บาทที่ 62
บาทที่ 62
ก่อนที่ป้อมปืนใหญ่ลอยฟ้าจะยิงออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมง หงเซียวและหญิงสาวทั้งห้าก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างๆปืนใหญ่ พูดคุยกับประธานาธิบดี
“การเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วเหรอ” หงเซียวถาม
“ขอรับท่านผู้นำ กองกำลังของเราตั้งอยู่ในจุดที่กำหนดไว้ทั้งหมด เตรียมพร้อมบุกไปทุกเมื่อ” ประธานาธิบดีตอบ เขารู้ว่าชั้นมัชฌิมเซียนของเขากับของหงเซียวนั้นคนละระดับกัน จากการที่เคยเห็นหญิงสาวทั้งห้าอาละวาดมารวมไปถึงช่วงที่พวกเธอปะทะกับชั้นปัจฉิมเซียนได้ตั้งนาน เขาก็เห็นว่าไม่ว่าอย่างไรยากที่เขาจะเทียบได้
“ดี หากว่าถึงเวลาก็เริ่มได้เลย” หงเซียวกล่าว
“ท่านผู้นำ ข้าต้องการให้ท่านยิงกระสุนนัดแรกเปิดศักราชแห่งการต่อสู้ด้วยเทคโนโลยีแทนการต่อสู้ระยะประชิด”
“ปืนที่พวกเราผลิตมานั้นก็น่าจะเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีแล้วไม่ใช่หรือไง” หงเซียวกล่าวยิ้มๆ
“ท่านผู้นำ นี่… นี่ไม่เหมือนกันนะ” ประธานาธิบดีไม่รู้ว่าจะโต้แย้งอย่างไร
“ข้ายินดีที่จะยิงกระสุนนัดแรกเปิดศักราชแห่งเทคโนโลยีที่ทุกคนได้คิดค้นร่วมกัน ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ข้าผูกขาดอยู่เพียงผู้เดียว” หงเซียวกล่าว
นักวิจัยทุกคนต่างพากันส่งเสียงแสดงความยินดี พวกเขาได้รับเกียรติจากท่านผู้นำว่าเป็นคนคิดค้นอาวุธนี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อยอดก็ตาม
พวกเขาไม่รู้ว่าหงเซียวเองก็ใช้พื้นฐานความรู้ในอดีตต่อยอดขึ้นมาเช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หงเซียวเข้าประจำป้อมปืนใหญ่ที่หนึ่ง ขณะที่ประธานาธิบดีประจำป้อมปืนใหญ่ที่สอง และนักวิจัยพากันช่วยกันในป้อมปืนใหญ่ที่สาม
ส่วนหญิงสาวทั้งห้านั้น เธอเริ่มสร้างปืนใหญ่เลียนแบบมาตั้งแต่เมื่อเกือบชั่วโมงก่อนและแล้วเสร็จก่อนถึงเวลายิงไม่นานนัก และประจำตำแหน่งปืนใหญ่ของตนเอง ส่วนกระสุนนั้นแน่นอนว่าใช้กระสุนที่นักวิจัยผลิตขึ้นมา
นักวิจัยต่างพากันทำหน้าแปลกๆ ปืนที่พวกเขาใช้เวลาเป็นเดือนในการสร้างกลับเสร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงในมือของหญิงสาวทั้งห้า หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือในมือของผึ้งเซียนของหญิงสาวทั้งห้า
นั่นอธิบายไม่ยากนัก ในเมื่อผึ้งเซียนแต่ละตัวหากไม่ใช่เป็นวิชาเซียนสร้างสรรค์ชั้นมัชฌิมเซียน ก็ใช้วิชาเซียนภูตวิญญาณปราณหนอนศิลาชั้นมัชฌิมเซียน ในขณะที่นักวิจัยทั้งหมดยังอยู่ในชั้นปฐมเซียนและมีแต่วิชาเซียนภูตวิญญาณเท่านั้น ทั้งแต่ละคนยังมีผึ้งเซียนจำนวนมากกว่านักวิจัยอีกด้วย
