ตอนที่แล้วตอนที่ 9 เอาเหรียญข้าคืนมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 ข้อขอลาก่อน

ตอนที่ 10 ศิษย์น้องสี่


เหนือภพพูดอย่างเหนื่อยหอบขณะหนีบเกล็ดสองอันที่เขาดึงติดมือมา ตอนนี้ร่างกายของเขากลับมาเป็นดังเดิมแล้ว ร่างกายเปลี่ยนสภาพ เงาร่างของยักษ์ดุร้ายสลายหายไป เมื่อพวกอสูรกริมสัมผัสได้ว่าพลังมหาศาลหายไปแล้ว พวกมันก็พากันกลับมาที่เดิม จ้องมองเหนือภพหน้าสลอนสายตาเต็มไปด้วยความแค้น

“ทำไม พวกเจ้ายังไม่เข็ดอีกหรอ”

เมื่อเหนือภพเห็นแบบนั้น เขาก็เอากำปั้นทุบลงไปยังหัวอสูรกริมที่อยู่บนบกดังตุบ แล้วก็บ่นอย่างหงุดหงิดว่า

“ส่วนเจ้านี่ก็ดิ้นจริง ข้าถอดเกล็ดแค่นี้ทำเป็นงอแง ถ้าอาจารย์ไม่บอกให้ข้าเอาแค่เกล็ด ข้าฆ่าพวกเจ้าไปแล้ว”

เหนือภพบ่นอุบขณะถอดเกล็ดออกมากองอยู่บนพื้นนับสิบชิ้น แม้อาจารย์จะบอกว่าต้องการแค่เกล็ดเดียว แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น เกล็ดของอสูรกริมมีความทนทานและดูดซับแรงกระแทกได้ดี หากเขาไม่เอาไปทำชุดสักหน่อยก็เสียดายแย่ แต่จะเอามากเกินไปก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวผิดสังเกตเกินไป

อสูรกริมหลั่งน้ำตา

“แกน่ะ ตัวก็ใหญ่ ทำใจเสาะไปได้”

อสูรกริมเริ่มร้องไห้เสียงอืออึ้งสะท้อนกังวานคล้ายเสียงแซกโซโฟนคีย์ต่ำ มันร้องดังอย่างกับว่า เขารังแกมัน

“โอ๋ เจ้าอย่าร้องสิ ข้าต้องการแค่นี้แหละ ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวอาจารย์ข้าได้ยินนะ”

เหนือภพรีบฉีกทึ้งเชือกเขียวออก แล้วถีบปลายักษ์ตัวนั้นลงน้ำ

ตู้ม !

จากปลาที่เห็นร้องไห้งอแง เมื่อตกถึงน้ำมันก็ว่ายดำดิ่งลงไปหาจุดที่ลึกที่สุดอย่างรวดเร็ว

“หนอย แกล้งสำออยสินะ”

เหนือภพอารมณ์เสียสุด ๆ เหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมาเมื่อคิดว่าเสียงนั้นจะทำให้อาจารย์ได้ยิน แต่ก็ประหลาดดีเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินปลาร้อง

แต่คิดดูอีกทีเขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถพัฒนาตัวเองจนแกร่งได้ถึงขนาดนี้ เขายังจำได้ว่าในอดีตนั้นต้องใช้ฮันเตอร์แรงค์ D ตั้งหลายคนกว่าจะสู้อสูรกริมได้อย่างสูสี แต่ตอนนี้เขากลับสามารถสู้ได้ด้วยตัวเองคนเดียว

เขาหันซ้ายหันขวาสูดลมหายใจเข้าปอดขณะมองสำรวจสภาพพื้นที่ชายฝั่งที่เป็นแอ่งกระทะ สภาพยับเยินสุด ๆ แต่แล้วเขาก็เห็นว่า อยู่ ๆ ฝูงอสูรกริมก็ต่างพร้อมใจกันว่ายไปยังทิศทางอื่น

