ตอนที่ 30 พรสวรรค์ล้ำเลิศ
วันนี้ช่างเป็นวันดี อากาศแจ่มใสเหมาะแก่การออกมาข้างนอกบ้าน ประกอบกับเรื่องที่ฟ้ารดาต้องการมาคุยกับเพื่อนเก่านั้นทำให้เธออารมณ์ดีอย่างมาก พวกเธอไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ไม่รู้ตอนนี้จันทร์เพ็ญจะเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าเรื่องที่เธอจะสู่ขอลูกสาวของจันทร์เพ็ญให้กับเหนือภพนั้นจะสำเร็จลงได้ด้วยดี
“รดาเจ้าจะสู่ขอกลิ่นจันทน์ให้เหนือภพจริงๆหรือ”
หัวหน้าไทถามฟ้ารดาที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ขณะที่เขากำลังช่วยเข็นเธอไปตามท้องถนน
“ใช่ ข้าเห็นนางมีใจให้กับเหนือภพ และที่สำคัญเหนือภพก็โตมากแล้วข้าคิดว่า เขาควรจะได้แต่งงานมีครอบครัว และมีทายาท”
หัวหน้าไทถอดทอนหายใจ มีเรื่องในใจที่เขาอยากจะพูด แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมา
‘อะไรที่เจ้าพอใจ ข้าก็ยินดีสนับสนุน อีกอย่างยังไงข้าก็มีธุระต้องไปที่บ้านของจันทร์เพ็ญอยู่แล้วนี่นะ’
แล้วหัวหน้าไทก็เข็นรถเข็นไปอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ใช่คนช่างพูดนัก หากเธอถามคำ เขาก็จะตอบคำ ถึงอย่างไรฟ้ารดาก็ไม่โกรธเคืองเขา เพราะเธอชอบที่การกระทำอันอ่อนโยนของเขามากกว่าคำพูดที่สวยหรู
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของจันทร์เพ็ญ พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ บ้านไม้ขนาดเล็กที่ปกติจะมีเสียงหัวเราะ แต่ตอนนี้กลับดูเงียบวังเวงผิดปกติ
“อ้าว ฟ้ารดา ท่านหัวหน้าไท เข้ามาก่อนสิ ข้าคิดว่าจะไปหาพวกท่านอยู่พอดี ตอนนี้บ้านข้าเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนข้าไม่รู้จะทำยังไงดี”
ยังไม่ทันที่ฟ้ารดาจะได้ไถ่ถามเพื่อนของเธอ หัวหน้าไทก็รีบกดไหล่ของเธอเอาไว้ แล้วก็ตบไหล่เบาๆคล้ายกับการปลอบประโลมล่วงหน้า
“จริงหรือเปล่า ที่เจ้าทศพากลิ่นจันทน์ไปขาย”
คำพูดของหัวหน้าไททำให้ฟ้ารดาตกใจมาก และเมื่อเธอเห็นสีหน้าที่เศร้าโศกของเพื่อน เธอก็เข้าใจได้ในทันที
เธอรู้จัก ‘ทศ’ สามีของจันทร์เพ็ญเป็นอย่างดี เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ดี แต่หลังจากที่เสียลูกชายไปทศก็เอาแต่ติดเหล้ายาจนกลายเป็นคนเสียสติ วิกลจริต แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นพาลูกสาวของตัวเองไปขาย นี่มันเป็นเรื่องที่นักหนาสาหัสเกินไป แม้แต่เธอเองยังรู้สึกเจ็บปวดใจแทนเพื่อนของเธอ
หัวหน้าไทพ่นลมหายใจ แววตาเต็มไปด้วยโกรธ แต่ยังคงสงบสติอารมณ์เอาไว้ พยายามดำรงตนให้สุขุมเยือกเย็น และสิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เป็นสิ่งที่พูดออกมาไม่ได้