เหนือกว่าทั้งปริมาณและคุณภาพ
“เตรียมพร้อม ยิง” เสียงประกาศดังมาจากประธานาธิบดี เสียงของเขาถูกถ่ายทอดไปยังทุกเครือข่ายที่รอสัญญาณนี้อยู่
วู่ม วู่ม วู่ม เสียงกระสุนเร่งความเร็วผ่านกระบอกปืนใหญ่หมายเลขหนึ่งถึงสามดังขึ้น กระสุนสามนัดมุ่งสู่ทิศทางที่แตกต่างกันออกไป
วู่ม วู่ม วู่ม วู่ม วู่ม เสียงกระสุนเร่งความเร็วผ่านกระบอกปืนใหญ่จากหญิงสาวทั้งห้าพากันยิงติดตามมา สองจากสามติดตามกระสุนหงเซียวไป ขณะที่อีกสามกระบอกนั้นปูพรมไปบริเวณที่มีการวางแนวกำลังป้องกัน
ผึ้งเซียนที่อยู่บริเวณนั้นพากันบรรจุกระสุนลูกใหม่เข้าไปในทันที กระบวนการบรรจุกระสุนใหม่นั้นไม่เสียเวลา ที่เสียเวลาก็คือการชาร์จพลังให้กับยันต์ของปืนใหญ่ที่ทำหน้าที่ขับกระสุนใหม่อีกครั้ง
ท่ามกลางหมู่เมฆ กระสุนที่มีรูปร่างคล้ายกับกระสวยหรือลูกรักบี้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสามสิบเมตร ยาวหกสิบเมตร ส่วนหางมีครีบ ซึ่งจัดสร้างตามคำแนะนำของหงเซียว หมุนวนรอบตัวอย่างช้าๆ ขึ้นไปยังจุดสูงสุดก่อนจะลดตัวลง
กระสุนนี้ไม่มีแรงขับดันในตัว อาศัยแรงยิงจากกระบอกปืนใหญ่ เรียกได้ว่าอาศัยหลักการของเครื่องยิงระเบิดจากอดีตชาติของหงเซียว แต่ถึงกระนั้นอำนาจการยิงด้วยยันต์ก็ยังมีอำนาจมหาศาล สามารถยิงได้ไกลถึงห้าร้อยกิโลเมตรได้
ข้อได้เปรียบของกระสุนแบบนี้ก็คือการตรวจจับมันทำได้ยากมาก เพราะว่ามันไม่ส่งพลังงานอะไรออกมาเลยระหว่างที่เคลื่อนตัวไปในอากาศ ทั้งยังติดตั้งยันต์พรางตัวอีกด้วย
ด้วยความเร็วเหนือเสียง ถึงแม้ว่ามันจะพรางตัวอย่างไรก็ตามนั่นก็ยังสร้างความตื่นตัวให้กับผู้ที่คอยตรวจจับอยู่ แต่นั่นไม่ทันเวลาแล้ว
ด้วยความสามารถในการตรวจจับประมาณร้อยกิโลเมตรของชั้นมัชฌิมเซียนที่ฝึกเน้นด้านเขตวิถีทำหน้าที่เฝ้ามอง พวกเขาก็พบเห็นว่ามันเป็นกลุ่มก้อนเมฆสีดำที่พบเห็นได้ทั่วไปยามเมื่อมีมารชั้นมัชฌิมเซียนเดินทางมาหา
มันพุ่งตัวขึ้นไปรับหน้า เพื่อสอบถามว่ามีอะไรจึงเร่งรีบปานนี้ แต่ขณะที่อ้าปากกำลังจะพูดดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจมัน พุ่งตัวเลยผ่านร่างมันไปอย่างรวดเร็ว
มันโกรธเป็นอันมาก พุ่งตัวตามหลังเมฆดำนั้นไปพร้อมกับส่งเสียงตวาด “หยุด” แต่อย่างไรก็ตามมันก็ส่งเสียงไม่ให้ดังเกินไปนักซึ่งอาจจะเป็นการรบกวนท่านจอมมาร
มันโล่งอกที่เมฆดำนั้นไม่ตรงไปที่ปราสาท แต่ร่อนลงก่อนถึงปราสาทประมาณห้าร้อยเมตร
มันพุ่งตัวเข้าไปหา
บรึม
