขนหักขามันสักข้างหนึ่ง แล้วส่งเป็นของขวัญกลับไปให้องค์หญิงตอแหลนั่น มันถึงจะสาสม
เวตาลส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“จุ๊ จุ๊ อย่าพูดยังงั้นสิ เจ้าก็ปากดีได้แค่ตอนนี้ล่ะเด็กน้อย เจ้ารู้มั๊ยตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี่ ข้าคิดถึงเจ้าตลอดเวลาเลยนะ ข้าน่ะลุ้นอยู่ตลอด ลุ้นให้เจ้าตาย ๆ ไปซะทีที่ก้นเหวนั่น บางทีแผ่นดินมันจะได้สูงขึ้น แต่สุดท้ายเจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวัง”
ตอนที่เหนือภพตกหน้าผาไปในครั้งนั้น พวกเขาดีใจมากที่ได้แก้แค้นได้สำเร็จ เขาไปแจ้งองค์หญิงบุษย์น้ำทองเรื่องการเสียชีวิตของเหนือภพ แต่องค์หญิงกลับพูดมาเพียงสั้น ๆ ว่า ‘อยู่ก็ต้องเห็นคน ตายก็ต้องเห็นศพ’
ดังนั้นหากยังไม่เห็นศพก็ไม่อาจปักใจเชื่อได้ เขาจึงต้องส่งลูกน้องออกมากระจายตัวกันค้นหา และเฝ้าประจำการอยู่ทุกช่องทางที่คิดว่าเหนือภพจะโผล่ออกมา ตราบใดที่เหนือภพยังไม่เป็นศพ ภาระหน้าที่ของเขาก็ยังไม่จบสิ้น
เขารอคอยมานานมาจนแทบไม่เชื่อหูเมื่อมีลูกน้องมาแจ้งข่าวในตอนสายวันนี้ ว่าพบการเคลื่อนไหวใต้หุบเหวลึกแห่งหนึ่งที่ห่างจากจุดเกิดเหตุไปเกือบร้อยกิโลเมตร นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาและเหล่าทหารมาซุ่มดักรอคอย ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเหนือภพจริง ๆ ความแค้นตลอดสองปีมานี้ ถึงเวลาที่จะได้รับการสะสางแล้ว
เสียงชักอาวุธของเหล่าทหารองครักษ์ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เตรียมพร้อมจะประจัญบานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่มือที่สวมเกราะเหล็กของเวตาลยกชูขึ้นเสียก่อน ทหารองครักษ์เหล่านั้นจึงดึงเท้าที่ก้าวออกไปข้างหน้ากลับไป
“พี่น้องข้า ข้ารู้ว่าพวกท่านต่างกระหายที่จะฆ่าเด็กชั่วนี่ แต่พวกท่านวางใจเถอะ ข้านี่ล่ะจะขออาสาลากหัวมันมามอบให้องค์หญิงของเรา”
เฮ้ เสียงเฮ้ของทหารองครักษ์ดังขึ้นอย่างกึกก้อง แล้วกระทืบพื้นเป็นจังหวะฮึกเหิมพร้อมกับเคลื่อนตัวตีวงล้อม กระชับวงให้กว้างขึ้นเพื่อสร้างขอบเขตของสนามประลอง
“นี่ ที่รัก เจ้าว่าหากพวกเราต่อยพื้นพร้อมกัน ดินจะถล่มไปได้กว้างสักแค่ไหน”
เหนือภพกระซิบกระซาบขณะโอบกอดกลิ่นจันทน์จากข้างหลังโดยไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย นั่นยิ่งสร้างความโกรธแค้นและความหมั่นไส้มากขึ้น เสียงตะโกนด่าทอสาปแช่งสารพัดจากเหล่าทหาร ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสองสะทกสะท้านได้เลย
“มันขึ้นอยู่กับว่าพี่ใช้แรงแค่ไหน”
กลิ่นจันทน์เองแม้จะมีท่าทีเคอะเขินต่อเหนือภพ แต่เธอก็เอียงแก้มเฉียดริมฝีปากเหนือภพ ขณะตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“ระดับ 5”
“ถ้าพี่อยากขยายหุบเหวให้กว้างขึ้น มันก็เป็นความคิดที่ดีอยู่นะ”
สิ้นคำพูดของกลิ่นจันทน์ทั้งสองก็ผละตัวออกจากกัน จ้องมองกันด้วยรอยยิ้มที่รู้ใจ กลิ่นจันทน์หมุนตัวมายืนเคียงคู่หันหลังให้กับหุบเหวเผชิญหน้ากับเวตาลและกองทหารองครักษ์อย่างไม่หวาดหวั่น กำปั้นขวาของทั้งคู่ปรากฏเส้นเลือดปูดโปน กล้ามแขนพลันขยายขึ้นผิดหูผิดตา แตกต่างกันที่บริเวณกำปั้นและช่วงแขนขวาของเหนือภพทั้งแขนมีแสงสีส้มเคลือบเอาไว้บาง ๆ นี่คือประสิทธิภาพที่ถูกเสริมขึ้นด้วยเหล็กไหล แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม