บทที่ 322 อุปราช
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“เจ้า, เจ้า, เจ้า…”
อัครมหาเสนาบดีอวี๋โมโหจนเกือบธาตุไฟเข้าแทรก บรรดาขุนนางในราชสำนักทุกคนต่างก็แสดงอาการไม่พอใจออกมา
คนเหล่านี้ต่างก็มีความภาคภูมิใจและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าเจียงอี้จะเป็นวีรบุรุษของอาณาจักรต้าเซี่ย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมอันหยาบช้าและไร้เหตุผลของเขาได้
“ลืมมัน ลืมมันซะ! ขุนนางเฒ่าผู้นี้จะตามไปอยู่กับองค์ราชาผู้ล่วงลับแล้ว!”
หลังจากที่กล่าวจบ อัครมหาเสนาบดีอวี๋ก็รีบวิ่งตรงไปยังเสาทองคำกลางท้องพระโรงและหวังที่จะใช้ศีรษะกระแทกกับเสาเพื่อฆ่าตัวตาย
แต่เมื่อเจียงอี้เห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของซูรั่วเสวี่ย เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้และตะโกน “หยุด!”
อย่างไรก็ตามขุนนางเฒ่าผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะดื้อรั้นมิใช่น้อย ฝีเท้าของเขาไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะเดียวกันก็ใช้ศีรษะพุ่งตรงไปยังเสาเพื่อที่จะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
ตุบ!
แต่มีหรือที่เจียงอี้จะยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น เขาปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาและเข้าปกคลุมทั่วทั้งวังเอาไว้ อัครมหาเสนาบดีอวี๋นั้นแก่ชรามากแล้วและมีพละกำลังเพียงน้อยนิด หลังจากที่สัมผัสกับกลิ่นอายของเจตจำนงสังหาร เขาก็เป็นลมหมดสติไปทันที
หลังจากที่เก็บกลิ่นอายสังหารกลับไป เจียงอี้ก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครก็ได้มาพาอัครมหาเสนาบดีผู้นี้กลับไปยังตำนักของเขาที แต่ถ้าหากเขายังคิดที่จะตายอีก เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป… ข้าเพียงไม่ต้องการให้ท้องพระโรงแห่งนี้ต้องแปดเปื้อนก็เท่านั้น!”
โดยไม่รอช้า แม่ทัพเฒ่าหลูก็ออกคำสั่งให้ทหารสองนายมาอุ้มร่างของอัครมหาเสนาบดีอวี๋ไป เมื่อเห็นว่าทางฝั่งนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็หันไปมองอัครมหาเสนาบดีเริ่นและกล่าวอย่างไม่แยแส
“อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ เจ้าต้องการที่จะตามไปรับใช้องค์ราชาของเจ้าในปรโลกหรือไม่? หากว่าใช่ เช่นนั้นก็จงกลับไปตายที่บ้าน! อาณาจักรต้าเซี่ยในตอนนี้ไม่ต้องการขุนนางไร้ประโยชน์เช่นเจ้าอีกต่อไป!”
“เจ้า…!”
อัครมหาเสนาบดีเริ่นเกือบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธแค้น เขาชี้นิ้วไปที่เจียงอี้และตะโกนออกมาด้วยโทสะ
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?! เจ้ามันก็แค่เด็กคนหนึ่งที่บังเอิญมีความสามารถในการต่อสู้อยู่บ้างก็เท่านั้น ขุนนางเฒ่าผู้นี้ไม่ต้องการเห็นอาณาจักรต้าเซี่ยต้องพังพินาศในมือเจ้า มิฉะนั้นแล้ว ข้าก็ขอตายตามองค์ราชาไปเสียยังดีกว่า!”
“พังพินาศ? ฮ่าฮ่า”
เจียงอี้หัวเราะพร้อมกับเพลิงโทสะที่กำลังซ่องสุมอยู่ภายในใจ เขาเก็บกลิ่นอายทั้งหมดกลับเข้ามาในร่างกายและตอบกลับไปอย่างสงบ
“อัครมหาเสนาบดีเฒ่า เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ? หากไม่ใช่เพราะข้า เจียงอี้ เจ้าคิดหรือว่าอาณาจักรต้าเซี่ยรวมไปถึงชีวิตเน่าๆของเจ้าจะยังสามารถอยู่ได้จนถึงตอนนี้?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ภายในอาณาจักรนั้นย่ำแย่ขนาดไหน? นอกจากเมืองเซี่ยยวี่ เมืองที่เหลือต่างก็ล่มสลายไปแล้ว เจ้ารู้ไหมว่ามีชาวต้าเซี่ยกี่คนที่ต้องกลายเป็นผู้ไร้บ้านและต้องออกร่อนเร่พเนจรอย่างไร้จุดหมาย?”
“เจ้ารู้ไหมว่ามีคนอีกมากเท่าใดที่กำลังจะอดตาย? พวกเขากำลังรอให้พวกเจ้าส่งความช่วยเหลือและอาหารไปให้! แต่นี่อะไรกัน พวกเจ้ากลับมาตีกันเองเพียงเพราะตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะขึ้นเป็นราชา?”
“พวกเจ้าไม่มีตากันหรือถึงดูไม่ออกว่าซูอวี่กับซูเหิงเป็นเพียงแค่เศษขยะของเชื้อพระวงศ์? ช่างหัวกฎบรรพบุรุษงี่เง่าของพวกเจ้าสิ สิ่งที่พวกเจ้าสมควรทำคือการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากและกอบกู้สถานการณ์ให้กลับเป็นปกติให้เร็วที่สุด!”
“ข้าขอเสนอให้ขุนนางที่ยังคงซื่อสัตย์และมีใจที่จะดูแลประชาชนอยู่ที่นี่ต่อเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา สำหรับผู้ที่ไม่สนับสนุนรั่วเสวี่ยและปรารถนาที่จะติดตามองค์ราชาผู้ล่วงลับไปยังปรโลก ข้าขอให้พวกเจ้าจงกลับไปยังที่พักของตนและจบชีวิตอันไร้ค่าของพวกเจ้าซะ! อย่าได้มาสร้างความรำคาญที่นี่!”
เจียงอี้ตะเบ็งเสียงโดยใช้แก่นแท้พลังเข้าช่วย ดังนั้นเสียงของเขาจึงเข้าไปในโซนประสาทของขุนนางทุกคนและทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน
มีหลายคนที่เผยความเศร้าหมองออกมาในขณะที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกขุ่นเคือง อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขามีเหมือนๆกันนั่นก็คือความละอายใจที่เผยออกมาทางดวงตา
พวกเขามองดูอัครมหาเสนาบดีเริ่นอย่างเงียบๆราวกับกำลังเฝ้ารอการตัดสินใจของเขา
“เป็นคำพูดเตือนใจที่ยอดเยี่ยมมาก!”
อัครมหาเสนาบดีเริ่นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าและกล่าวออกมาด้วยความละอายใจ
“ขุนนางเฒ่าผู้นั้นไร้ประโยชน์เหมือนอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ ข้านั้นละอายใจต่อองค์ราชาผู้ล่วงลับและประชาชนชาวต้าเซี่ยเหลือเกิน!”
“นับแต่นี้ไป ตัวข้า เริ่นผิง เต็มใจที่จะคอยรับใช้องค์ราชินีซูรั่วเสวี่ยในฐานะบ่าวผู้จงรักภักดีและจะคอยสนับสนุนพระองค์ในทุกๆทางเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรต้าเซี่ยให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมพะยะค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าอัครมหาเสนาบดีเริ่นถูกกำราบจนสิ้นท่า บรรดาขุนนางที่เหลือต่างก็ไม่กล้ารอช้าและรีบคุกเข่าลงทันที
“พวกเรายินดีรับใช้องค์ราชินีในฐานะบ่าวผู้จงรักภักดีและจะพยายามสุดความสามารถเพื่ออาณาจักรต้าเซี่ยของเราพะยะค่ะ!”
“ฟู้ววว…”
แม่ทัพหลูรวมไปถึงแม่ทัพคนอื่นๆต่างก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากขุนนางเหล่านี้ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่อาณาจักรต้าเซี่ยจะรักษาเสถียรภาพไว้ได้ในระยะเวลาอันสั้น
หากไม่มีขุนนางฝ่ายปกครองเหล่านี้ แล้วใครจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักร?
เมื่อเหล่าขุนนางฝ่ายปกครองยอมอ่อนข้อให้ ทุกอย่างก็ดูง่ายขึ้นทันที แต่ในขณะเดียวกันเพราะมีเจียงอี้อยู่ด้วย จึงไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวอะไรขึ้นมาอีก
ตัวตนของเจียงอี้ในตอนนี้นับว่าสูงส่งมากภายในอาณาจักรต้าเซี่ย จอมยุทธมากมายต่างก็เคารพบูชาเขาในฐานะวีรบุรุษผู้กอบกู้
แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป บทบาทของเขาจะลดลง เพราะหลังจากที่ผลักดันซูรั่วเสวี่ยให้ขึ้นครองบัลลังก์สำเร็จแล้ว ปัญหาต่างๆก็จะอยู่ในมือของขุนนางฝ่ายปกครองเหล่านี้
เมื่อบรรยากาศกลับมาดีแล้ว พวกเขาก็เริ่มถกเถียงกันเรื่องกำหนดวันสำหรับพิธีขึ้นครองราชย์, การเตรียมการต่างๆรวมไปถึงการส่งความช่วยเหลือไปยังเมืองอื่นๆ
หลังจากที่รับฟังอยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายและง่วงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตัวเขาเองนั้นไม่ค่อยถูกกับเรื่องซับซ้อนเหล่านี้
“พิธีขึ้นครองราชย์จะถูกจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้!”
แต่เมื่อกำหนดการถูกจัดขึ้นมาแล้ว จู่ๆซูรั่วเสวี่ยก็หันไปมองเจียงอี้และเอ่ยบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ข้าต้องการที่จะมอบตำแหน่งอุปราชให้กับเจียงอี้ มีใครจะคัดค้านหรือไม่?”
“อุปราช?”
ในประวัติศาสตร์ เคยมีขุนนางบางคนที่ได้รับเกียรตินี้เช่นกัน หากให้กล่าวตามจริงมันคือตำแหน่งสูงสุดของขุนนางเลยก็ว่าได้
อุปราชคือผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง… หากว่าเจียงอี้ไม่พอใจขึ้นมา เขาสามารถสั่งประหารชีวิตอัครมหาเสนาบดีหรือแม้กระทั่งจอมพลฝ่ายทหารได้ทันที!
มันคือตำแหน่งที่อยู่ภายใต้คนๆเดียวแต่อยู่เหนือคนนับล้าน!
“ไม่ได้นะพะยะค่ะ!”
อัครมหาเสนาบดีเริ่มตะโกนคัดค้านทันที หากให้ตำแหน่งอุปราชแก่เจียงอี้ พวกเขาจะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ?
จะยังมีใครในราชสำนักที่กล้าต่อต้านเขา? หากทำให้เขาขุ่นเคืองขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาจะสังหารทุกคนที่ต้องการเลยหรือ?
เจียงอี้อาจจะเป็นวีรบุรุษของอาณาจักรต้าเซี่ยและมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นคนนอก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ขุนนางเหล่านี้จะยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมาเหยียบหัวพวกเขา?
อัครมหาเสนาบดีเริ่มรีบนำข้อกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษออกมาโต้แย้ง บรรดาขุนนางฝ่ายปกครองที่เหลือต่างก็กระทำในลักษณะเดียวกัน
พวกเขาต้องการเสนอตำแหน่งทางฝ่ายทหารอย่างแม่ทัพใหญ่ให้กับเจียงอี้มากกว่าตำแหน่งอุปราชที่สามารถกดขี่พวกเขาได้ตลอดเวลา
“เหอะ!”
เจียงอี้เค้นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ ไม่ใช่แค่เหล่าขุนนางเท่านั้นที่ไม่ต้องการมอบตำแหน่งนี้ให้กับเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะซูรั่วเสวี่ย เขาคงไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของอาณาจักรต้าเซี่ยแน่นอน
“อะแฮ่มๆ!”
ซูรั่วเสวี่ยแสร้งไอออกมาสองสามครั้ง จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ
“เจียงอี้เป็นผู้มีพระคุณต่ออาณาจักรต้าเซี่ย หากไม่มีเขา พวกเราทั้งหมดคงจะตายไปแล้ว เช่นนั้นข้าขอถามพวกท่านสักหน่อย มีใครบ้างที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขา? หากว่ามีก็จงเสนอชื่อมาแล้วข้าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นอุปราชแทน แต่ถ้าไม่ ก็จงยึดตามคำพูดของข้า!”
หลังจากที่กวาดมองไปยังกลุ่มขุนนางที่กำลังก้มศีรษะลง นางก็หมุนกายและจากไปทันที ทางด้านของเจียงอี้เองก็ลุกขึ้นและตามนางออกไป
แต่ระหว่างทาง แม่ทัพหลูและกลุ่มของเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับกล่าวทักทาย
“แม่ทัพผู้นี้ขอคารวะท่านอุปราช!”
“อุปราช?”
.
เจียงอี้ถอนหายใจยาว ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากเท่าไหร่ การตัดสินความเป็นความตายของประชาชนก็สามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่มากขึ้นเช่นกัน
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะถูกผูกมัดอยู่กับอาณาจักรต้าเซี่ยในฐานะหัวหอกของอาณาจักร บางทีหากถึงวันที่อาณาจักรต้องพังพินาศไป ตัวเขาเองก็อาจจะต้องถูกกลบฝังไปพร้อมกัน…
……