‘โธ่ ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้า ไม่น่าเลย’
“ตอนนี้เจ้าทศมันอยู่ที่ไหน”
เพ็ญสายหน้า
“ข้าเองก็ไม่รู้ หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเจ้าชั่วนั่นก็ขาดการติดต่อไปเลย ข้าจ้างคนตามหาจนแทบไม่เหลือเงินแล้ว ข้าก็ยังหาเขาไม่พบ แต่ยังดีที่ข้ารู้ว่าลูกสาวข้าอยู่ที่ไหน”
“หัวหน้าไทท่านต้องช่วยลูกสาวข้านะ” เพ็ญคุกเข่าลงขอร้องหัวหน้าไทอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ขณะที่หัวหน้าไทกับจันทร์เพ็ญกำลังคุยรายระเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับกลิ่นจันทน์อยู่นั้น เหนือฟากฟ้าของหมู่บ้านแร่ห้าสีก็เกิดปรากฏปราการณ์ประหลาดเหนือธรรมชาติ ก้อนเมฆทะมึนลอยตัวมารวมกันเหนือหมู่บ้าน แสงสีทองสว่างไสวพุ่งลงจากฟ้า คล้ายเป็นเสาแสงขนาดใหญ่ แสงสว่างนั้นทำให้ หมู่บ้านแร่ห้าสีสว่างเจิดจ้าจนสายตาของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็พร่ามัวและตกตะลึงกันไปตามๆกัน เมื่อพวกเขาได้สติจึงรับรู้ได้ว่าจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์นี้อยู่ที่โรงฝึกเตรียมฮันเตอร์กลางหมู่บ้าน
ห่างออกไปนับพันไมล์ ผู้มีอำนาจของเมืองใหญ่ต่างๆในแคว้นอมตะนครต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้า และสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อัศจรรย์ได้เช่นกัน พวกเขาแต่ละคนต่างส่งคนของตัวเองออกไปสืบที่มาของปรากฏการณ์นั้น
หัวหน้าไทขมวดคิ้ว ฟ้ารดาเองก็สงสัย เธอเองไม่เคยเห็นเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน
“มันเกิดอะไรขึ้น หรือจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นหรือเปล่าพี่ไท”
หัวหน้าไทส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่หรอก ปรากฏการณ์นี้คือสัญญาณของเรื่องน่ายินดี”
“น่ายินดี?”
ฟ้ารดาสงสัย ขณะที่หัวหน้าไทอธิบายต่อไปว่า
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ยามที่ของวิเศษหรือบุคคลพิเศษถือกำเนิดขึ้น จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ ดูท่าทางหมู่บ้านแร่ห้าสีของเราคงต้องเกิดเรื่องสะท้านสะเทือนขึ้นแล้ว”
“หัวหน้า หัวหน้า เกิดเรื่องที่โรงเรียนครับ”
ฮันเตอร์ในสังกัดของหัวหน้าไทวิ่งมาหาหัวหน้าไทด้วยท่าทางหอบแฮ่ก ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ และมีสีหน้าตื่นตระหนก
หัวหน้าไทก็ตื่นตัวในทันทีที่เห็นสีหน้าคอขาดบาดตายของลูกน้อง
“เกิดอะไรขึ้น”
“เหนือฟ้า...”