‘หรือมันกลัว ? ไม่น่าใช่ พวกมันจ้องจะกินข้ามาตั้งหลายวัน มันคงไม่เลิกล้มเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่ หรือมันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่าข้า’

นั่นทำให้เหนือภพสงสัย เขารีบวิ่งลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ขณะที่ฝูงอสูรกริมว่ายเป็นเส้นตรงขนานกับชายฝั่งพอดี ทำให้เหนือภพสามารถติดตามมันไปได้

ไกลออก ณ แง่งหินที่ยื่นเลยออกมาจากม่านน้ำตกยักษ์อีกด้านหนึ่ง มีร่างเด็กชายคนหนึ่ง นอนคว่ำอยู่ด้วยสภาพยับเยิน เสื้อผ้าฉีกขาด ร่างกายมีรอยช้ำและรอยบาดของของมีคม เลือดสีแดงรินไหลปะปนลงมากับน้ำตก แม้จะถูกเจือจางจนมองไม่เห็น แต่ย่อมไม่รอดพ้นประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของสัตว์อสูรใต้น้ำ

ซึ่งอสูรกริมก็เป็นหนึ่งในพวกที่ถูกกลิ่นเลือดดึงดูด พวกมันพากันมาอออยู่ที่ผืนน้ำด้านล่างที่อยู่ต่ำกว่าแง่งหิน กว่าหลายร้อยเมตร

พวกมันรอคอยให้เด็กน้อยคนนี้ถูกน้ำพัดตกลงมาโดยเร็ว แต่รอจนแล้วจนเล่าเด็กน้อยก็ยังไม่ตกลงมา พวกมันจึงใช้หางตีน้ำให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหงุดหงิด หวังให้แรงสั่นสะเทือนนี้ส่งผลถึงแง่งหินข้างบนจนแตกหัก

เหนือภพที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าบนแง่งหินข้างบนนั้นคืออะไร สายตาเขาไม่ได้ดีเท่าสัตว์อสูร อีกอย่างมันจะเป็นอะไรก็ช่าง ในเมื่อพวกมันดูสนใจเป็นอย่างมาก เขาจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นตกอยู่ในมือพวกมันอย่างแน่นอน

แต่เพื่อไขข้อสงสัยนั้นเหนือภพจึงกระโดดไต่ขึ้นไปตามแง่งหินเล็ก ๆ ตามผนังผาน้ำตก จนกระทั่งมาปรากฏตัวอยู่บนแง่งหิน

“เด็ก ?”

เหนือภพใช้นิ้วมือจับไปยังจุดชีพจรของเด็กน้อยวัยประมาณหกขวบอย่างแผ่วเบา เขาได้รับสืบทอดวิชาแพทย์มาจากอาจารย์บ้าง ทำให้เขารู้ว่าชีพจรภายในร่างกายแผ่วเบามาก เด็กคนนี้ใจแข็งไม่เบา การที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแรงโน้มถ่วงรุนแรงนี้นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

เหนือภพค้นหาว่านยาสำหรับยื้อชีวิต บดจนละเอียดแล้วป้อนให้เด็กน้อยกินสด ๆ ทั้งอย่างนั้น เขาทำเต็มที่ได้แค่นี้ มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่จะพอจะรักษาเจ้าเด็กหนุ่มนี้ได้

“ทนหน่อยนะเจ้าหนู”

เหนือภพเอาเกล็ดอสูรกริมส่วนใหญ่ไปซ่อน โดยเก็บติดตัวไว้ชิ้นเดียว ก่อนอุ้มเด็กชายที่ยังหมดสติไว้ในวงแขน แล้วค่อย ๆ ไต่แง่งหินขึ้นไปข้างบนด้วยแขนขวาที่ยึดจับเพียงข้างเดียว สองเท้าถีบยันเพื่อดันตัวขึ้น

ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเขาเขาก็ไต่จนใกล้จะถึงด้านบนเต็มที ระยะทางยังเหลืออีกประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยเมตร แต่อาการของเด็กน้อยย่ำแย่ลงทุกที ว่านคุ้มครองชีวิต ที่เขาให้เด็กนี่กิน มีผลในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จะให้กินซ้ำก็ไม่ได้ เพราะว่านมีสรรพคุณทั้งให้คุณและโทษ ใช้น้อยเป็นยา ใช้มากเป็นพิษ

เหนือภพจำเป็นต้องเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่ส่งเสียงร้องเรียกอาจารย์ไปด้วย ร่างกายของเขาไหว แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ไหวแน่

พระอาจารย์สิริที่กำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนรากต้นโพธิ์ริมน้ำตก ลืมตาขึ้นเพราะเสียงร้องเรียกของผู้เป็นศิษย์ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน จากนั้นท่านก็หลับตาลงใช้จิตเพ่งมอง จึงได้เห็นภาพศิษย์ของตัวเองกำลังปีนขึ้นมาตามผาข้างน้ำตก ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยในสภาพที่บาดเจ็บหนัก ลมหายใจรวยริน

พระอาจารย์ได้แต่พึมพำกับตัวเอง

“มันใกล้ถึงเวลาของข้าแล้วสินะ”

พระอาจารย์หลับตาลง ร่างกายเรืองแสงสีทองออกมา ผิวหนังที่เหี่ยวไปตามกาลเวลาปรากฏรอยสักอาคมสีทองสว่างเป็นภาพร่างขององค์พระสาวกในท่าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ร่างอาคมอยู่ในท่ายืน หัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมออก หัตถ์ขวาห้อยลงข้างลำตัว

สองเท้าของร่างอาคมเหยียบยืนมั่นคงอยู่เบื้องล่างน้ำตก มีความสูงมากในระดับน่าอัศจรรย์ เพราะเศียรสูงโผล่พ้นด้านบนน้ำตกจนสามารถประจันหน้ากับพระอาจารย์สิริได้

ร่างกายของเหนือภพและเด็กน้อยในอ้อมแขนอยู่ใจกลางหัตถ์ขวาที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาเหนือน้ำตกอย่างเนิบช้า แต่งดงาม ก่อนวางทั้งสองลงเบื้องหน้าพระอาจารย์สิริที่ยังนั่งสมาธิอยู่ ท่านลืมตา ยกมือขึ้นพนม ร่างอาคมพระสาวกสีทองยักษ์ก็อันตรธานหายไป

ทิ้งไว้เพียงพุทธคุณและความเมตตา ความเมตตาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังแห่งชีวิต ทำให้มวลบุปผา พืชสมุนไพร และต้นไม้ที่ล้มตายหักโค่นไปเพราะการต่อสู้ของเหนือภพ ฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา

ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายของเด็กน้อยก็กำลังสมานแผลจนพ้นขีดอันตรายได้อย่างปาฏิหาริย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เหนือภพได้เห็นพลังของพระอาจารย์สิริ พลังอำนาจที่แท้จริงของบุคคลที่เรียกว่านักบวช ช่างน่าอัศจรรย์ ถ้าหากเอาไปใช้ในยามสงครามคงสุดยอดมากแน่ แต่น่าเสียดายนักบวชมักไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสงคราม

เพียงไม่กี่เดือนต่อมาที่เด็กน้อยได้อยู่ในความดูแลของพระอาจารย์ ร่างกายของเด็กน้อยก็กลับเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ากันได้ดีกับอาจารย์

เจ้าเด็กนี่เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักบวชโดยแท้ เหนือภพไม่รู้ว่าในสมองของเจ้าเด็กนั่นทำด้วยอะไร รู้แต่ว่ามันชอบพูดว่า ‘ธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข การบำเพ็ญสมาธิคือการขัดเกลาจิตวิญญาณ เพื่อมุ่งแสวงหาที่พึ่งที่แท้จริง’ อะไรทำนองนั้น

‘บ้าไปแล้วแน่ ๆ’

ส่วนเขากลับต้องมากวาดลานวัด แบกน้ำ ทำอาหาร แล้ววัน ๆ อาจารย์ก็เอาแค่คลุกคลีกับเจ้าเด็กนั่น ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะรู้สึกรำคาญไปบ้างที่มีอาจารย์อยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา แต่พอไม่มีอาจารย์เขากลับรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล

“เจ้าอิจฉา ศิษย์น้องเจ้าเหรอ”

พระอาจารย์สิริเอ่ยขึ้น ขณะปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เหนือภพ นั่นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก

“อาจารย์ เมื่อไหร่ท่านจะเลิกปรากฏตัวไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้สักที ข้าตกใจหมด”

“ศิษย์พี่ อาจารย์ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ท่านนั่งบำเพ็ญฌานอยู่กับข้าที่นี่ตั้งนานแล้ว”

“ทำไมข้าไม่เห็น”

“ศิษย์พี่ อาจารย์บอกว่าหากจิตใจของเราถูกครอบงำด้วยกิเลส ย่อมไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งใด ๆ ตามความเป็นจริง หากศิษย์พี่ละวางกิเลสภายในใจ ละวางตัวตนเพื่อเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ศิษย์พี่ก็จะเห็นการคงอยู่ทุกสรรพสิ่ง ไม่เพียงแค่ข้ากับอาจารย์”

เหนือภพอ้าปากค้าง เรื่องแบบนี้พูดง่ายแต่ทำยากจะตายไป นี่ก็ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน ทำไมเขารู้สึกว่าเห็นเจ้าเณรน้อยพุทธ ศิษย์น้องของเขาทีไร ก็เหมือนเขาได้เห็นอาจารย์อีกคน

“ข้าไม่เอาด้วยแล้ว พวกท่านนั่งฌานกันต่อเถอะ”

“เรื่องบำเพ็ญจิตเจ้าคงไม่ถนัด งั้นเจ้าก็ลองไปบำเพ็ญด้วยร่างกายละกัน ดูเหมือนน้ำในโอ่งหลังวัดจะแห้งหมดแล้ว เจ้าไปเติมให้เต็มเถอะ”

“อีกแล้วเหรอ !”

เหนือภพร้องเสียงหลง โอ่งหลังวัดคือโอ่งยักษ์ที่แต่ละใบสามารถบรรจุน้ำเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้สัปดาห์หนึ่ง มันจำนวนนับพันใบ ปกติโอ่งด้านหลังจะมีน้ำเต็มอยู่เสมอเพราะเขาเป็นคนตักใส่อยู่บ่อย ๆ และเมื่อใดก็ตามที่พระอาจารย์อยากจะสอนเขา น้ำในโอ่งก็มักจะหายไปอย่างปริศนา

“เจ้าไม่พอใจอาจารย์งั้นเหรอ”

“ข้าจะไม่พอใจได้ยังไงอาจารย์ ข้าเป็นพวกที่น้ำล้นโอ่งสินะ ข้ารู้อาจารย์อยากให้ข้าเป็นเหมือนโอ่งไม่เต็มที่สามารถเติมน้ำได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุดใช่ไหมอาจารย์”

เขาเข้าใจดี ก็เขาโดนลงโทษให้ตักน้ำใส่โอ่งปีละร้อยกว่าครั้ง จนเข้าใจปรัชญาของพระอาจารย์ที่แฝงให้เขาได้เรียนรู้และก็จดจำใส่ใจ ว่าอย่าเป็นโอ่งที่น้ำล้น แต่จงเป็นโอ่งที่พร้อมจะเติมสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่สิ่งที่อาจารย์สอนมันน่าเบื่อจะตายไป เขาพร้อมที่จะเรียนวิชาอาคม เรียนศาสตร์การต่อสู้ เขาไม่พร้อมที่จะบำเพ็ญจิต นั่งหลับตาเมื่อไหร่เขาก็เข้าสู่ภวังค์หลับใหลเมื่อนั้น

“ไม่รู้คือไม่ผิด แต่รู้แล้วยังทำผิดอีก แปลว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ ไปตักน้ำเถอะ จนกว่าเจ้าจะเข้าใจ”

เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ นึกว่าจะรอด แต่สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด