บทที่ 38 หญิงสาวผู้ลงกลางทาง
หนิงชิงเชวี่ยเช็ดตาอันบวมแดงของเธอแล้วหยิบจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าผู้รับขึ้นมา หนิงชิงเชวี่ยรู้ว่าจดหมายนี้ไม่ได้ตั้งใจจะส่งให้เธอ เธออยากจะฉีกซองเปิดดูแต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ เธอเก็บข้าวของส่วนมากของเย่โม่ไว้ในกระเป๋าใบเล็กอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตู
“ชิงเชวี่ย ตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่?” หลี่มู่เหมยมองหนิงชิงเชวี่ยที่ตอนนี้ตาบวมแดง หลี่มู่เหมยรู้ว่าเธอไม่ได้คิดผิด หนิงชิงเชวี่ยร้องไห้จริงๆ และดูเหมือนจะปวดใจเอามากด้วย
“มีของอะไรอยู่ในกระเป๋าใบนั้น?” หลี่มู่เหมยจ้องมองกระเป๋าในอ้อมกอดของหนิงชิงเชวี่ยอย่างประหลาดใจ ความเปลี่ยนแปลงของหนิงชิงเชวี่ยนั้น สาเหตุก็เพราะเปิดกระเป๋านั้นออกมาดู หลี่มู่เหมยอยากรู้เหลือเกินว่าของในนั้นคืออะไรกันแน่…ถึงทำให้คนที่ไม่เคยร้องไห้เลยอย่างหนิงชิงเชวี่ยเป็นได้ขนาดนี้
“นั่นมันของๆ ฉัน” หนิงชิงเชวี่ยส่ายหน้า ไม่ยอมส่งกระเป๋าให้หลี่มู่เหมยดู
หลี่มู่เหมยได้แต่สายหัวเช่นกัน “ชิงเชวี่ย…เรื่องทางนี้ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ วันนี้พวกเราจะไปสำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อทำเรื่องหย่าของเธอกับเย่โม่กัน หลังจากนั้นก็ตรงไปหยูโจวเลย ฉันว่าผลลัพธ์การเจรจาระหว่างพ่อของเธอกับคุณลุงใหญ่คงไม่ดีนัก พวกเราไม่จำเป็นต้องไปปักกิ่งแล้ว ไม่แน่หลังจากนี้ธุรกิจสมุนไพรของตระกูลหนิงอาจจะแบ่งกันครึ่งๆ เลยก็ได้”
“มู่เหมย… ฉันว่าจะรอก่อนสัก 2 วัน บางทีเย่โม่อาจจะกลับมา อีกอย่าง…ฉันยังไม่อยากหย่าตอนนี้” หนิงชิงเชวี่ยส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอของหลี่มู่เหมย
“ทำไมล่ะ?” หลี่มู่เหมยมองหนิงชิงเชวี่ยอย่างประหลาดใจ เธอคิดไม่ถึงว่าหนิงชิงเชวี่ยที่เมื่อวานยังตื่นเต้นดีใจรอให้เธอมารับคนนั้น แต่มาวันนี้กลับเปลี่ยนใจเสียแล้ว ทั้งยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีก 2 วันด้วย ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย? ที่นี่มีดีอะไรกัน?
หนิงชิงเชวี่ยส่ายหัวไม่ตอบคำถาม เธอคิดในใจว่าเย่โม่จะกลับมาเมื่อไหร่นะ เย่โม่ในใจเธอคนก่อนดูจะต่างจากตัวจริงโดยสิ้นเชิง แต่เธอเคยเข้าใจเขาจริงๆ หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนหมั้นหรือหลังหมั้น แม้แต่ตอนที่เจอกันครั้งแรกเธอก็ไม่เคยใส่ใจเขาเลย นั่นก็เพราะเธอต้องการจะใช้งานเขาเท่านั้น
หลี่มู่เหมยไม่ได้ถามอะไรอีก เธอรู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์
ตอนเย็นหลังจากซู่เวยกลับมาถึงที่พัก สิ่งแรกที่หนิงชิงเชวี่ยถามคือเรื่องของเย่โม่ ถึงแม้ซู่เวยจะไม่ค่อยชอบหนิงชิงเชวี่ยนักแต่เธอก็เล่าเรื่องของเย่โม่ช่วงที่เขามาพักที่นี่ให้ฟัง
หนิงชิงเชวี่ยไม่คิดว่าชีวิตของเย่โม่จะเรียบง่ายขนาดนี้ ไปเช้าเย็นกลับทุกๆ วัน แม้แต่ซู่เวยก็ยังไม่รู้ว่าเย่โม่เป็นนักศึกษา
..........
ในคืนนั้นเย่โม่ก็ออกจากหุบเขาชีน่ง ถึงเขาจะไม่กลัวตระกูลซ่งแต่พลังของเขาตอนนี้ยังต่ำเกินไป ถ้าคนตระกูลซ่งรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าซ่งเฉ่าเหวินแล้ววางกับดักตามล่าตัวเขาเมื่อไหร่ล่ะก็ อย่าว่าแต่จะหาสถานที่เงียบๆ เพาะเลี้ยง ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ หรือฝึกปราณเลย แม้แต่การหนียังถือว่ายากเย็น
อีกอย่าง...การที่ตระกูลซ่งจะสืบสาวได้เมื่อไหร่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของซ่งเฉ่าเหวินนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่อาจถูกตระกูลซ่งพบตัวได้ อย่างน้อยภายใน 3 ปีนี้ก็ต้องไม่ให้สืบสาวมาถึงตัวเขาได้
ตอนนี้เย่โม่ไม่ได้นั่งรถแล้ว เขาใช้ท่า ‘เท้าเงาเมฆา’ ที่ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่ารถยนต์ธรรมดาๆ ในการเดินทาง ประมาณ 6 โมงเช้าเขาก็มาปรากฏตัวที่เมืองเล็กๆ อย่าง ‘เฟิงถาง’ เมืองนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองขนาดกลางของเมืองใหญ่ๆ อย่าง ‘เฟิงโค่ว’
เย่โม่หาที่พักโฮสเทลเล็กๆ ได้ที่หนึ่ง เขาอยากเข้าไปทำความสะอาดร่างกายเสียหน่อย แต่กลับพบว่าตอนนี้บัตรประชาชนของเขาไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว แต่สำหรับโฮสเทลขนาดเล็กแบบนี้แล้วก็ไม่แน่ว่าจะต้องใช้บัตรประชาชน
ถึงแม้เย่โม่ชำระร่างกายแล้ว แต่การที่ไม่มีบัตรประชาชนแบบนี้...ชีวิตของเขาในเมืองต้องลำบากแน่ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย เย่โม่จึงซื้อกระเป๋าสะพายมาใบหนึ่ง ข้างในใส่เพียงของใช้ในชีวิตประจำวันรวมถึงอาหารแห้งด้วย ตอนนี้เขาเหลือเงินติดตัวอยู่ไม่กี่พันหยวน ซึ่งเงินเหล่านี้ล้วนได้มาจากพวกซ่งเฉ่าเหวินทั้งนั้น ตอนนี้เขาคิดเพียงแต่อยากจะไปเขตภูเขาของกุ้ยหลินเท่านั้น หาสถานที่เงียบสงบแถวๆ ชายแดนเพื่อลงหลักปักฐาน จะได้มีสถานที่ฝึกวิชา
ตอนนี้เย่โม่ยืนอยู่ด้านนอกสถานีรถบัสของเมืองเฟิงถาง เขาเริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเขานั่งรถบัสละก็โอกาสถูกเปิดโปงถือว่ามีสูงมากทีเดียว เพราะตอนนี้เขาไม่มีบัตรประชาชน อีกทั้งเวลานี้ตำรวจตามท้องถนนยังมีอยู่เยอะ มีโอกาสที่พวกเขาจะหยุดรถบัสทางไกลแบบนี้แล้วขอตรวจบัตรประชาชนได้
นั่งรถไฟก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่ที่เมืองเฟิงถางแห่งนี้กลับไม่มีสถานนีรถไฟแม้แต่แห่งเดียว
“เพื่อนคนนั้นน่ะ! นายจะไปที่ไหนล่ะ? จะขึ้นมานั่งไหม?” ชายอายุราว 30 กว่าๆ เดินเข้ามาถาม
เย่โม่ที่ยืนสะพายกระเป๋าอยู่หน้าสถานีรถบัสคงถูกสังเกตเห็นแล้ว ชายคนนั้นจึงรีบเข้ามาหาลูกค้าทันที
เย่โม่มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือรถบัสที่ลักลอบขนส่งอย่างผิดกฏหมาย คิดว่าคงเพื่อหนีภาษีหรืออะไรทำนองนั้น คนปกติทั่วไปล้วนไม่อยากนั่งรถแบบนี้ แต่ก็มีบ้างที่ต้องการประหยัดเงินจึงเลือกนั่งรถผิดกฏหมายแบบนี้ เพราะราคาถือว่าถูกมากจริงๆ
รถแบบนี้เย่โม่ชอบเป็นอย่างมาก สาเหตุก็เพราะรถแบบนี้ปกติแล้วมักจะเลือกเส้นทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรมากกว่าจะเป็นเส้นทางปกติ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้เยอะ
“รถของพวกนายไปส่งได้ถึงไหนล่ะ” เย่โม่ถามขึ้นเรียบๆ
“ถึงเมืองฉี ห้าสิบห้าหยวน ว่ายังไง… ผ่านจุดหมายของนายไหม?” ชายคนนั้นรอคอยคำตอบของเย่โม่