เพียงแค่ลูกน้องของเขาหลุดปากพูดออกแค่นั้น หัวหน้าไทก็รีบอุ้มฟ้ารดาขึ้นมา แล้วพุ่งตัวออกไปด้วยอาการร้อนใจ เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเหนือฟ้า แม้เขาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอ แต่ในใจของเขานั้นเหนือฟ้าก็ไม่ต่างจากลูกแท้ๆ หากเกิดเรื่องอะไรเขาคงเจ็บปวดมากแน่
ฟ้ารดาที่อยู่ในอ้อมอกของหัวหน้าไทนั้นก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของชายที่ปกป้องเธอมาเสมอ แม้เธอจะรู้สึกดีกับเขาแค่ไหน แต่เพราะเธอแต่งงานแล้ว เราทั้งสองจึงเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น เธอครุ่นคิดเรื่องของไทเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นก่อนจะทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ลูกสาวของเธอ
ณ โรงเรียนเตรียมฮันเตอร์สาขาหมู่บ้านห้าสี
ที่จุดศูนย์กลางของแท่นจ้าวอาคม มีร่างเล็กของเด็กสาววัย 6 ขวบยืนเกาะติดแท่นจ้าวอาคม ขณะที่พลังงานปราณอาคมจากฟ้าดินต่างแย่งกันพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเด็กสาวอย่างกระตือรือร้น จนทำให้ร่างเล็กๆของเหนือฟ้าลอยอยู่ค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นร่างเล็กๆก็ค่อยๆลดต่ำลงถึงพื้นอย่างนิ่มนวลเมื่อแสงสีทองบนฟากฟ้าหายไป
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเหล่าครูฝึกที่ออกมาดูเหตุการณ์นี้ แม้แต่หัวหน้าไทที่เพิ่งมาถึงก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
‘เป็นไปได้ยังไงกัน’
“ใครเป็นคนดูแลเหนือฟ้า ทำไมถึงปล่อยเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นได้”
หัวหน้าไทตะโกนถามเสียงดังไปทั่วบริเวณ เขารู้สึกเสียดายมาก พรสวรรค์ระดับนี้หากรอให้อายุครบ 12 ปีแล้วค่อยวัดปราณอาคมละก็ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า เหนือฟ้าจะกลายเป็นฮันเตอร์ที่มีชื่อเสียงขนาดไหน
แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หัวหน้าไทจึงตัดสินใจพาเหนือฟ้ากับฟ้ารดากลับบ้าน
เมื่อฟ้ารดาและเหนือฟ้ากลับมาถึงบ้าน เหนือภพจึงแนะนำเพื่อนใหม่ของเขาให้คนในครอบครัวรู้จัก และค่ำวันนั้นพวกเขาก็ร่วมเฉลิมฉลองข่าวดีของเหนือฟ้าด้วยกัน พร้อมอาหารเลิศรสที่ทำจากเนื้อสัตว์อสูรหมูป่า
“นี่น้องพี่ เจ้าจะคลุกคลีกับคนแปลกหน้าเช่นนั้นไม่ได้นะ”
เหนือภพพูดขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อเห็นเหนือฟ้าพูดคุยกับสมุทรอย่างสนุกสนานออกรสชาติ ไม่เหมือนกับตอนที่คุยกับเขาเลย
“พี่น่ะวันๆก็เอาแต่ไปข้างนอก ในหัวนอกจากเงินแล้วก็ไม่มีอะไรเลย สู้พี่สมุทรก็ไม่ได้ มีเรื่องเล่าสนุกๆให้ข้าฟังตั้งเยอะแยะ ข้าว่าท่านไม่ต้องเป็นพี่ข้าแล้ว เอาพี่สมุทรพี่เป็นแทนดีกว่า”
แบร่ เหนือฟ้าแลบลิ้นใส่เหนือภพ
“ห่ะ!!” เหนือภพช็อก นี่เขาเป็นพี่ที่แย่ขนาดนั้นเลยหรอ
“แม่ก็ว่าแบบนั้นล่ะจ๊ะ”
ผู้เป็นแม่อย่างฟ้ารดายิ้ม นั่นทำให้เหนือภพช็อกเข้าไปใหญ่ แต่นั่นก็สร้างเสียงหัวเราะให้ทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข ส่วนสมุทรนั้นแม้จะหัวเราะร่าแต่ภายในดวงตากลับรู้สึกเศร้า เมื่อคิดถึงอดีตที่เขาต้องเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งครัดแม้แต่หัวเราะก็ยังถูกห้าม
อย่างไรก็ตามค่ำคืนนั้นของทั้งสี่คนก็ผ่านไปพร้อมกับรอยยิ้ม ความสุข และความอบอุ่นเต็มหัวใจ