แสงสว่างเจิดจ้าและความร้อนมหาศาลผ่านตัวของมันไป มันไม่ทันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำก่อนร่างจะสลายไป
กระสุนลูกที่สองที่ตามมาไม่ไกลนัก แต่ด้วยสภาพความแปรปรวนของอากาศทำให้มันพุ่งห่างออกไปจากลูกแรกประมาณร้อยเมตร พลันถูกความร้อนและแรงระเบิดจากกระสุนลูกแรกจนแตกกระจายเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า
เช่นเดียวกันกระสุนลูกที่สามที่ยังคงอยู่กลางฟ้าถัดออกไปก็ระเบิดส่งสายฟ้าออกไปทุกทิศทาง
ในเวลาเดียวกันกระสุนย่อยอีกแปดนัดในกระสุนใหญ่นั้นต่างก็พากันกระเด็นออกมารอบทิศทางเตรียมการระเบิดในวินาทีถัดไป
เพลิงที่สุดแสนร้อนแรง แสงสว่างสุดเจิดจ้า และสายฟ้าไร้ปรานี ถล่มป้อมปราการนี้กลายเป็นแอ่งลาวาไปในบัดดล พร้อมกันกับที่บริเวณแนวหน้าที่ใช้แต่กระสุนแสงซึ่งไม่ทำลายอาคารอะไรนอกจากจะขับเน้นทุกส่วนบริเวณนั้นในพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางกิโลเมตรให้มีแต่แสงสว่างล้วนเป็นเวลานานกว่าหนึ่งนาที
กองกำลังของอาณาจักรภูตวิญญาณทะยานออกจากที่ตั้งด้วยก้าวอนุภาค ไม่นานพวกเขาก็เข้าสู่สมรภูมิ
“ยืนยันการตายของชั้นปัจฉิมเซียน” หงเซียวกล่าว ด้วยอาณาเขตการตรวจจับที่ไกลถึงหนึ่งพันกิโลเมตร เขาเห็นทุกขั้นตอนการตายของอีกฝ่าย
เพราะว่าไม่มีใครที่จะอยู่ในสภาพมารตลอดเวลา ทันทีที่เกิดการระเบิด ด้วยความสามารถในการตอบสนองที่เหนือกว่ามัชฌิมเซียนก็ยังไม่สามารถตอบสนองกับความเร็วแสงได้ แรงระเบิดและแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทำให้เขาไม่ทันที่จะเกร็งพลังมารขึ้นมาปกป้องตัวเองด้วยซ้ำไป
อำนาจระเบิดนี้เหมือนกับปรมาณู ปราสาทและผู้คนกลายเป็นไอระเหยไปก่อนที่จะถูกซ้ำเติมด้วยแสงสว่างและสายฟ้าเสียด้วยซ้ำ
“ยึดครองเขตของฝ่ายตรงข้ามให้หมดสิ้น แล้วเริ่มแผนการกับอาณาจักรอื่นต่อไปได้” หงเซียวกล่าวกับประธานาธิบดี
กระสุนที่ป้อนเข้าใส่ในป้อมปืนใหญ่ไม่ต้องใช้อีกต่อไป ในเมื่อไม่มีใครให้ต่อต้านอีกแล้ว
พวกเขายิ้มอย่างเบิกบาน ท่านผู้นำยืนยันชัยชนะให้พวกเขาแล้ว
ทุกคนพุ่งโถมไปเบื้องหน้า
ส่วนหงเซียวกำลังครุ่นคิด เขากำลังคิดว่าถ้าหากโจมตีจากที่นี่ได้ไกลห้าร้อยกิโลเมตร ถ้าหากว่าเขานำมันขึ้นไปอยู่บนวงโคจรดาวเทียมจะเป็นอย่างไรบ้าง
จากที่เขาอยู่มาจนทุกวันนี้ เขาพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือจอมยุทธ ไม่มีใครสักคนที่ผ่านออกพ้นชั้นบรรยากาศไปได้ นั่นเป็นเพราะว่าวิชาทั้งหมดล้วนตั้งอยู่กับการดูดซับพลังจากบรรยากาศ แต่ในห้วงอวกาศไม่มีแหล่งให้ดูดซับพลังใช่หรือไม่
ถ้าเขาสามารถยึดครองห้วงอวกาศเหนือดาวดวงนี้ เขาจะสามารถแก้ปัญหาให้กับโลกนี้ได้หรือไม่