เย่โม่รู้จักเมืองฉี ถึงแม้จะห่างจากจุดหมายของเขาไปบ้าง...แต่ก็ยังถือว่าไปทางเดียวกันอยู่ ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่แห่งนี้จะมีธุรกิจรถเถื่อนอยู่ ก่อนหน้านี้เย่โม่เคยเห็นจากหน้าจอตรงด้านนอกว่าถ้าอยากจะไป เมืองฉีต้องซื้อตั๋วราคาเก้าสิบห้าหยวน แต่คนพวกนี้กลับต้องการแค่ห้าสิบห้าหยวนเท่านั้น เกือบจะนับเป็นครึ่งราคาเลยทีเดียว
เย่โม่พยักหน้า “โอเค นำทางเถอะ”
“เฮยผี! (ผิวดำ) ได้มาอีกคนแล้ว ห้าสิบห้าหยวนไปเมืองฉี” ชายคนนั้นพาเย่โม่มาด้านนอกสถานีรถบัส ที่นั่นมีรถบัสคันใหญ่จอดรออยู่
“คันนี้แหละ นายขึ้นไปก่อนเลย” ชายคนนั้นบอกให้เย่โม่ขึ้นรถไปก่อน ส่วนตัวเขาเดินไปเรียกลูกค้ามาอีก เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนขับแต่เป็นคนช่วยหาลูกค้าต่างหาก
เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนที่เขาเดินขึ้นไปนั้นภายในรถก็มีคนอยู่แล้วประมาณ 30 กว่าคน เย่โม่เดินไปตรงเบาะหลังสุดแล้วนั่งลง เขาหลับตาลงทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก็มีคนขึ้นมาบนรถเพิ่มอีก 2-3 คน แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถดึงความสนใจของเย่โม่ได้ เธอคนนี้สวมแว่นตาขอบทอง ถึงแม้จะไม่ได้สวยอะไรมากมายแต่ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียด เธอคนนี้ดูไปแล้วร่างกายแข็งแรง อีกทั้งรูปร่างส่วนเว้าโค้งของเธอก็น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเย่โม่กลับไม่ใช่รูปร่างอันเย้ายวน แต่เป็นรังสีฆ่าฟันของเธอต่างหาก ถึงแม้ภายนอกของเธอจะดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่รังสีฆ่าฟันบนตัวเธอนั้น เพียงขึ้นรถมาเย่โม่ก็รู้สึกได้แล้ว แต่แว่นตาอันนั้นไม่เข้ากับออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวเธอเลย ไม่รู้ว่าจงใจใส่ไว้เพื่อให้ดูมีการศึกษาหรือเปล่า
ผู้หญิงคนนี้เคยฆ่าคนมาก่อน แถมยังมากกว่า 1 คนเสียด้วย เพียงเธอขึ้นรถมาก็ดึงดูดสายตาหลายคู่แล้ว ชายหนุ่มบางคนกวาดสายตามองหน้าอกและก้นของเธอขณะที่กลืนน้ำลายไปด้วย ผู้หญิงแบบนี้เดิมทีแล้วไม่จำเป็นต้องมองหน้าด้วยซ้ำ มองแค่รูปร่างก็พิชิตใจชายหนุ่มทั้งหลายได้แล้วด้วยซ้ำ
ผู้หญิงคนนั้นราวกับว่าไม่รับรู้ถึงสายตาทั้งหลายที่มองมาที่เธอ เธอกวาดสายตาผ่านแว่นเพื่อสำรวจภายในรถ 1 รอบ เธอสังเกตทุกคนรวมถึงเย่โม่ด้วย ดวงตาของเธอคมปลาบแต่ไม่หยิ่งยโส นี่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้คงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เย่โม่ปิดตาลง เขาเองก็ผ่านเรื่องราวมามากเช่นกัน โลกใบนี้จะมีคนแบบนี้เยอะเกินไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
ช่วงนี้อยู่นอกฤดูท่องเที่ยว คาดว่าคงเรียกลูกค้าไม่ได้แล้ว รถบัสเริ่มออกเดินทางแล้ว ถึงแม้ผู้โดยสารบนรถจะมีไม่ถึง 40 คนก็ตาม
รถแล่นมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนเดินมาเก็บเงินค่าโดยสาร เย่โม่จ่ายเงินไปแล้วก็หลับตาทำสมาธิต่อ
ถึงแม้จะไม่ใช่ทางหลักแต่รถคันนี้ก็แล่นได้ไม่ราบรื่นนัก จากคำพูดของคนขับแล้วกว่าจะถึงเมืองฉีนั้นต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ตอนนี้ผ่านไป 2 ชั่วโมงก็คงมาได้ครึ่งทางแล้ว
“คนขับ! หยุดรถที! ฉันจะลงตรงนี้” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“สาวน้อย… ที่นี่เป็นเขตภูเขาเซียงหลิ่ง แถวนี้ไม่มีที่พักเลย ถ้าลงตรงนี้...” คนขับเตือนเธอด้วยความหวังดี แต่พูดได้ครึ่งเดียวก็ถูกหญิงสาวตัดบท “นี่มันเรื่องของฉัน หยุดรถเถอะ!”